ระบบร้านค้าออนไลน์ - ตอนที่ 241
TB:บทที่ 241 แหล่งหยกเจไดต์
ในตอนนี้ความคิดของเฉินหลงได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับ “เสือหางแมลงป่อง” มันธรรมดามาก แต่เขาจะต้องตายโดยทันทีหากเขาเผชิญหน้ากับ “ผึ้งสังหาร” และถ้าจำนวนของผึ้งพวกนั้นไม่ได้มีมาก เขาจะฆ่าพวกมันได้ในทันที เขาจะเก็บน้ำผึ้งและตัวอ่อนผึ้งได้ แต่ถ้าเขาเจอกับพวกตัวใหญ่เขาจะเก็บพวกมันไปก่อนและค่อยให้พวกมันทำงานให้เขาอย่างซื่อสัตย์
“เขามีเครื่องมือช่องมิติด้วยหรือ”
เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งของของเฉินหลงที่หายไปอย่างไม่อาจอธิบายได้แล้ว นักบุญรุ่นเยาว์ทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าเฉินหลงมีเครื่องมือช่องมิติ
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาโล่งใจเมื่อคิดได้ว่านักบุญระดับสูงขอให้พวกเขาปกป้องเฉินหลงอย่างลับๆ
หลังจากนั้นวันหนึ่ง เฉินหลงเข้าไปในภูเขา ของที่เขาเก็บมาได้ยังคงอุดมสมบูรณ์ ในส่วนหลังของภูเขา เฉินหลงเจอรังผึ้งห้ารังที่มีขนาดเท่ากับรังก่อนหน้าที่เขาเจอ และเพื่อที่จะจัดการได้ง่ายๆ เฉินหลงตัดรังผึ้งเป็นสองส่วน แล้วเขาก็ฆ่าผึ้งทั้งหมดในรัง “ผึ้งสังหาร”ก่อน โดยไม่ทำให้น้ำผึ้งและตัวอ่อนต้องเสียไปแม้แต่น้อย แล้วเขาจึงหยิบของพวกนั้นใส่ไว้ในวงแหวนมิติ
ตอนเย็น เฉินหลงกินตัวอ่อนผึ้งย่างมื้อใหญ่ แล้วเขาจึงพักผ่อน
ในภูเขานี้มีราชันย์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง “มดภูเขา” ดังนั้นเฉินหลงจึงมีเวลาพักผ่อน
เมื่อเฉินหลงเข้าระบบไป เขาจึงได้พัก
“ลูกศิษย์ เจ้าไม่ได้นำอาหารให้ข้ามาเสียหลายวัน” เมื่อเทียนซิงจื่อเห็นเฉินหลง เขาบ่นกับเฉินหลงว่าเขาไม่ได้นำอาหารมาให้
“อาจารย์ ไม่ใช่ว่าศิษย์ไม่อยากจะเอาอาหารอร่อยๆให้ท่านหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าศิษย์ของคุณไม่สามารถที่จะกลับบ้านตอนนี้ ผมจึงไม่สามารถหาอะไรอร่อยๆในตอนนี้ ผมมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น” เขาว่าด้วยสีหน้าขมขื่น เฉินหลงส่งน้ำผึ้งและตัวอ่อนผึ้งจำนวนหนึ่งในให้ไป
แน่นอนว่าเฉินหลงไม่ต้องการจะให้เทียนซิงจื่อไม่พอใจในตอนนี้
“โห ผึ้งของเจ้าอร่อยจริงๆ” หลังจากที่กินน้ำผึ้งไปนิดหนึ่ง ใบหน้าของเทียนซิงจื่อเต็มไปด้วยความสุข จากนั้นเขาแสดงสีหน้าประหลาดใจและกล่าวกับเฉินหลงว่า “ศิษย์เอ๋ย น้ำผึ้งของเจ้านั้นไม่ใช่ของที่เจ้าจะผลิตได้ที่นั้น ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด”
เทียนซิงจื่อเป็นนักกินผู้ยิ่งใหญ่ ในทันทีที่อาหารเข้าปากเขา เขาจะแยกแยะพวกมันได้ในทันที น้ำผึ้งประเภทนี้แน่นอนว่าไม่ได้มาจากที่มาอาหารที่เขาเคยกินมาก่อน
“ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน แต่อย่างไรตอนนี้ผมไม่ได้อยู่โลก” จากนั้นเฉินหลงได้บอกเกี่ยวกับสถานที่ที่เขาอยู่ เขาหวังว่าเทียนซิงจื่อจะช่วยเขาได้
หลังจากได้ฟังที่เฉินหลงว่า เทียนซิงจื่อขมวดคิ้วเบาๆ แล้วเขาก็หยิบน้ำผึ้งจำนวนหนึ่งเข้าปากไป หลังจากที่เขาเพลิดเพลินไปสักพักเขาได้กล่าวว่า “พลังของคนที่ทำเรื่องอย่างการเดินทางข้ามจักรวาลและส่งผ่านรังสีได้จะต้องมีระดับศิรา(น้ำ)อย่างแน่นอน เขาสามารถเคลื่อนย้ายสสารที่โลกเจ้าอยู่ คนคนนั้นจะต้องมีเหตุผลสักอย่าง และเนื่องจากที่มีคนเคยเคลื่อนย้ายสสารมาก่อนเจ้าและได้จากไปแล้ว แปลว่า บนโลกของเจ้าจะต้องมีคนที่เคยเคลื่อนย้ายสสารออกไปก่อนหน้านี้ และตราบใดที่เจ้าเจอรังสีการเคลื่อนย้ายสสารเจ้าก็จะกลับไปยังโลกได้” คำของเทียนซิงจื่อทำให้เฉินหลงพูดอะไรไม่ออก เขาพูดมากมาย แต่ไม่มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์เลย ช่างไร้สาระ
“แล้วตอนนี้ผมออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรือ” เฉินหลงถาม
“เป็นไปไม่ได้หากจะออกไป ตราบเท่าที่พลังของเจ้าเป็นขั้นปรามาจารย์แห่งดวงดาว แล้วข้าจะสอนเจ้าให้ใช้รังสีเคลื่อนย้ายสสาร และเจ้าจะได้เคลื่อนย้ายกลับมาโลกได้โดยตรง” เป็นอีกครั้งที่เทียนซิงจื่อกล่าวไร้สาระ
เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะกรอกตา หากว่าพลังของเขาไปถึงระดับขั้นปรมาจารย์แห่งดวงดาว เขาจะต้องไปยังวิหารและถามพวกนักบุญว่าเขาจะกลับไปได้อย่างไร
“ศิษย์เอ๋ย เนื่องจากเจ้าโดนส่งไปที่นั้น จะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง ดังนั้นโปรดจงอยู่ที่นั้นอย่างสงบใจ แน่นอนว่าหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด ขอแค่ถามไถ่” เทียนซิงจื่อพูดอย่างใจกว้าง
สำหรับศิษย์อย่างเฉินหลงแล้ว เทียนซิงจื่อพึงพอใจนัก ในตอนแรกเฉินหลงจะให้อาหารอร่อยๆกับเขาเพื่อให้เขาติดปาก อีกอย่างคือคุณสมบัติของเฉินหลงที่ไม่เลว เทียนซิงจื่อที่เป็นคนคิดบวกคิดว่าเฉินหลงจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งระดับโลกได้ ในอดีตเทียนซิงจื่อเคยขี้งกกับเฉินหลง เนื่องจากอาหารที่เฉินหลงส่งมาให้เขา เขาจึงรู้ได้ว่าพละกำลังของมนุษย์ในโลกของเฉินหลงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก ดังนั้นเขาจึงหวังว่าเฉินหลงจะเป็นคนแข็งแกร่งได้ด้วยความพยายยามของเขาเอง ทว่าในตอนนี้เฉินหลงอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แปลกประหลาดไป พลังที่แข็งแกร่งนั้นช่างทรงพลังมากกว่าบนโลก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องใดๆก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับเฉินหลง เขาจึงครุ่นคิดถึงเรื่องของศิษย์ของเขา
