ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 50 ข่าวร้าย
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 50 ข่าวร้าย
หลังจากนั้นอารมณ์ของโจวเสาจิ่นล้วนเบิกบานยิ่ง พระธรรมก็คัดได้อย่างลื่นไหล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี ก็คัดพระธรรมที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าจนเสร็จทั้งหมด ด้วยเพราะนางยังอยากจะคัดต่ออีกสักเล็กน้อย จึงคัดพระธรรมต่อไปได้อีกหลายหน้า เมื่อเห็นว่าใกล้จะเย็นแล้ว ถึงได้วางพู่กันลง และไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
บนเรือนเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ บ่าวรับใช้ต่างยืนอย่างนอบน้อมและเชื่อฟังอยู่ใต้ชายคาเรือน
โจวเสาจิ่นเห็นนักพรตเด็กชิงเฟิง ยืนอยู่ข้างๆ ฉากกั้นไม้ไผ่ของห้องโถงกับปี้อวี้และเฝ่ยชุ่ย
ดูจากท่าทางแล้วท่านน้าฉือคงอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ไม่แปลกใจแล้วที่เมื่อครู่เขาปรากฏตัวที่ห้องพระ
น่าจะเป็นการเดินผ่านห้องพระมา เห็นตนกำลังคัดพระธรรมอยู่ในห้องพระ จึงเข้าไปดูสักหน่อยด้วยความใคร่รู้
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ขณะที่กำลังลังเลว่าจะไปบอกกับบ่าวรับใช้ที่เรือนหลักสักหน่อยแล้วกลับไปที่เรือนเจียซู่ก่อนดี หรือจะรอให้เฉิงฉือกลับไปแล้วนางค่อยไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีอยู่นั้น ก็เห็นปี้อวี้หันมามองนางยิ้มๆ จากนั้นหมุนกายไปเลิกผ้าม่านขึ้นและเข้าไปในเรือนหลัก
นางคงจะไปรายงานต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะว่าอย่างไร
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหม่าอยู่ในใจอย่างยากที่จะอธิบาย
จากนั้นก็เห็นปี้อวี้เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูรอง!” นางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นน้ำเสียงเบา “ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านเข้าไปเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่น ‘อือ’ ออกไปเสียงหนึ่ง จัดระเบียบคอปกเสื้อด้านหน้า และตามปี้อวี้เข้าไปในเรือนหลัก
บนตั่งหลัวฮั่นทรงก้อนเมฆฝังด้วยหินอ่อนที่พนักพิงหลังในห้องเยี่ยนซี มีฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงฉือนั่งอยู่ด้านซ้ายคนหนึ่งและด้านขวาคนหนึ่ง บนโต๊ะน้ำชาสีดำสลักลายดอกไม้ตัวหนึ่งที่อยู่ตรงกลางวางเอาไว้ด้วยกระดานหมากไม้จันทน์แดง หมากที่ทำจากหยกขาวและหยกดำต่างไขว้กันไปมา การเดินหมากได้ดำเนินมาถึงด่านสุดท้ายแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือหมากสีดำ ส่วนเฉิงฉือถือหมากสีขาว
โจวเสาจิ่นเกือบจะร้อง ‘เอ๋’ ออกมา
ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าหรือไม่ก็ผู้ที่มีฝีมือการเดินหมากที่เก่งกาจกว่าจะถือหมากสีขาว ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามจะถือหมากสีดำ
เฉิงฉือเป็นบุตรชายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฝีมือการเดินหมากของเขาคงจะเก่งกาจเป็นอย่างมากกระมัง? แต่ระหว่างมารดากับบุตร จะแบ่งแยกเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้ฝีมือการเดินหมากของเฉิงฉือจะเก่งกาจอย่างไร ก็ไม่สมควรจะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือหมากสีดำ!
อย่างไรเสียโจวเสาจิ่นก็รู้สึกไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
นางก้าวไปทำความเคารพคนทั้งสองด้วยท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พลางหันมาพนักหน้าให้นาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มและเอ่ยถามนางว่า “พระธรรมของวันนี้คัดเสร็จแล้วหรือ กลับไปเร็วสักหน่อยดีหรือไม่ วันหลังข้าค่อยรั้งเจ้าให้อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกัน!”
