ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 357 ต้วนเวิ่นเทียนมาเยือน
บทที่ 357 ต้วนเวิ่นเทียนมาเยือน
บทที่ 357 ต้วนเวิ่นเทียนมาเยือน
มู่พ่านซานระงับความเจ็บปวดขณะครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาคาดไว้แล้วว่าไม่มีตระกูลชั้นสูงใดกล้าก้าวเข้ามาอีก!
หากยังบุกเข้ามาอีกสองสามระลอก เขาอาจจะรับมือไม่ไหว!
ถึงอย่างไร อาการบาดเจ็บซึ่งถูกเพลิงสวรรค์ของฉู่เชิ่งแผดเผาก็ยังไม่หายดี หากปราณวิญญาณถูกใช้เป็นเวลานาน มันจะทำให้เศษเสี้ยวเปลวเพลิงที่เหลือในร่างกระจายออกมา
ขณะที่มู่พ่านซานกำลังระงับความคิดนั้นไว้ เขาพลันสัมผัสได้ว่าอากาศรอบข้างกำลังไหวกระเพื่อม แล้วร่างคนสองคนก็เดินออกมา
ร่างหนึ่งดูเหมือนคนบ้าถือดาบสับกระดูกเอาไว้ในมือ
ส่วนอีกร่างสวมชุดคลุมเต๋า ซึ่งมีนามของพระพุทธองค์และตัวอักษรเต๋าสลับไขว้กัน ยิ่งดูแปลกประหลาด
สองคนนี้คือสวีชู่กับสวี่หลิวอวิ๋น!
ใบหน้าของสองคนนั้นปรากฏรอยยิ้มแล้วเริ่มประจบสอพลอมู่พ่านซานทันทีที่มาถึง
“ท่านมู่ช่างสมกับเป็นแบบอย่างของคนรุ่นพวกเรา เขากระทั่งสามารถสยบความโกลาหลทั่วแดนมัชฌิมเพียงลำพัง! พวกข้านับถือยิ่งนัก!”
“ใช่แล้ว ๆ!”
มู่พ่านซานมองทั้งสองคนอย่างสงบขณะชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ
การสังหารสองคนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่มีราคาที่ต้องจ่าย!
หากเกิดข้อพิพาทขึ้นมายามนี้ ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความทะเยอทะยานฉวยโอกาสมากขึ้น!
อีกอย่าง… น้อยคนในแดนมัชฌิมที่จะเรียกให้มาหาได้ จึงเป็นการดีกว่าที่จะให้ทั้งสองช่วยปกป้องวังจักรพรรดิเอาไว้!
ขอเพียงผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ ค่อยจัดการพวกเขาทีหลังก็ยังไม่สาย!
มู่พ่านซานยิ้มขณะยกกระบี่ขึ้น เจตจำนงกระบี่พลันกระจายไปทั่วทุกหนแห่งก่อนจะก่อตัวเป็นพายุหมุน
“พวกเจ้าสองคน วันนี้จะยืนอยู่คนละฝั่งกับข้าหรือยืนอยู่ฝั่งเดียวกับข้า?!”
เดิมทีสวี่หลิวอวิ๋นกับสวีชู่กำลังปกปิดบางอย่างไว้ สาเหตุที่พวกเขาหลบหนีไปก่อนหน้านี้ก็เพราะการปรากฏของเส้นชีพจรจักรพรรดิ จึงเป็นไปได้ว่าแดนมัชฌิมจะเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ดังนั้นการอยู่ในวังจักรพรรดิจึงไม่ต่างจากการเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้โดยไม่จำเป็น!
พวกเขาเข้าร่วมวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมเพียงเพื่อหาผู้หนุนหลังที่จะทำให้มีชีวิตรอด บัดนี้การที่พวกเขาออกมาก็เพื่อความอยู่รอดเช่นกัน!
แต่ในสายตาของมู่พ่านซาน พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการแปรพักตร์ต่อราชวงศ์ หากเป็นยามปกติ เขาคงสั่งให้อีกฝ่ายชดใช้อย่างสาสมไปแล้ว!
