ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 90 เทศกาลวันสารทจีน
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 90 เทศกาลวันสารทจีน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่อยู่ในห้องก็หัวเราะพลางกล่าว “ไม่แปลกใจที่จวนสามจะมีป้าใหญ่หลูของเจ้าเป็นผู้นำในบ้าน ก็เพราะนางฉลาดเฉลียวเช่นนั้น ทั้งบ้านไม่มีใครเทียบนางได้” ขณะที่พูด นางก็กล่องเล็กๆ นั้นออก
มีปิ่นปักผมทั้งหมดอยู่แปดชิ้น ทั้งหมดล้วนทำจากทองและหยก สองคู่แรกเป็นหยกมันแพะ สลักเป็นรูปเมฆมงคล สองคู่ต่อมาเป็นหยกเหอเถียนขาวขุ่น สลักเป็นรูปน้ำเต้าสันติสุข อีกสองคู่ต่อมาเป็นหยกมรกต สลักเป็นรูปดาวหม้อน้ำ ส่วนอีกสองคู่ที่เหลือเป็นหยกโมรา สลักเป็นรูปดอกอวี้หลัน หยกมันแพะนั้นไร้ที่ติ หยกเหอเถียนขาวขุ่นก็ชุ่มชื้นและเรียบเนียน หยกมรกตก็เป็นสีเขียวแวววาว ส่วนหยกโมราก็สว่างไสวงดงาม ไม่มีชิ้นไหนที่ไม่ใช่ของชั้นดี
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสูดลมเย็นเข้าไปลมหายใจหนึ่ง พลางกล่าว “ช่างเป็นของดีเสียจริง!”
โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงหลี่จิ้งขึ้นมา
นางอดไม่ได้ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าท่านป้าใหญ่เหมี่ยนจะสร้างความโปรดปรานด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อยโดยการยืมดอกไม้ของผู้อื่นมาถวายพระเสียแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนไม่เข้าใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
โจวเสาจิ่นจึงชี้ไปยังทิศทางที่จวนสามตั้งอยู่ พลางกล่าว “ช่างตัดชุดผู้นั้นไม่ได้กล่าวเอาไว้แล้วหรือเจ้าคะว่า หลานชายของนายหญิงผู้เฒ่ามาเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่า แค่ของขวัญต่างๆ ก็มีแล้วกว่าหลายคันรถ…”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าเด็กฉลาดผู้นี้ คนอื่นเพียงพูดไปประโยคเดียวกลับเอามาเก็บไว้ในใจแล้ว”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนปิดฝากล่อง กล่าวขึ้นว่า “เก็บเอาไว้เถอะ! ไม่ว่าอย่างไร ล้วนเป็นของดี ต่อไปใช้ทำเป็นสินเจ้าสาวได้”
หน้าของทั้งสองคนแดงเรื่อพลางรับกล่องมา
กระทั่งตอนเย็น ชุ่ยหวนนำความมาส่งให้โจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินใหญ่ของพวกข้าอนุญาตให้คุณหนูใหญ่ไปร่วมเทศกาลวันสารทจีนที่จวนเหลียงกั๋วกงแล้วเจ้าค่ะ เสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ ล้วนจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คุณหนูของข้ากล่าวว่า ถึงเวลานางจะมาพบท่านกับคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ในวันรุ่งเช้าของวันสารทจีนจึงตื่นขึ้นมาทำการบูชาบรรพชน จากนั้นพวกนางก็รอเฉิงเจียอยู่ในห้อง
ทว่ารอตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฉิงเจีย โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นว่า “คงไม่ใช่ว่าเปลี่ยนใจไม่ให้ไปแล้วหรอกนะ?”
