ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 291 อูโจ้วยอมจำนน
บทที่ 291 อูโจ้วยอมจำนน
บทที่ 291 อูโจ้วยอมจำนน
หมู่เมฆพังทลายกลายเป็นฝุ่นควันในลมหายใจเดียว
เหนือสวรรค์ทั้งเก้า เมฆและหมอกสลายไปหลายหมื่นลี้ ท้องฟ้าสว่างใส ไม่มีสีอื่นเจือปน
ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้า มีร่างสามร่างอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่จักรพรรดินีจะมองเห็นได้ชัดเจน จู่ ๆ ร่างที่ถือดาบก็เคลื่อนไหว พลังทั้งหมดกดลงบนร่างของคนผู้หนึ่งในชั่วพริบตา
คนผู้นั้นถูกแรงกดทับจนล้มลงกับพื้น
ตู้ม!
เสียงแรงระเบิดดังขึ้น ร่างสองร่างก็กระแทกกับพื้น ฝุ่นฟุ้งกระจายปกคลุมทั้งสองคน
จักรพรรดินีเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้า แขนข้างหนึ่งไพล่อยู่ด้านหลัง อีกข้างหนึ่งชี้ลงมา ที่ปลายนิ้วมีแสงสีขาวกำลังแผ่พลังวิถีคุณธรรม
ลู่หยวนไม่แม้แต่จะมองจักรพรรดินี สีหน้าของเขาเคร่งขรึม มองไปที่ฝุ่นควันบนพื้นดิน ดวงตาที่สามบนหน้าผากค่อย ๆ ปิดลง
“อูโจ้ว จะยอมตายหรือยอมจำนน?”
เมื่อเสียงของลู่หยวนดังขึ้น ฝุ่นควันบนพื้นก็สั่นสะเทือนและแสงสีขาวจางลง
ที่ใจกลางฝุ่นควัน มีร่องลึกบนพื้นดินแตกเป็นวงกว้างหลายสิบลี้
ร่างของอูโจ้วเต็มไปด้วยเลือด แขนหักห้อยลงมาอย่างน่าอนาถ บาดแผลรุนแรงจนมองเห็นกระดูก
ที่ด้านข้าง เจิ้งชิงเทียนกำลังยืนถือกระบี่ เท้าขวาเหยียบอยู่บนหัวของอูโจ้ว ทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่บนพื้น
หลังจากที่เสียงของลู่หยวนเงียบลง อูโจ้วก็ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยไม่มีการตอบรับ แล้วก็กระอักเลือดออกมา
ลมหายใจแผ่วเบา ราวกับกำลังจะตาย
เจิ้งชิงเทียนขมวดคิ้ว พร้อมยกเท้ากดไปที่ด้านหลังของอีกฝ่าย
ตู้ม!
กึก!
ตามด้วยเสียงกระดูกแตก ไหล่ของอูโจ้วแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อ๊าก!!!”
เสียงร้องโหยหวนเปล่งออกมาจากปากของอูโจ้ว หลังจากไม่กี่อึดใจ เขาก็กลืนเสียงกรีดร้อง ริมฝีปากสั่น พยายามอดทนอย่างสุดความสามารถ
ลู่หยวนเดินลงมาจากท้องฟ้าทีละก้าว และมายังเบื้องหน้าของอีกฝ่าย
อูโจ้วอดทนต่อความเจ็บปวดและเงยหน้าขึ้น เห็นลู่หยวนเดินใกล้เข้ามา ข้างหลังมีแสงที่เปล่งประกายราวกับเทพแห่งสวรรค์ทั้งเก้า
อูโจ้วรู้สึกว่าฉากตรงหน้าเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างของลู่หยวนยังคงทับซ้อนกับภาพจิตรกรรมฝาผนังในโลกแห่งชีวิตและความตาย
ชั่วขณะหนึ่ง อูโจ้วไม่รู้ว่าเบื้องหน้าของเขาคือลู่หยวน หรือว่าภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ทันใดนั้นอูโจ้วก็รู้สึกว่าจิตใจของเขาสับสน บนภาพวาดฝาผนังมีเงาร่างถือดาบใหญ่เหมือนลู่หยวน ทั้งตัวเต็มไปด้วยไอมาร ที่หน้าผากมีเขามารงอกออกมา ใบหน้าราวกับพญามาร เชือดเฉือนดาบราวกับเทพสังหารจุติ!
ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านั้นยังคงปรากฏต่อหน้าอูโจ้ว
ทันใดนั้น!
ความทรงจำและภาพเหตุการณ์ในอดีตได้ปรากฏขึ้น!