การที่พวกเขาเลือกกลับมาก็เพราะเห็นว่าตนมีความสามารถมากพอที่อาจจะยับยั้งสถานการณ์ไว้ได้ หากเป็นเช่นนั้น ตระกูลกู่จะยังเป็นราชวงศ์แดนมัชฌิมที่อีกฝ่ายสามารถร้องขอชีวิตได้!
ถึงอย่างไร ทรัพยากรหลากหลายที่ราชวงศ์แดนมัชฌิมจัดหามาได้ก็เกินกว่าที่คนนอกจะเทียบเคียง!
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้มู่พ่านซานต้องการพวกเขา!
เนื่องจากไม่มีนายเหนือหัวอยู่ในแดนมัชฌิม ทำให้ต้องพึ่งตัวเองเพียงลำพัง หากมีสถานการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้น อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถทำอะไรได้!
พวกเขาจึงฉวยโอกาสนี้เพื่อกลับเข้ามาอย่างสง่างาม!
สวี่หลิวอวิ๋นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านมู่พูดอะไรอย่างนั้น พวกข้าต่างก็จงรักภักดีต่อวังจักรพรรดิ ตระกูลกู่ รวมถึงท่านมาโดยตลอด! จะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างไร?!”
“พวกข้ามีรากฐานการบ่มเพาะไม่มั่นคง จึงต้องการหาสถานที่เก็บตัวเสียหน่อย แต่ได้ยินมาว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในแดนมัชฌิม ทำให้ต้องปล่อยวางสิ่งที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เพื่อกลับมาช่วย!”
สวีชู่พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ๆ!”
มู่พ่านซานไม่สนใจคำพูดเหลวไหลของอีกฝ่าย เพียงทราบว่าทั้งสองอยู่ข้างเดียวกันในตอนนี้ก็พอแล้ว!
ต่อให้พวกเจ้าไม่ลงมือ ทุกอย่างก็ราบรื่นอยู่ดี!
“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงอยู่รอฝ่าบาททำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่แล้วออกมาจากการเก็บตัวที่นี่กับข้า!”
“ขอรับ!”
ทั้งสองคนตอบรับก่อนจะขึ้นไปยืนอยู่บนอากาศ
แม้กระทั่งมู่พ่านซานก็ไม่ทันสังเกตสีหน้าหยอกล้อในชั่วขณะของอีกฝ่าย
พวกเขาจับจ้องง้าวมังกรครามแปดแดนร้างที่อยู่ห่างจากเส้นชีพจรจักรพรรดิโลหิตเพียงหนึ่งก้าว อารมณ์ซับซ้อนทอประกายในดวงตาก่อนจะถูกสะกดไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าสงบขณะยืนประจำตำแหน่ง
เมื่อคิดว่าไม่มีกองกำลังใดจะเข้ามาฉกฉวยเส้นชีพจรจักรพรรดิอีกแล้ว เสียงชราทุ้มต่ำก็ดังมาจากถนนนอกแดนมัชฌิม
“ข้าขอมีส่วนร่วมกับปรากฏการณ์หายากในรอบหนึ่งหมื่นปีนี้หน่อยก็แล้วกัน!”
บัดนี้ถนนที่เคยพลุกพล่านกลับรกร้าง กลิ่นโลหิตคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
มีเพียงเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังมาจากระยะไกล ตามด้วยเสียงลากอาวุธโลหะไปตามพื้น
พวกมู่พ่านซานต่างมองไปทางต้นเสียงก่อนพบคนผู้หนึ่งสวมชุดเกราะสีดำและถือหอกสีดำ เขามีสายตาหนักแน่นขณะย่างเท้าทีละก้าว จิตสังหารเคลื่อนเข้ามาก่อนที่เจ้าของร่างจะมาถึงเสียอีก
หนวดเคราและคิ้วของชายผู้นั้นเป็นสีเทาล้วน ใบหน้าซูบตอบไร้สี แต่ร่างสูงโปร่งราวกับจะยืนค้ำฟ้าดินได้!
สวี่หลิวอวิ๋นกับสวีชู่ย่อมไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่พวกเขาทราบดีว่าอีกฝ่ายรับมือได้ไม่ง่าย!