โจวเสาจิ่นให้หว่านเซียงไปดูสักหน่อย
หว่านเซียงกลับมารายงานว่า “คุณหนูเจียไปกล่าวอำลานายหญิงผู้เฒ่า ประจวบเหมาะกับที่คุณชายน้อยจากตระกูลเดิมของนายหญิงผู้เฒ่าก็มากล่าวอำลานายหญิงผู้เฒ่าด้วยเช่นเดียวกัน ชุ่ยหวนกล่าวว่า คุณหนูเจียคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ข้องเกี่ยวกับนาง ก็เลยไม่ได้ให้คนมาส่งข่าวให้ท่านทราบ แต่ใครจะรู้ว่านายหญิงผู้เฒ่าไม่ได้พบคนจากตระกูลเดิมมาเกือบจะยี่สิบปีแล้ว จึงดึงมือของคุณชายน้อยเอาไว้และพูดคุยไม่หยุด จะให้นางเดินออกมาเลยเช่นนี้ก็ไม่ดีนัก จึงให้ท่านกับคุณหนูใหญ่รอนางอีกครู่หนึ่ง นางจะรีบมาให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ”
“คุณชายน้อยหรือ” โจวเสาจิ่นเอ่ยถามขึ้น “หลี่จิ้งหรือ”
“ไม่ทราบว่าชื่ออะไรเจ้าค่ะ” หว่านเซียงกล่าว “ทว่าแซ่หลี่แน่นอน คนที่ติดตามมาด้วยต่างก็เรียกเขาว่า ‘คุณชายใหญ่’ เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นทิ้งตัวล้มลงบนเตียงอย่างยินดีเป็นที่สุด จนเสื้อผ้ายับยู่ยี่ และเครื่องประดับก็หลุดลุ่ย
นางวางแผนอยู่ในใจว่าอยากให้เฉิงเจียกับหลี่จิ้งได้พบหน้ากัน ถึงกับให้คนไปสืบว่าหลี่จิ้งพักอยู่ที่ไหน ทว่าเฉิงเจียกับหลี่จิ้งกลับได้เจอกันอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นตอนที่กล่าวอำลาก็ตาม
หากพวกเขามีวาสนาต่อกัน อย่างไรก็ยังจะได้พบหน้ากันอีก
ก็ถือว่าตนเองได้แก้ไขรอยรั่วนี้ให้กลับมาเป็นดังเดิมได้แล้ว
โจวเสาจิ่นท่องอมิตาภพุทธอยู่ในใจ
โจวชูจิ่นเข้ามาจับนางเอาไว้ “รีบลุกขึ้นมาเถอะ ใกล้จะออกเดินทางแล้ว เจ้าดูท่าทางเจ้าสิว่าเหมือนกับอะไร”
ก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในอกนั้นหลุดออกไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็ผ่อนคลายราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้ง ท่าทางจึงเปลี่ยนเป็นเกียจคร้านขึ้นมา
นางอาศัยแรงของพี่สาวยันตัวลุกขึ้นมา ถอดเสื้อผ้าออกมาให้หว่านเซียงรีดให้ใหม่ ทว่ากลับมีภาพของเฉิงฉือที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายสีขาวพระจันทร์ตัวบางวาบผ่านมาเข้าในหัว
ท่านน้าฉือคงไม่ต้องมาคอยระมัดระวังว่าเสื้อผ้าจะยับยู่ยี่หรือไม่อยู่ตลอดเวลาเหมือนนางอย่างแน่นอน และก็คงไม่ต้องรีดเสื้อผ้าบ่อยๆ เหมือนนางด้วย
***
ในวันนั้นพวกนางลอยโคมลอยน้ำอยู่ข้างๆ ทะเลสาบโม่โฉว
แสงจันทร์สะท้อนอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบ โคมลอยน้ำที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลสาบราวกับดวงดารา ทำให้ทะเลสาบโม่โฉวกลายเป็นดังทางช้างเผือก
เฉิงเจียกับอาจูได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค ทั้งสองคนก็กลายเป็นดังสหายสนิทไม่มีความลับต่อกัน กล่าวคือ พวกนางจูงมือกันไปลอยโคมลอยน้ำด้วยกัน กระซิบกระซาบกันที่ข้างหู เย้าแหย่โจวเสาจิ่นอย่างสนุกสนาน คนนั้นให้หนึ่งเหรียญทองแดงคนนี้ให้หนึ่งเหรียญทองแดงแก่ขอทานที่อยู่ข้างทาง คนหนึ่งทำหน้าบูดบึ้งส่วนอีกคนก็หัวเราะร่าเล่นหยอกล้อกับเด็กๆ ที่เป็นลูกของหญิงสาววัยกลางคน…โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวและคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้กลับกลายเป็นดังฉากหลัง โชคดีที่ทั้งสามคนต่างก็มีนิสัยสงบเสงี่ยม เห็นพวกนางเล่นตึงตัง และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน ก็รู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมากไปด้วย