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดตามมารยาทหรือด้วยความจริงใจ ล้วนเป็นการให้หน้าแก่โจวเสาจิ่นมากแล้ว
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ตามปี้อวี้ออกจากห้องเยี่ยนซีไป ทว่ากลับอดไม่ได้หันกลับไปมองห้องเยี่ยนซีที่เงียบเชียบนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ผ่านผ้าม่านเซียงเฟยบางๆ นั้น เผยให้เห็นว่าเฉิงฉือเอนตัวอยู่บนหมอนใบใหญ่อย่างเกียจคร้านเหมือนกับวันนั้นที่ศาลาซานจือ หมากที่ทำจากหยกสีขาวที่อยู่ระหว่างนิ้วขาวไร้จุดตำหนิและเรียวยาวนั้นขยับไปมาอย่างมีชีวิตชีวา แสดงให้เห็นถึงความผ่อนคลายและสบายๆ ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมองที่กระดานหมากด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปมจนยุ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจัง
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้กระซิบถามปี้อวี้เสียงเบาว่า “ฝีมือการเดินหมากของท่านน้าฉือนั้นยอดเยี่ยมมากเลยหรือ”
ปี้อวี้เม้มริมฝีปากยิ้ม พลางกล่าว “ยอดเยี่ยมยิ่งนักเจ้าค่ะ…ถึงกับต่อให้คุณชายใหญ่สิบตัว ต่อให้นายท่านใหญ่สี่ตัว และต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าสามตัว”
เก่งกาจขนาดนี้เชียว!
โจวเสาจิ่นไม่มีพรสวรรค์ทางด้านการเดินหมากและการคิดเลข โจวชูจิ่นใช้เวลาสอนนางเดินหมากไปมาก แต่ระดับการเล่นของนางยังคงอยู่ที่หมากกระดานแบบเรียงห้าตัวเท่านั้น แม้แต่หมากกระดานแบบเรียงห้าตัวก็ยังไม่สามารถเอาชนะซือเซียงได้
นางอดไม่ได้เกิดความเลื่อมใสอยู่ในใจ ถามปี้อวี้ว่า “ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว แสดงว่าฝีมือการเดินหมากของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” น้อยครั้งนักที่จะเห็นปี้อวี้แสดงท่าทางภาคภูมิใจออกมาเช่นนี้ “ข้าได้ยินสื่อมามาเล่าว่า เดิมทีนายท่านผู้เฒ่าล้วนไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของฮูหยินผู้เฒ่าได้…” นางยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค ก็มีเสียง ‘ปัง’ เสียงหนึ่งดังออกมาจากทางด้านห้องเยี่ยนซี และตามมาด้วยเสียง ‘เพล้ง’ กังวานใสของหยกที่ตกกระทบพื้นในทันที
ปี้อวี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
มีเสียงร้องไห้โฮดังออกมาจากทางด้านห้องเยี่ยนซี
ปี้อวี้ไม่อาจสนใจอะไรได้อีก รีบกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ข้าไม่ส่งคุณหนูรองแล้ว” จากนั้นก้าวเท้ายาววิ่งเข้าไปในห้องเยี่ยนซีอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นทราบดีว่า ตามหลักการและเหตุผลแล้ว ในเวลานี้ตนควรจะหลีกเลี่ยงออกไปก่อนถึงจะถูก แต่นางก็สงสัยใคร่รู้จริงๆ คิดแล้วคิดอีก เห็นว่าไม่มีใครเข้ามาสอดส่องเลย นางจึงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
ปี้อวี้ยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังกระซิบปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเอาไว้กำลังเช็ดขอบตา และเฉิงฉือก็เอนตัวอยู่บนหมอนใบใหญ่ด้วยท่าทางเรียบเฉยเช่นเดิม กระดานหมากตกอยู่บนพื้น ขณะที่หมากร่วงกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น
นี่มันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
นับเป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้องไห้!
ต่อให้เป็นเพราะเดินหมากแพ้ แต่ก็เป็นบุตรชายของตัวเอง ทั้งยังเป็นการเล่นกันส่วนตัว ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะปัดกระดานหมากทิ้งและร้องไห้โฮด้วยเหตุผลนี้!