เฉินหลงต้องการจะกล่าวว่าเขาไม่มีอะไรเช่นนั้น ทว่าเมื่อเขาคิดดูแล้ว เรื่องนี้คงอันตรายจริงๆ สุดท้ายแล้วทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาอย่างระฆังทองคงเป็นสกิลระดับโลกเพียงหนึ่งเดียว เมื่อเขาเจอกันคนที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติแล้วเขาไม่ได้มีอะไรเช่นนั้นเลย เขากล่าวไปว่า “ท่านอาจารย์ ทักษะการป้องกันร่างกายของศิษย์ที่นี่อ่อนแอไปเล็กน้อย โปรดจงให้ทักษะสร้างการป้องกันตัวกับผมอีก”
หลังจากที่ฝึกฝนระฆังทองแล้ว เฉินหลงรู้ถึงสิ่งสำคัญของการฝึกฝนร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มการออกศึกหรือเป็นการประลองเดียว พวกคนที่ได้ฝึกฝนร่างการจะอยู่ได้นานกว่าพวกคนที่ไม่ได้ฝึกฝน
“ศิษย์มี “โฮวชิงจื่อ”ที่ได้สอนไป ตราบใดที่พลังของเจ้าไปถึงระดับลมปราณ แล้วเจ้าจะฝึกท่าโฮวชิงจื่อ ที่เป็นอมตะได้ และตราบเท่าที่เจ้าได้ฝึกขั้นพื้นฐาน เจ้าจะป้องกันการโจมตีส่วนมากของพวกที่แข็งแกร่งที่มีระดับต่ำกว่าปรมาจารย์แห่งดวงดาวได้ และหากว่าฝึกไปถึงขั้นระดับค่อนสูงไป เจ้าจะป้องกันการโจมตีในทุกระดับของความแข็งแกร่งที่ไม่เกินระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาวได้ และแม้แต่ปรมาจารย์แห่งดวงดาวก็ยังทำร้ายไม่ได้” เทียนซิงจื่อกล่าว
เขารู้สึกซาบซึ้งที่มีทักษะแข็งแกร่งอย่าง “โฮวชิงจื่อ” เฉินหลงรีบขอบคุณเทียนซิงจื่อ
“เพื่อการฝึกฝนที่ดี ต้องส่งน้ำผึ้งและตัวอ่อนผึ้งให้ข้ามากกว่านี้ในอนาคต” หลังจากที่เทียนซิงจื่อกล่าวจบ เฉินหลงได้ตัดการติดต่อไป
หลังจากที่ตัดการติดต่อ เฉินหลงรู้สึกตื่นเต้นที่ “โฮวชิงจื่อระดับสูง และปรมาจารย์แห่งดวงดาวไม่อาจจะทำร้ายเขาได้ นี่ช่างวิเศษสุด”
ก่อนหน้าเฉินหลงไม่ได้มีโฮวชิงจื่อระดับสูงในความทรงจำ อาจเป็นเพราะพละกำลังนั้นไม่เพียงพอ ในตอนนี้เขาจะต้องพยายยามเพิ่มพลังของลมปราณ
หลังจากที่พักผ่อนในยามค่ำคืนไปแล้ว เฉินหลงเริ่มจะทำการเพิ่มพลังอีกครั้ง
ในขณะเดียวกันเฉินหลงไม่หยุดที่จะมีความหวัง ในวันต่อมาเฉินหลงพบเจอแหล่งหยกเจไดต์ในภูเขา เขาเห็นว่ามีการรักษาแหล่งหยกเจไดต์ไว้ เฉินหลงพลันตื่นเต้นในทันใด
ตราบใดที่เขากลับไปที่โลกได้ แหล่งการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของหยกเจไดต์จะไม่อยู่ที่พม่าอีกต่อไปแต่จะเป็นที่ของเขา
และเนื่องจากได้พบแหล่งแร่แล้ว พวกเขาจึงควรไปดู
“หินแห่งแสง” ที่แลกกับ อู๋หยิง (ไร้เงา) เป็นสิ่งของที่ดี เฉินหลงใช้ “หินแห่งแสง” ทั้งสามสิบก้อนไปจนหมดในตอนนี้ตราบใดที่เฉินหลงมีแหล่งหยกเจไดต์ เฉินหลงจะต้องมี “หินแห่งแสง” อย่างไม่จบสิ้น
เมื่อนำทางโดยความหวัง เฉินหลงค่อยๆเจอกับแหล่งหยกเจไดต์