ทว่าคนจากจวนเหลียงกั๋วกงกลับไม่คิดเช่นนั้น
กงมามาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากซ้ำๆ พลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “คุณหนูเฉิงช่างเป็นคนที่กระโดดโลดโผนยิ่งนัก…”
โจวชูจิ่นมักจะคอยปกป้องคนจากตระกูลของตัวเองยามอยู่ต่อหน้าคนนอก จึงทำเสมือนกับว่าฟังไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำพูดนั้น ยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “น้องสาวของข้าผู้นี้เป็นคนที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวา ไม่เพียงในบรรดาพี่สาวน้องสาวของพวกเราเท่านั้นที่ชื่นชอบนาง นางยังเป็นดังสมบัติล้ำค่าในอุ้งมือของผู้อาวุโสในบ้านด้วย นอกจากนี้นางยังเป็นคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยผู้หนึ่ง หากมีอะไรดีๆ ที่พี่น้องในบ้านชื่นชอบ ล้วนยินดีให้เอาไปอย่างเต็มใจ จึงได้รับฉายาหนึ่งว่า ‘เมิ่งฉางในร่างสตรี’…นิสัยจึงค่อนข้างกระโดดโลดโผนอยู่บ้างเล็กน้อย”
กงมามาจำต้องปิดปากเสียให้สนิท
ทันใดนั้นก็มีเสียง ปัง หนึ่งดังขึ้น และมีแสงสว่างไสวขึ้นบนท้องฟ้าทางด้านตะวันออก
“ดูนั่นๆ!” เฉิงเจียกับอาจูร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกันโดยมิได้นัดหมาย “มีคนจุดดอกไม้ไฟอยู่ทางด้านโน้น”
โจวเสาจิ่น โจวชูจิ่นและคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้มองไปตามเสียง ก็เห็นดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่า สีม่วงบ้าง สีแดงบ้าง สีเขียวบ้าง สีน้ำเงินบ้าง กำลังเบ่งบานอยู่บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยสีสันที่หลากหลาย งดงามยิ่งนัก
“งดงามจริงๆ!”
พวกนางหลายคนต่างหยุดเท้าเพื่อมองดู
คนอื่นๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นแล้วมีการจุดดอกไม้ไฟขึ้นที่ทางด้านตะวันออก ทุกคนต่างบอกต่อแก่กันและกัน หลังจากที่คนเดินเท้าจำนวนมากที่ทะเลสาบโม่โฉวส่งเสียงดังระงมอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสตรีจากตระกูลใหญ่ที่ออกมาลอยโคมลอยน้ำโดยมีบรรดามามาล้อมรอบอยู่เหมือนอย่างพวกนาง หรือจะเป็นสตรีที่มีบิดามารดาและพี่ชายน้องชายคอยปกป้องดูแลอยู่อย่างครอบครัวคนทั่วไป ต่างก็หยุดเท้าเพื่องมองดู แล้วก็มีเสียงชื่นชมดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
โจวเสาจิ่นหลับตา ขอพรให้องค์พระโพธิสัตว์คอยปกปักรักษาให้พวกนางสามารถมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ตลอดไป
ด้านข้างมีเสียงหัวเราะร่าดังขึ้น พลางมีเสียงกล่าวขึ้นว่า “น้องสาว ช่างบังเอิญยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะได้พบพวกเจ้าที่นี่!”
โจวเสาจิ่นลืมตาขึ้น หมุนกายกลับไป เห็นใบหน้าของเฉิงสวี่ที่กำลังหัวเราะร่า เพ่งสายตามองไปอีกครั้ง ไม่ไกลนักจากด้านหลังของเขายังมีเฉิงลู่ เฉิงนั่ว เฉิงจวี่และชายหนุ่มอีกหลายคนที่นางไม่รู้จักยืนอยู่ด้านหลัง
คิดไม่ถึงว่าเฉิงสวี่กับเฉิงลู่จะอยู่ด้วยกัน!