นางงุนงงเล็กน้อย
จากนั้นก็รู้สึกขนหัวลุก เมื่อเห็นสายตาของเฉิงฉือมองกวาดมาอย่างเรียบเฉย
ถูกผู้อื่นจับได้คาหนังคาเขา
โจวเสาจิ่นรีบก้มศีรษะลง แล้วหมุนกายจากไป
ท่าทางของเฝ่ยชุ่ยกับชิงเฟิงต่างก็ค่อนข้างเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ทั้งสองคนก็ยังคงเฝ้าอยู่ที่ประตูห้องโถง และก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นกลับมาถึงเรือนเจียซู่ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความสงสัย ด้วยเหตุผลบางอย่างที่นางเองก็อธิบายไม่ได้ ทำให้ยามอยู่ต่อหน้าท่านยาย ท่านป้าใหญ่และพี่สาวนั้น นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนหานปี้ซานเลยแม้สักคำ
วันรุ่งขึ้น นางก็ได้ทราบข่าว
เฉิงซวิ่นผู้เป็นหลานชายคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่ารองจวนหลัก ซึ่งเกิดปีเดียวกับเฉิงสวี่ โดยอ่อนกว่าเขาเพียงห้าวันนั้นได้เสียชีวิตลงจากความเจ็บป่วย
ชาติก่อน ตอนที่นางได้ยินข่าวนี้นั้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร กระทั่งกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้วก็จำไม่ได้ด้วยว่าช่วงเวลาที่เฉิงซวิ่นเสียชีวิตนั้นเป็นช่วงเวลาใด แต่ตอนนี้ อาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะนางเองก็เคยประสบกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรมาก่อน เมื่อได้ยินว่าเฉิงซวิ่นเสียชีวิตลงจากความเจ็บป่วย น้ำตาของนางก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
ที่ผ่านมาทายาทชายของตระกูลเฉิงก็มีไม่มากมาโดยตลอด เฉิงซวิ่นเสียชีวิตจากความเจ็บป่วยไป เช่นนั้นทายาทผู้สืบทอดสายของนายท่านผู้เฒ่ารองก็จะขาดไป เป็นไปได้หรือไม่ที่จะรับบุตรชายของตระกูลเฉิงมาเป็นบุตรบุญธรรม? แล้วจะรับผู้ใดได้?
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวน่าจะครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้มากยิ่งกว่านางเสียอีก
เสียดายที่นางไม่รู้ว่าผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ทำให้แม้แต่ประโยคปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักประโยคก็ไม่มี
กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่เห็นโจวเสาจิ่นดวงตาแดงก่ำ จึงดึงนางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดและถอนหายใจออกมาอย่างถอดใจครั้งหนึ่ง กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “สิ่งที่ทำให้คนยากที่จะทานทนมากที่สุดในโลกนี้ก็คือ การที่คนหัวหงอกต้องส่งคนหัวดำไปก่อน จะว่าไปแล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นเป็นผู้ที่ให้การสอนสั่งนายท่านผู้เฒ่ารองจวนหลักมา วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับนายท่านผู้เฒ่ารองเช่นนี้ ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเสียใจขนาดไหน ข้าว่าเจ้าต้องไปปรึกษากับนายท่านใหญ่เสียหน่อย ว่าจะส่งพ่อบ้านไปร่วมงานศพที่จิงเฉิงหรือจะให้เก้าเอ๋อร์หรืออี้เอ๋อร์เป็นตัวแทนของจวนสี่ไปจิงเฉิงสักครั้งดี”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเช็ดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ขานตอบเสียงเบา แล้วออกไปที่ลานด้านนอก
โจวเสาจิ่นสับสนเล็กน้อย
นางจำได้ว่าตอนที่เฉิงซวิ่นเสียชีวิตในชาติที่แล้วนั้น เฉิงเก้ากับเฉิงอี้ยังคงไปเรียนและฝึกเขียนตัวอักษรเช่นเดิมโดยไม่มีอะไรต่างไปจากปกติ แล้วทำไมชีวิตนี้จึงเปลี่ยนไปกันนะ?
