ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 59 ตกน้ำ
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 59 ตกน้ำ
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใด นางคิดว่าพานชิงจับตามองนางมากไปเสียแล้ว
นางยิ้มตบตาและกล่าวกับพานชิงไปว่า “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่มายืนรับลมอยู่ตรงนี้เท่านั้น”
สายลมที่พัดผ่านมาจากทางฝั่งทะเลสาบนั้นเย็นสบายยิ่งนัก
“เช่นนั้นหรือ” พานชิงยิ้มพลางมองไปยังศาลาริมน้ำ กล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่าทิวทัศน์ทางฝั่งโน้นน่าจะสวยงามยิ่ง ทว่าน่าเสียดายที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้านั้น กลับเดินเที่ยวชมได้ไม่สะดวกนัก”
โจวเสาจิ่นเพียงแค่หัวเราะแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉิงเจียที่เดินผ่านมาพลางกระพือพัดเซียงเฟยทรงกลมปักลายผีเสื้อตอมดอกไม้สีแดงด้ามจับเคลือบทอง ถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ทำไมกันหรือ ที่ตรงนี้มีอะไรให้ดูกัน”
“ก็แค่เย็นดีเท่านั้นเอง” พานชิงตอบกลับพร้อมกับยิ้มมองโจวเสาจิ่นหนึ่งครั้ง
“ช่างมีพิรุธเสียจริง!” เฉิงเจียพึมพำเสียงเล็กพลางชำเลืองมองพานชิง แล้วยิ้มกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “พรุ่งนี้เจ้าลาหยุดสักครึ่งวันในช่วงบ่ายได้หรือไม่ ข้าอยากจะนัดเจ้าไปพายเรือในสวนดอกไม้ ดอกบัวในแม่น้ำชิงซีตูมแล้ว ข้าอยากจะเก็บใบบัวมาตากแห้งในช่วงฤดูหนาวสำหรับทำไก่ยัดไส้ห่อใบบัวเอาไว้ทาน”
“ลาไม่ได้หรอก!” โจวเสาจิ่นยิ้มตอบ “ในเมื่อข้าสัญญากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปแล้ว จะกล่าวแล้วคืนคำก็ไม่ได้ เจ้าไปเองเถอะ แล้วเก็บมาเผื่อข้าด้วยนะ”
คำขอร้องที่เปิดเผย ก็หมายความว่าไม่ได้มองว่าตนเองเป็นคนนอก!
เฉิงเจียดีใจขึ้นมาทันใด กล่าวขึ้นว่า “ดอกบัวเต็มสระเช่นนี้ ต้องมีใบบัวมากมายเป็นแน่ ถึงเวลานั้นข้าจะเก็บใบบัวมาเผื่อเจ้า นอกจากจะสามารถทำไก่ยัดไส้ห่อใบบัวแล้ว ยังสามารถนำมาทำชา…”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เพียงแต่ไม่ยอมให้พานชิงได้กล่าวแทรกขึ้นเลยสักหนึ่งประโยค จนกระทั่งชุ่ยหวนมารายงานว่า เฉินต้าเหนียงมาแล้ว เฉิงเจียจึงคล้องแขนโจวเสาจิ่นเดินกลับไปยังห้องศึกษาจิ้งอัน
สายตาของพานชิงเย็นเยือกเล็กน้อย
แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นโจวเสาจิ่นหรือเฉิงเจียที่เดินอยู่ข้างหน้านางนั้นต่างก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย เมื่อถึงห้องศึกษาจิ้งอันทั้งสองคนยังคงกระซิบกระซาบคุยกันต่อเป็นพักๆ ทอดทิ้งนางให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว
ปรากฏว่า ตอนที่เฉิงเจียไปเก็บใบบัวนั้นนางเกือบจะตกลงไปในทะเลสาบ
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมากไปทีหนึ่ง
ในชาติก่อน ก่อนที่นางจะเกิดอุบัติเหตุนั้น เฉิงเจียเก็บใบบัวได้อย่างราบรื่น ทว่าไฉนในชาตินี้ถึงเกิดอุบัติเหตุใหญ่ได้?