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ชาติก่อน เฉิงลู่เคยเอ่ยถึงเฉิงสวี่ โดยกล่าวว่าเฉิงสวี่เป็นคนโปรดของเทพเจ้า ไม่เพียงมีชาติกำเนิดที่สูงส่งและมีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาเท่านั้น ยังฉลาดปราดเปรื่องกว่าผู้ใด คนอื่นต้องท่องตำรากว่าหลายรอบถึงจะจำเนื้อหาได้ แต่เขาเพียงอ่านหนึ่งรอบก็จำได้แล้ว มีความสามารถในการจดจำเป็นเลิศ และยังเชี่ยวชาญในศิลปะทั้งหกที่บุรุชั้นสูงพึงมี อีกทั้งยังมีบิดาผู้มีตำแหน่งเป็นถึงจิ่วชิงที่สามารถถางทางเอาไว้ให้เขาได้อีกผู้หนึ่ง อนาคตในภายภาคหน้าย่อมเป็นอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน
เฉิงลู่ยังกล่าวติดตลกอีกว่า คนเช่นเฉิงสวี่นี้ สมบูรณ์แบบเกินไป ก็เหมือนกับ ‘ทองและหยกที่หากว่าคุณภาพดีเกินมาตรฐานมากเกินไปก็แตกหักได้ง่าย’ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องที่ดี…
นางพอจะฟังออกอยู่รางๆ ว่าเฉิงลู่มีความรู้สึกต่อเฉิงสวี่ดัง ‘ในเมื่อมีหยกน้ำงามแล้ว เหตุใดยังจะมีแสงสว่างอีก’ นางยังเป็นกังวลใจว่าเฉิงลู่จะสร้างปัญหาอะไรที่สำนักศึกษาหรือไม่ จึงให้คนไปสืบข่าวมาเป็นการเฉพาะ คนที่กลับมารายงานให้ฟังว่า เฉิงลู่กับเฉิงสวี่ต่างคนต่างอยู่กันในคนละวงโคจร เนื่องจากเฉิงสวี่มียศตำแหน่งเป็นซิ่วไฉตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังสอบได้เป็นลำดับที่หนึ่ง ถึงแม้อายุยังน้อย แต่สหายที่เขาผูกมิตรด้วยล้วนเป็นคนที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขาเหล่านั้น น้อยครั้งมากที่จะสมาคมกับคนในสำนักศึกษา ส่วนเฉิงลู่กันแตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจโอบอ้อมอารี ใกล้ชิดและสนิทสนมกับอาจารย์และเพื่อนนักเรียนในสำนักศึกษาเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีมาก และค่อนข้างมีชื่อเสียง
ในเวลานั้นนางยังรู้สึกเจ็บแค้นแทนเฉิงลู่ รู้สึกว่าเฉิงลู่นั้นเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หยิ่งผยอง ดีกว่าเฉิงสวี่มากมายนัก เฉิงสวี่ดีกว่าเฉิงลู่เพียงเพราะมีบิดาที่ดีกว่าผู้หนึ่งก็เท่านั้น…ทว่าตอนนี้กลับไปคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้งแล้ว เกรงว่าสิ่งที่เฉิงลู่มีมากกว่าเฉิงสวี่ก็คือความอิจฉาริษยา…
แต่เหตุใดพอนางกลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ จึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย กล่าวคือ ชีวิตก่อน เฉิงลู่กับเฉิงสวี่นั้นเสมือนกับนกเผิงเหนี่ยวและนกเฟิ่งหวง ที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แต่ตอนนี้ พวกเขากลับรวมตัวอยู่ด้วยกันได้…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเหตุการณ์จึงเปลี่ยนแปลงไปหมด มันเกินกว่าที่นางจะจัดการได้!
นางสามารถคิดหาทางดึงเฉิงเจียกลับไปอยู่บนเส้นทางเดิมได้ แต่คงไม่มีความสามารถจะไปจัดการเรื่องของเฉิงสวี่ได้หรอกกระมัง นอกจากนี้ ต่อให้นางมีความสามารถ นางก็ไม่คิดจะสนใจอยู่ดี…
โจวเสาจิ่นกระแอมให้พี่สาวก้าวออกไป ส่วนตนหลบอยู่ข้างๆ ไม่รู้ไม่ชี้ราวกับคนที่ปิดหูขณะขโมยระฆัง
ในดวงตาของเฉิงสวี่มีร่องรอยความผิดหวังหนึ่งวาบผ่าน
เขาไม่เข้าใจ เหตุใดโจวเสาจิ่นต้องจะหลบเลี่ยงเขาอยู่ตลอด
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าเขามีความรู้สึกดีๆ ให้โจวเสาจิ่น ต่อให้ไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้ พวกเขาก็ถือว่าเป็นญาติกัน นางจึงไม่จำเป็นต้องระแวงในตัวเขาราวกับระวังศัตรูอย่างนั้นก็ได้! นอกจากนี้เขายังมาจากครอบครัวที่ขาวสะอาด มีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น และยังเต็มใจที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนยามอยู่ต่อหน้านาง แล้วเหตุใดนางถึงได้ยังใจแข็งเช่นนี้ หรือว่านางจะเป็นอย่างที่เฉิงลู่ว่าเอาไว้จริงๆ ที่ว่าเนื่องจากนางอายุยังน้อยเกินไป จึงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
เฉิงสวี่ขมวดคิ้วมุ่น