โจวเสาจิ่นถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “เช่นนั้นวันนี้ยังคงไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไปเถอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนใจพลางกล่าว “มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะยิ่งมีใจต้องการคัดลอกพระธรรมมากขึ้น”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับ และไปที่เรือนหานปี้ซานพร้อมกันกับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
เนื่องจากเป็นรุ่นหลาน และทางซอยจิ่วหรูที่นี่ก็ยังมีผู้ใหญ่อยู่ จึงไม่เหมาะจะสวมชุดไว้ทุกข์ บรรดาบ่าวรับใช้ต่างๆ ในเรือนหานปี้ซาน นอกจากเครื่องประดับเงินและทองแล้ว ก็เปลี่ยนเสื้อแดงและกระโปรงเขียวออกไปด้วย
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกๆ ที่ของเรือนหานปี้ซานต่างเต็มไปด้วยความหนาวเย็นอยู่หลายส่วน
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเต็มไปด้วยความอ่อนล้าอยู่หลายส่วน กล่าวขอบคุณสำหรับคำปลอบโยนของฮูหยินผู้กวน ยังกล่าวอีกว่า “อีกไม่นานอากาศก็จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันแล้ว พวกเด็กๆ ต่างก็ยังมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น อย่าทำให้พวกเขาต้องลำบากเลย ระมัดระวังอย่าให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ความปรารถนาดีของพวกเจ้าข้ารับเอาไว้แล้ว เพียงส่งพ่อบ้านไปร่วมจุดธูปเทียนก็พอ เด็กเองก็ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ อย่ารบกวนให้เขาต้องกลับมาเกิดใหม่อีกเลย”
เป็นคำกล่าวที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและโจวเสาจิ่นต่างก้น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย
โจวเสาจิ่นกล่าวอาสาขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าพวกพ่อบ้านจะออกเดินทางกันเมื่อใดหรือเจ้าคะ ข้าอยากจะคัด ‘หว่างเซิงโจ้ว’ เพื่อเผาส่งไปให้พี่ชายซวิ่นสักสองสามแผ่นเจ้าค่ะ”
“เด็กดี เจ้ามีความตั้งใจแล้ว” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวนั้น ขอบตาก็มีน้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อย “พ่อบ้านฉินได้ออกเดินทางไปแล้ว ส่วนจวนรอง จวนสาม และจวนห้าบอกว่าจะส่งคนเข้าเมืองหลวงไปร่วมพิธีด้วยเช่นกัน ข้าให้พวกเขาออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้ เวลากระชั้นชิดยิ่งนัก เกรงว่าจะไม่ทัน แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปทำพิธีกรรมให้ซวิ่นเกอเอ๋อร์ที่วัดกันเฉวียน เจ้าร่วมทางไปกับข้าดีหรือไม่ ไปจุดธูปเทียนให้เขาต่อหน้าองค์พระโพธิสัตว์ ก็ถือเป็นการทำดีที่สุดแล้ว”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึก แต่ตลอดทั้งคืนนั้นก็ยังคัด ‘หว่างเซิงโจ้ว’ ได้สามแผ่น ฝากให้พ่อบ้านใหญ่ของจวนสี่นำไปที่จิงเฉิงด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบเรื่องแล้วก็ลูบศีรษะของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ปี้อวี้อยู่คอยรับใช้โจวเสาจิ่นให้ได้นอนต่ออีกหน่อยบนรถม้า กล่าวว่า “เดี๋ยวไปถึงที่วัดแล้ว ยังต้องสวดมนต์อีก อย่าให้ร่างกายต้องล้มพับลงไปได้”