เขาจำได้ว่าเมื่อยังเด็ก เคยไปที่จิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้กับชนเผ่าในตอนนั้น
ภาพจิตรกรรมฝาผนังในขณะนั้นปกคลุมด้วยขี้ตะกอนและทราย จนมองไม่เห็นเนื้อหาที่แท้จริงของภาพเหล่านั้น
ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็พัดมา ฝุ่นที่ด้านหนึ่งของภาพจิตรกรรมฝาผนังก็จางลง
ด้วยประกายแสงสีทอง อักษรก็ปรากฏขึ้น
“วิถีคุณธรรม… จอมมาร… ใต้หล้า… ประมุขเพียงหนึ่ง…”
อูโจ้วเปล่งคำเหล่านี้ด้วยเสียงแหบแห้ง เสียงนั้นเบามาก แต่ยังคงดังก้องอยู่ในใจของเขา
ข้างใบหู คำพูดของผู้เฒ่าชราที่กำลังจะตายดังขึ้นในจิตสำนึกของอูโจ้ว
“ผู้คนในโลกนี้รู้เพียงว่า ระหว่างโลกทั้งสองแห่งชีวิตและความตายนั้นสามารถสื่อสารกันได้ และมองเห็นคนตายได้ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าโลกแห่งชีวิตและความตายยังเชื่อมโยงอดีตและอนาคตเข้าด้วยกัน”
“มหาวิถีมีจำนวนที่แน่นอนของมันเอง อูโจ้ว ถ้าเจ้าสามารถเข้าใจภาพจิตรกรรมฝาผนังได้ เจ้าก็จะมองเห็นอนาคต”
“ความรุ่งเรืองของเผ่าเรา ตกอยู่ที่เจ้าเพียงผู้เดียว…”
อูโจ้วหลับตา หัวใจกระสับกระส่ายตลอดเวลา
ลู่หยวนขมวดคิ้ว เขาได้ยินไม่ชัดว่าอูโจ้วพูดอะไร แต่เขาไม่มีความอดทนที่จะเสียเวลาไปกับอีกฝ่ายแล้ว
อูโจ้วผู้นี้ไม่ใช่บุตรแห่งชะตา แม้ว่าจะเป็นเผ่าที่มีโชคชะตายิ่งใหญ่ก็ตาม การกำราบเขาสามารถลดค่าโชคของฉู่เชิ่งได้
แต่ว่ามันไม่คุ้มกับความพยายามของลู่หยวน
มีเผ่าพันธุ์มากมายในดินแดนหยวนหงที่ให้เขาเรียกใช้ ขาดไปหนึ่งก็มิเป็นไร!
สำหรับฉู่เชิ่ง ก็เป็นเหมือนสิ่งของในกระเป๋าของเขา รอให้ฉู่เชิ่งตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง ก็ถึงเวลาตายของเขาแล้ว!
ลู่หยวนกำลังจะเหยียบไปที่ศีรษะของอูโจ้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นด้วยความมึนงง ในดวงตาของเขาสลัว จากนั้นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
เขายอบตัวลง ผงกศีรษะลงกับพื้น และพยักหน้า “อูโจ้ว ปรารถนาจะรับใช้ท่านประมุข!”
“ตระกูลอูโจ้ว*[1] ยินดีรับใช้ท่านในฐานะประมุข!”
เมื่อเสียงของอูโจ้วเงียบลง เสียงของระบบก็ดังขึ้นในใจของลู่หยวน
[แจ้งเตือนจากระบบ ขอแสดงความยินดีกับท่านที่ปราบอูโจ้วและคว้าโชคของบุตรแห่งชะตาฉู่เชิ่ง!]
[บุตรแห่งชะตาฉู่เชิ่งค่าชะตาลดลง 5,000! เหลืออยู่ในปัจจุบัน 15,000!]
[ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 10,000! ในปัจจุบันมี 30,000!]
ลู่หยวนเลิกคิ้ว อูโจ้วผู้นี้ยอมจำนนรวดเร็วนัก
ลู่หยวนวางเท้าลง ยืนเอามือไพล่หลัง “เมื่อครู่ข้าเห็นสายตาที่มองข้า ราวกับว่าเจ้าเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าก็ตึงเครียด”
“ทำไมเล่า? เห็นข้าแล้วทำให้เจ้านึกถึงผู้ใด”
เจิ้งชิงเทียนปล่อยอูโจ้วให้เป็นอิสระ นางเงยหน้าขึ้นมองลู่หยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “นายท่าน ข้านึกถึง…ชะตากรรมของอนาคต!”
…
ที่ลานในฉวนจง
ชิวเฟิงจู้นั่งบนเก้าอี้ ถือยันต์สองสามแผ่นในมือด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
ด้านข้าง สมาชิกตระกูลชิวหลายคนเรียงแถวกันก้มหน้าลง ไม่กล้าขยับตัวผลีผลาม
ชิวเฟิงจู้บีบยันต์จนปลายนิ้วของนางเปลี่ยนเป็นสีขาว
ครู่ต่อมาชิวเฟิงจู้ก็คลายมือจากยันต์ ชำเลืองมองออกไป จิตสังหารที่ไม่ปิดบังปรากฏขึ้นในดวงตา ตามด้วยเสียงเย็นชา
“พวกเจ้าหมายความว่า เสวียนเทียนชวนหายไปหรือ?!”
หลายคนมองหน้ากันไปมา และในที่สุด หนึ่งในนั้นก็ยกมือทำความเคารพ และกัดฟันพูดว่า “ท่านป้าเฟิงจู้ เป็น…เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับ ตอนที่พวกเราไปถึงที่นั่น เราเห็นเสวียนเทียนชวนกำลังจะเคลื่อนไหว ก็…”
คนผู้นั้นพูดยังไม่ทันจบ จู่ ๆ กระแสพลังวิถีคุณธรรมก็พุ่งเข้าใส่ช่องท้องน้อยของชายคนนั้น พายุที่รุนแรงปะทุขึ้น ซัดร่างของคนผู้นั้นอย่างแรงจนกลิ้งไปข้างหลัง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
“อึก!”
ชายคนนั้นพุ่งชนกับกำแพงก่อนจะหยุดลง ท้องของเขารู้สึกเจ็บและกระอักเลือดออกมาจนหน้าอกเต็มไปด้วยคราบเลือด
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนที่เหลือก็ตัวเกร็งและก้มหน้าลงมากขึ้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือ? คนคนหนึ่งจะหายไปในอากาศได้หรือ?!”
ขณะที่ชิวเฟิงจู้กำลังจะลงโทษคนเหล่านี้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบเข้ามาจากด้านข้าง
ตามด้วยเสียงของชิวหลิง “ท่านป้าเฟิงจู้ แย่แล้ว! ฉู่เชิ่งหนีไปแล้ว!”
[1] อูโจ้ว หมายถึง แม่มด