เพียงจิตสังหารที่ตรงเข้ามาก็ทำให้รู้สึกพรั่นพรึง พวกมันรวมตัวกันก่อนจะล้อมพวกเขาเอาไว้!
ทั้งสองคนตัดสินใจถอนตัวก่อนจะได้สู้
“ต้วนเวิ่นเทียนหรือ?!”
มู่พ่านซานหรี่ตาพลางรู้สึกหงุดหงิดอยู่ภายใน
เหตุใดชายชราผู้นี้ถึงไม่รักตัวกลัวตายเช่นนี้?!
ต้วนเวิ่นเทียนเป็นเพียงตาเฒ่าที่ซ่อนตัวมาหลายร้อยปีจนไม่เห็นหน้าค่าตา แต่วันนี้เขากลับมาฉกฉวยเส้นชีพจรจักรพรรดิหรือ?!
มู่พ่านซานลอบคำนวณอยู่ในใจว่าจะสามารถรับมือต้วนเวิ่นเทียนเพียงลำพังได้มากน้อยแค่ไหน!
ต้วนเวิ่นเทียนเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง!
หอกเพียงเล่มเดียวก็ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดินหลักต้องยอมจำนน!
ต้วนเวิ่นเทียนเคยต่อสู้ทั้งสิ้นเจ็ดแสนสามหมื่นสองร้อยยี่สิบห้าครั้ง ซึ่งเขาไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว!
มีข่าวลือในบรรดาผู้ที่เคยต่อสู้กับเขาว่า ผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงสุดซึ่งเคยไปประมืออยู่ขั้นอมตยุทธ์ แต่หลังจากสู้กันแล้วกลับเก็บตัวเงียบแล้วไม่ออกมาอีกเลยจนถึงวันนี้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าระดับการบ่มเพาะแท้จริงของต้วนเวิ่นเทียนสูงส่งขนาดไหน!
“ต้วนเวิ่นเทียน เจ้าซ่อนตัวมานับร้อยปี แต่วันนี้กลับปรากฏตัวในที่แจ้ง ไม่กลัวหรือว่าศัตรูจะมาไล่ฆ่าอย่างนั้นหรือ?! หากส่งผลกับตระกูลของเจ้า คงได้ไม่คุ้มเสียกระมัง!”
มู่พ่านซานไม่อยากสู้กับเขา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงลองว่าจะทำให้อีกฝ่ายถอนตัวได้หรือไม่!
แม้ระดับการบ่มเพาะของต้วนเวิ่นเทียนจะสุดหยั่ง แต่ตระกูลของเขาคือจุดอ่อนที่มีมาโดยตลอด!
ที่ซ่อนตัวมาหลายปีก็เพราะไม่ต้องการให้ศัตรูค้นพบตระกูลของเขา!
หากมู่พ่านซานจำไม่ผิด แทบทุกคนในตระกูลของอีกฝ่ายถูกศัตรูฆ่าตายไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหลือเพียงหลานสาวคนเดียวที่คอยพึ่งพาอาศัยกัน
นางคือความกังวลเพียงหนึ่งเดียวของต้วนเวิ่นเทียน!
เขาลากหอกแล้วมาหยุดอยู่นอกวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม สายตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะพูดอะไร”
“ที่จริงข้าไม่สนใจเส้นชีพจรจักรพรรดิหรอก แต่ตอนนี้หลานสาวข้าป่วยอยู่! โรคนี้เกี่ยวข้องกับโชคชะตา ข้าต้องการขัดขืนเจตจำนงสวรรค์เพื่อช่วงชิงมันมา นี่อาจจะเป็นทางเลือกดีที่สุดแล้วก็ได้!”
หัวใจของมู่พ่านซานหนักอึ้ง ถ้าแบบนี้ ทั้งสองฝั่งต่างก็ต้องการในสิ่งเดียวกัน การต่อสู้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!
ต้วนเวิ่นเทียนตวัดหอก ก่อนเสียงจะดังก้องทั่วแดนมัชฌิม ทำให้หอกทั้งหลายต่างคำนับมาทางนี้
แม้กระทั่งง้าวมังกรครามแปดแดนร้างที่ตกอยู่ข้างเส้นชีพจรจักรพรรดิก็ส่งเสียงครวญคราง!