ยังดีที่เฉิงเจียถูกป้าคว้าตัวไว้ทัน แต่ทว่าก็ตกใจกลัวเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกับพี่สาวจึงไปเยี่ยมเฉิงเจียด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็เรียกพวกนางเข้าไปหา กล่าวขึ้นว่า “…วานถามให้ข้าที ว่าหลานเจียอยากรับขวัญหรือไม่ หากว่าอยากรับล่ะก็ ข้ายังมีจูซาชั้นดีอยู่ที่นี่”
ทั้งสองคนยิ้มพลางตอบรับคำ จากนั้นจึงไปเรือนหรูอี้พร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
เรือนหรูอี้ตั้งอยู่กลางจวนสาม ฝั่งตะวันออกคือเรือนหลิงหลงของเฉิงเจิ้ง ฝั่งตะวันตกคือเรือนเต้าเซียงของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ซื่อ ด้านหน้าทางฝั่งทิศใต้เป็นโถงวางแท่นบรรพชนของจวนสาม ทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก ประดับตกแต่งอย่างโอ่อ่าตระการ โดยเฉพาะห้องโถงฝั่งทิศใต้นั้นมีด้านหนึ่งที่ใช้ไม้สนหนานมู่ทำเป็นชั้นวางของล้ำค่ากั้นห้องเอาไว้ วางประดับตกแต่งเอาไว้ด้วยเครื่องประดับทรงหรูอี้ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงโชคลาภต่าง ๆ ที่ทำจากหยก เงิน และทองสารพันชนิด ระยิบระยับพราวตา หากชำเลืองมองไปครั้งหนึ่ง ก็ลืมตาไม่ขึ้นอยู่บ้าง
ตอนที่พวกนางเข้าไปเยี่ยม เฉิงเจียที่นอนพิงหัวเตียงและห่มผ้าไหมสีแดงทอลายนกเฟิ่งหวงแหงนมองพระอาทิตย์นั้นกำลังพูดคุยอยู่กับเจียงซื่อและฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่นั่งล้อมอยู่ข้างหน้าเตียงของนาง โดยมีเฉิงเสียนกับพานชิงยืนอยู่ข้างหลังเจียงซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ ส่วนบรรดาสาวใช้กับหมัวมัวข้างกายเจียงซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ นั้นคอยอยู่นอกห้อง เรือนหลักที่กว้างใหญ่เยี่ยงนี้ มีผู้คนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ขณะที่สูดลมหายใจเข้าไปนั้นก็ได้กลิ่นของแป้งกับชาดหลากหลายชนิดผสมคละคลุ้งกันไป
โจวเสาจิ่นที่คุ้นเคยกับกลิ่นอ่อนๆ ทนสูดกลิ่นเยี่ยงนี้ไม่ได้เลย จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น
เป็นไปได้ว่านานแล้วที่ไม่ได้เข้าห้องอิสตรีจึงไม่รู้สึกว่ามีกลิ่นหอม ทว่าเฉิงเจียกลับดูไม่แตกต่างไปจากเดิมแต่อย่างใด ขณะที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ กำลังทำความเคารพกันอยู่นั้น นางโบกมือให้โจวเสาจิ่น “เจ้ามาทำไมกันหรือ ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” แล้วร้องทักทายโจวชูจิ่นด้วยเสียงสูงว่า “พี่ชูจิ่น!”
โจวชูจิ่นยิ้มให้นาง
ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นที่ยืนห่างออกไปไม่ได้สังเกตเห็นเลย ทว่าตอนนี้พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ถึงพบว่าใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ยิ้มแฉ่งดั่งดอกไม้ ไหนเลยจะมีท่าทางหวั่นกลัวเลยสักนิด แต่เจียงซื่อและคนอื่นๆ กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่านาง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะและกล่าวขึ้นว่า “ยามที่พวกเด็กๆ เจ็บไข้ได้ป่วย นับเป็นเรื่องปกติที่พอรอยแผลหายดีก็จะลืมความเจ็บปวดไปหมดแล้ว ก่อนที่จะมาที่นี่นายหญิงผู้เฒ่าของพวกเรายังย้ำแล้วย้ำอีกว่า ให้พวกข้าถามไถ่เรื่องของหลานเจียให้ได้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทว่านางกลับปกติดี เหมือนคนที่ไม่เจ็บป่วยอะไร ก็ได้แต่รู้สึกสงสารพวกเราผู้เป็นบิดามารดาเหล่านี้”