เฉิงลู่ยิ้มพลางก้าวออกมา ทำความเคารพโจวชูจิ่นอย่างเคารพและระมัดระวัง เอ่ย “พี่สาวใหญ่” ออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เนื่องจากวันนี้เป็นวันสารทจีน สำนักศึกษาหยุดเรียน พวกเราหลายคนที่เป็นสหายร่วมชั้นจึงนัดแนะกันออกมาเดินเที่ยวชมงานวัดและลอยโคมลอยน้ำด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับพวกท่านด้วย”
รอยยิ้มของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความอ่อนโยน มารยาทสง่างาม ราวกับสุภาพบุรุษ เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียน
โจวชูจิ่นยิ้มพลางกล่าวทักทายกับเขาอยู่สองประโยค จากนั้นเฉิงลู่ก็ลากเฉิงสวี่เดินจากไป
อาจูดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่นเอาไว้ พลางเอ่ยถามขึ้นว่า “ผู้นั้นคือใครหรือ”
ไม่ว่าคนที่นางถามถึงจะเป็นใคร โจวเสาจิ่นล้วนรู้สึกสั่นเทิ้มด้วยความกลัว
เฉิงลู่ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ก็ชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยอะไร ส่วนเฉิงสวี่นั้นยิ่งหุนหันพลันแล่น แล้วก็สามารถล่อลวงผู้อื่นได้ตามต้องการ จึงไม่ใช่คู่ที่ดีเช่นกัน
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอาจูอย่างไรดีนั้น เฉิงเจียก็เบ้ปากและกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เป็นญาติผู้พี่สองคนของข้าเอง คนที่ตัวสูงๆ นั้นคือบุตรชายคนเดียวของท่านลุงใหญ่ของข้า เจ้าอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างแล้ว เขาชื่อว่าเฉิงสวี่ หรือ เฉิงเจียซ่าน ผู้ที่สอบได้เป็นลำดับที่หนึ่งในข้อสอบประจำปีกุ่ยซื่อ รัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบหก ส่วนคนที่ผอมๆ ผู้นั้น หรือก็คือคนที่สนทนากับพี่สาวใหญ่ในเวลาต่อมาผู้นั้น มีชื่อว่าเฉิงลู่ หรือเรียกว่าเซียงชิง เป็นปิ่งเซิงของปีนี้ เป็นญาติสายรองของจวนห้า”
“อา!” แววตาของอาจูระยิบระยับ
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าหัวใจของตนราวกับหยุดเต้นไปสองสามจังหวะ
ทว่าอาจูราวกับว่ายังทำให้นางหวาดกลัวไม่มากพอ เอ่ยถามเฉิงเจียขึ้นมาอีกว่า “พวกเขาต่างหมั้นหมายกันหมดแล้วหรือยัง”
“ยัง” เฉิงเจียกล่าวอย่างดูแคลนว่า “ผู้หนึ่งเวลาเจอใครก็ถามถึงชาติกำเนิดก่อน ส่วนอีกผู้หนึ่งเวลาเจอใครก็ไม่ถามถึงชาติกำเนิดเลย ต่างก็ล้วนไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไร”
ตอนนี้ไม่เพียงอาจูที่รู้สึกแปลกใจ แม้แต่โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเช่นกัน
เฉิงเจียยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ พลางกล่าว “นี่เป็นคำพูดของท่านแม่ของข้า กล่าวคือ ตระกูลฝั่งตายายของพี่ชายสวี่นั้นคือตระกูลหยวนแห่งถงเซียง ดังนั้นเขาจึงชอบที่จะคบค้าสมาคมกับบุตรหลานของตระกูลที่สืบทอดมาจากตระกูลบัณฑิตเช่นเดียวกัน ส่วนพี่ชายลู่นั้นเป็นญาติสายรองของจวนห้า ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารี ด้วยเหตุนี้ท่านแม่ของข้าจึงกล่าวว่า การที่พี่ชายสวี่เป็นเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนหยิ่งทะนงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้คนที่มีชาติกำเนิดที่ด้อยกว่าเหล่านั้นบังเกิดความอิจฉาริษยาได้ ส่วนพี่ชายลู่ที่เป็นเช่นนั้นก็ไม่ดีเช่นกัน ทำให้คนรู้สึกว่าไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึงตัวเขาได้ ยิ่งเป็นการลดสถานนะของตัวเองให้ต่ำลง”
เจียงซื่อช่างเป็นคนที่มีสายตาดังเปลวไฟที่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
การที่จวนสามกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลจริงๆ
ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังจมจ่มอยู่กับความรู้สึกนั้นอยู่นั้น อาจูกลับดึงเฉิงเจียแล้วออกวิ่งอย่างไร้ที่มาที่ไป ขณะที่วิ่งไปด้วยนั้น นางก็หันมากล่าวกับโจวเสาจิ่น โจวชูจิ่นและคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้ว่า “รีบไปกันเถอะ เข้าเห็นพี่ชายของข้าแล้ว!”