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ได้อดนอนเช่นนี้มานานแล้ว จึงค่อนข้างกลัวเหมือนกันว่าเดี๋ยวถึงที่วัดแล้วตนเองจะทรงตัวไม่อยู่ จึงไม่เกรงใจอีก และนอนหลับอยู่บนรถม้า
กระทั่งถึงวัดกันเฉวียน เมื่อลงจากรถม้าแล้ว นางถึงได้สังเกตว่าเฉิงฉือเองก็มาที่วัดกันเฉวียนเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามไม่พบเฉิงสวี่
โจวเสาจิ่นโล่งอกเป็นอย่างมากไปทีหนึ่ง
แต่เฉิงฉือยังคงมีท่าทางเกียจคร้านเช่นเดิม ราวกับว่าไม่ได้เสียใจอะไรมากมายต่อการจากไปของเฉิงซวิ่นอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ก็อาจเป็นไปได้ว่าบุรุษกับสตรีนั้นต่างกัน สตรียามมีเรื่องอะไรก็มักจะแสดงออกบนใบหน้า ในขณะที่บุรุษกลับซ่อนเอาไว้ในใจ เช่นเดียวกันกับท่านลุงใหญ่ที่เมื่อได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเฉิงซวิ่นก็เศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาเป็นปกติ สั่งการพ่อบ้านเสียงเข้มให้จัดเตรียมการไปร่วมพิธีของเฉิงซวิ่นที่จิงเฉิง
คนที่ติดตามมากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวในวันนี้ นอกจากโจวเสาจิ่นแล้วก็ยังมีเฉิงฉือ หยวนซื่อ เฉิงสวี่ จวนรองก็มีฮูหยินใหญ่อี๋ เฉิงสือ จวนสามก็มีเจียงซื่อ เฉิงเสียน เฉิงเจิ้ง เฉิงเจีย พานจ้าว พานชิง จวนสี่ก็มีฮูหยินใหญ่เหมี่ยน เฉิงเก้า เฉิงอี้ โจวชูจิ่น ส่วนจวนห้าก็มีฮูหยินใหญ่เวิ่น เฉิงนั่ว ฮูหยินใหญ่อวี้ เฉิงจวี่ ต่งซื่อ และเฉิงลู่
เฉิงสวี่และพี่ชายน้องชายคนอื่นๆ อีกหลายคนอยู่ที่โถงหลัก ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นและสตรีคนอื่นๆ อยู่ที่ห้องโถงข้างด้านหลัง
โจวเสาจิ่นคุกเข่าอยู่บนเบาะ ท่องบทสวดอย่างคร่ำเคร่งและตั้งใจ
ก็เหมือนกับค่ำคืนมากมายในชาติก่อน ที่นางจะคุกเข่าอยู่ในห้องพระขนาดเล็กที่บ้านสวนต้าชิ่ง และสวดมนต์ให้กับลูกที่โชคร้ายของตนผู้นั้น
ตอนที่เฉิงฉือเดินเข้ามา เห็นเฉิงเจียที่คุกเข่าอย่างโงนเงนเล็กน้อยอยู่ด้านหน้าโต๊ะจุดธูปกับพานชิงที่คุกเข่านั่งอยู่บนช่วงขาด้านล่าง และโจวเสาจิ่นที่ตัวตั้งตรงราวกับต้นฮว่าต้นหนึ่งที่เติบโตอยู่กลางถิ่นทุรกันดารที่แห้งแล้ง
นางค่อยๆ หมุนลูกประคำไม้จันทน์สีแดงเข้มในมืออย่างช้าๆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลาที่เนียนละเอียดนั้นราวกับหยกที่ส่องประกายอยู่ในห้องโถงพระที่มืดสลัว ขนตางอนยาวเป็นแพนั้นทอดเงาเป็นสายอยู่ใต้ดวงตาที่ปิดอยู่เบาๆ ราวกับดอกบัวที่อยู่ต่อหน้าพระที่นั่งขององค์พระโพธิสัตว์ ดูเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธ์
เขางุนงงเล็กน้อย
เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุสิบสองปีผู้หนึ่งเท่านั้น ทำไมถึงสุขุมและอยู่อย่างสงบนิ่งได้ขนาดนี้
เฉิงฉือเงยหน้าขึ้น
เห็นใบหน้ายามโปรดสัตว์ขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิม
หรือว่าบางคนจะมีพระพุทธอยู่ในตัวโดยธรรมชาติ?
เฉิงฉือหมุนกายกลับไป กล่าวกับปี้อวี้ที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอกว่า “เจ้าไปรายงานฮูหยิน บอกว่าใกล้จะถึงเวลาของมื้อเที่ยงแล้ว อย่าปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป”
ปี้อวี้ขานรับอย่างนอบน้อม จากนั้นนำคำเข้าไปแจ้งในห้องโถง
เฉิงฉือรีบสาวเท้าออกไปจากลานด้านหลังอย่างรวดเร็ว
…………………………………………………………………………