“จริงแท้ยิ่งนัก! นางแทบจะทำให้ขวัญทั้งเจ็ดของท่านย่าของนางร่วงหล่นลงไปแล้วสามขวัญ” เจียงซื่อค่อยๆ คืนสติกลับมา ยามที่ได้ยินคำบอกเล่าเยี่ยงนี้ก็ย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ นางรับชาที่สาวใช้ยกมาให้ มอบให้แก่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนด้วยมือของตนเอง “ทว่านางยังคงยิ้มร่า ปล่อยให้นายหญิงผู้เฒ่าของพวกเราเป็นกังวล หากไม่ใช่เพราะโจวเหนียงจื่อกล่าวว่าไม่เป็นไรล่ะก็ คงจะต้องบังคับให้นายท่านไปเรียกหมอมาอีกครั้ง”
เฉิงเจียรู้สึกเคอะเขิน โวยวายแย้งไปว่า “มีเกินจริงขนาดนั้นที่ไหนกันเจ้าคะ เพียงแค่ป้าที่เก็บใบบัวคนนั้นไม่ระวังแล้วเผลอเหยียบแคมเรือ เรือจึงโคลงเคลงไปมา ข้านึกไม่ถึงว่าจะตกใจขวัญหาย กรีดร้องไปครั้งหนึ่ง พวกนางก็ช่วยฉุดข้าเอาไว้ ทำให้แขนเสื้อเปียกก็เท่านั้นเอง…”
“เจ้ายังจะกล่าวอีกหรือ!” เจียงซื่อจ้องเฉิงเจียเขม็ง “ไม่เคยทำให้คนอื่นหายห่วงเลยสักนิด หากว่าเจ้าอยากจะเก็บใบบัว ก็สั่งบ่าวรับใช้ไปก็พอ เจ้าก็ดี กลับนั่งเรือไปเอง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ เอ่ยขึ้นว่า “พอแล้วๆ เจ้ากล่าวไปกี่รอบแล้ว นางก็สำนึกผิดแล้ว เจ้าไม่ต้องพร่ำบ่นนางอีกต่อไป สาวใช้คนนั้นที่ช่วยคว้าตัวหลานเจียไว้ชื่ออะไรหรือ ข้าจะตกรางวัลให้! ไม่เช่นนั้นใครเล่ายังจะอยากเป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์อีก!”
ถึงแม้ว่าเจียงซื่อไม่เคยเห็นแม่สามีอยู่ในสายตา ทว่าต่อหน้าคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังกลับแสดงเคารพนับถือยิ่งนัก ไม่ยอมให้ผู้อื่นหยิบเอามาเป็นข้อครหาได้
นางลุกขึ้นและขานตอบไปว่า ‘เจ้าค่ะ’ อย่างนอบน้อม แล้วไม่กล่าวอะไรอีกเลย
เฉิงเจียหันไปทางโจวเสาจิ่นแล้วขยิบตาให้
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับถอนหายใจอยู่ในใจ
เฉิงเจียก็ถูกตามใจด้วยเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม มีคนที่ตามใจอยู่เสมอย่อมดีกว่าไม่มีใครมาตามใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ก็จับมือของโจวเสาจิ่นและกล่าวว่า “พวกเจ้าเล่นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้พี่สาวเจียของเจ้าต้องพักฟื้นตัวอยู่ในห้องสองสามวัน ถ้าหากเจ้ายินยอมก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนแก้เบื่อให้นางที”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางรับปาก
ฮูหยินใหญ่เวิ่นของจวนห้าเดินเข้ามา
นางเดินผ่านประตูมาโดยไม่ถามไถ่ว่าเฉิงเจียเป็นอย่างไรบ้าง แต่กลับจับมือของเจียงซื่อ และสะอื้นร่ำไห้หลั่งน้ำตาดั่งสายฝน “ข้าเป็นคนที่ชะตาแสนอาภัพคนหนึ่ง เกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น ก็ไม่มีหน้าจะมาเยี่ยมเยียนแต่ละจวนแล้ว”
เจียงซื่อรู้สึกขุ่นเคืองที่นางไม่รู้จักกาลเทศะ จึงพานางไปนั่งเก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ข้างๆ
หยวนซื่อของจวนหลักกับฮูหยินใหญ่หงและเจิ้งซื่อของจวนสองต่างก็มาเยี่ยม
คนของจวนสี่จึงกล่าวอำลาขอกลับก่อน
เจียงซื่อส่งพวกนางออกจากเรือนหรูอี้ด้วยตนเอง
บนท้องฟ้าต่างเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ดวงจันทร์สว่างสุกใสอยู่กลางท้องฟ้า
โจวชูจิ่นคล้องแขนฮูหยินใหญ่เหมี่ยน และพูดคุยถึงเรื่องทั่วไปภายในจวน เดินไปยังเรือนเจียซู่อย่างไม่ช้าไม่เร็ว
โจวเสาจิ่นที่ติดตามอยู่ข้างหลังพวกนางกลับคิดถึงเรื่องของเฉิงอี้ แล้วรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจ
คนอายุเท่าเฉิงอี้เช่นนี้ กำลังอยู่ในวัยที่ซุกซนเกเร อยากรู้อยากเห็นเรื่องการดื่มสุรา เล่นพนันและเที่ยวหอนางโลม แม้กระทั่งไปลองดูสักครั้ง นั่นก็เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งนัก เพียงแค่รู้ผิดแล้วแก้ไข ก็กลับตัวเป็นเด็กที่ดีได้ ต่อให้นางนำเรื่องนี้ไปฟ้องท่านยาย ท่านยายก็คงจะห้ามเฉิงอี้ไม่ให้ไปเที่ยวเล่นกับคนพวกนั้นอีกเสียมากกว่า แต่ไม่อาจไปจัดการเรื่องภายในสวนดอกไม้เล็กของจวนห้าว่าจะยังมีการร้องเล่นเต้นระบำกันต่อไปหรือไม่ กล่าวคือ ที่ตรงนั้นเป็นเขตพื้นที่ของผู้อื่น เป็นบุตรชายของผู้อื่น ในเมื่อจวนสี่ไม่ใช่ผู้นำตระกูลหรือเป็นสายเลือดตรง อีกทั้งตลอดมาก็ไม่เคยล่วงเกินจวนอื่นๆ โดยง่าย ในเมื่อไม่มีคุณสมบัตินั้น ก็ไม่สามารถไปจัดการยุ่งเกี่ยวได้ มากที่สุดก็คงจะแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสของแต่ละจวนทราบอย่างอ้อม ๆ ยามที่สายลมกระโชกแรงนี้พัดผ่านไปแล้ว เกรงว่าพวกเขายังจะรวมตัวกันใหม่… ช่องโหว่ของจวนห้าก็ยังคงมีอยู่ต่อไป
หากว่าอยากจะอุดช่องโหว่นี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ ให้พวกผู้อาวุโสของตระกูลเฉิงทราบถึงภัยอันตรายที่อยู่ภายในนั้น
แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จะนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อหน้าผู้อาวุโสของตระกูลเฉิงได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นนึกถึงฮูหยินใหญ่เวิ่นแล้ว… นางก็ยิ้มขมขื่นอย่างห้ามไม่อยู่
รอจนได้พบท่านยาย หลังจากท่านยายได้ถามถึงเรื่องของเฉิงเจียเสร็จก็เตือนพวกนางพี่น้องไม่ให้ไปเด็ดดอกไม้เก็บดอกบัวด้วยตนเองอีกต่อไป ตอนที่เตือนให้ระวังจะ ตกลงในน้ำหรือล้มลงบนพื้น นั้น นางก็สะดุดใจ เมื่อเดินออกจากเรือนเจียซู่จึงใช้ชุนหว่านให้ไปเรียกฝานฉีมา กล่าวว่า “ข้ามีธุระต้องการให้เขาทำ”
โจวชูจิ่นประหลาดใจจึงถามขึ้นว่า “ดึกเยี่ยงนี้แล้ว มีธุระอะไรที่ต้องเร่งรีบขนาดนี้ รอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ”
“ไอ้หยา ช่วงบ่ายของพรุ่งนี้ข้าคิดจะขอลาหยุดครึ่งวัน ไปเฝ้าเฉิงเจีย” เฉิงเจียพักผ่อนอยู่ในเรือนสองสามวันนี้ ห้องศึกษาจิ้งอันก็เหลือเพียงนางกับพานชิง แทนที่จะเผชิญหน้าพานชิงที่พยายามจะพูดคุยกับนางอยู่เรื่อย ไม่สู้นางไปฟังเฉิงเจียพูดจ้อเสียยังจะดีกว่า ต่อให้พานชิงขอลาหยุดไปเฝ้าเฉิงเจียด้วยเช่นกัน ก็ยังมีเฉิงเจียกับพวกสาวใช้เหล่านั้นที่คอยรับใช้เฉิงเจียอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าอย่างไรพานชิงก็ต้องม้วนหางหนีบไว้ นางยังต้องเสแสร้งเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม จะยอมให้เจียงซื่อได้ยินข่าวลือไม่ดีไม่งามได้อย่างไร
โจวชูจิ่นไม่ถามอะไรต่อ
โจวเสาจิ่นกระซิบสั่งฝานฉีว่า “เจ้าช่วยข้าจับตามองคุณชายรองต่อไปที เพียงแค่พวกเขามีความเคลื่อนไหว เจ้าก็มาบอกข้า จากนั้นสอดส่องดูว่าพวกคุณชายรองกลับมาจากจวนห้าทางด้านนั้นอย่างไร”
ฝานฉีคิดว่านางต้องการจะไปฟ้องผู้อาวุโส ตบหน้าอกและกล่าวว่า “ท่านวางใจได้เลยขอรับ ข้าสาบานว่าจะสืบความมาให้ครบทุกถ้อยคำโดยที่ไม่แหวกหญ้าหรือต้นไม้สักต้นให้ตื่นเลยขอรับ”
โจวเสาจิ่นอมยิ้ม แล้วสั่งให้ซือเซียงหยิบเหรียญทองแดงให้เขาไป กล่าวว่า “เจ้าไปเชิญคนสักสองสามคนไปเก็บใบบัวมาให้หน่อย เหรียญนี้ให้เจ้าไปซื้อสุราเลี้ยงพวกเขา”
เรื่องที่เฉิงเจียไปเก็บใบบัวนั้น นางก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง ตอนนี้เฉิงเจียนอนติดอยู่กับเตียง ไม่ว่าอย่างไรตนจะต้องส่งใบบัวเหล่านี้ไปให้ ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของนาง
ฝานฉีรับเงินแล้วเดินจากไปอย่างมีความสุข
กลางวันของวันรุ่งขึ้น ฝานฉีก็ยกใบบัวสองตะกร้าใหญ่มาให้
โจวเสาจิ่นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ วานชุนหว่านให้พาสาวใช้เด็กสองสามคนมาคัดแยกใบบัวที่อ่อนกับแก่ออกจากกัน ตากใบที่แก่ไว้ทำข้าวห่อใบบัว ไก่ยัดไส้ห่อใบบัว ส่วนใบที่อ่อนเอาไว้ทำชาใบบัว ส่งไปให้ท่านยาย และส่งไปให้จวนอื่นๆ ในนามของจวนสี่
เฉิงเจียรู้เข้าก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก มองโจวเสาจิ่นแล้วยิ้มหวานดั่งน้ำผึ้ง พลางกล่าวกับพานชิงว่า “ยังคงเป็นโจวเสาจิ่นที่ดีกับข้าที่สุด”
พานชิงก็ขอลามาเฝ้าเฉิงเจียเช่นกัน ทว่าเฉิงเจียกลับไม่พูดไม่จากับนางสักหนึ่งประโยค แต่นางกลับสงบนิ่งตีหน้าตาย ควรต้องทำอะไรก็ทำอย่างนั้น โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกเสียใจแทนนาง ทว่ากลับยิ่งทวีความมุ่งมั่นที่จะอยู่ให้ห่างจากพานชิง
วันรุ่งขึ้น ขณะที่นางกำลังออกมาจากเรือนหานปี้ซาน ก็เห็นฝานฉีกำลังกำกิ่งไม้และนั่งยองๆ อยู่ใต้ต้นไม้ข้างทางเดินและวาดรูปไปมาอย่างเหงาหงอย
“เจ้าทำอะไรอยู่หรือ” ซือเซียงเอ่ยถามเขา
ฝานฉีกระโดดพรวดขึ้นมาฉับพลัน
“คุณหนูรอง” สองตาของเขาเปล่งประกาย กระซิบกล่าวขึ้นว่า “ตอนเย็นวันนี้พวกคุณชายรองนัดเล่นพนันกันในสวนดอกไม้เล็กอีกแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นดีอกดีใจ แต่เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ นางจึงถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไปที่สวนดอกไม้เล็กก็เพื่อเล่นการพนัน”
ฝานฉีหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวอย่างภูมิใจว่า “พ่อครัวของจวนห้ายกอาหารอันโอชะอย่างไก่ เป็ด ปลา และเนื้อเข้าเรือนไปตั้งแต่เช้าตรู่ ทว่ามื้อเที่ยงของจวนห้ากลับยังคงเป็นกับข้าวตามปกติ จากนั้นบ่าวข้างกายของคุณชายใหญ่จวี่ก็ไปโรงรับจำนำ จำนำปิ่นทองของสตรีหนึ่งอัน จำนำด้วยบัญชีกระแสรายวัน เป็นเงินสิบเหลี่ยงเงิน ตามคำบอกเล่าของเสมียนโรงรับจำนำนั้น บ่าวผู้นั้นไม่ได้มาเป็นครั้งแรก ช่วงนี้ยิ่งมาบ่อย…นอกจากนั้นยังมีซานเป่าผู้เป็นบ่าวข้างกายของคุณชายรองอีกขอรับ ถุงใส่เงินที่ห้อยอยู่ที่เอวนั้นตุงยิ่ง ข้าจงใจเดินชนเขาครั้งหนึ่ง ของข้างในถุงแข็งมากเลยขอรับ…ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกเขาจะไปเล่นการพนันแล้วยังจะไปทำอะไรได้อีกหรือขอรับ”
………………………………………………………………….