ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 358 มู่พ่านซานปะทะต้วนเวิ่นเทียน
บทที่ 358 มู่พ่านซานปะทะต้วนเวิ่นเทียน
บทที่ 358 มู่พ่านซานปะทะต้วนเวิ่นเทียน
มู่พ่านซานย่อมรู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้
ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเพลิงสวรรค์แผดเผา เขามั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะต้วนเวิ่นเทียนได้อย่างแน่นอน แต่บัดนี้ร่างกายของเขาไม่อาจรับการต่อสู้ที่รุนแรงเกินไปได้
การต่อสู้ครั้งนี้มีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง!
หากมีใครบางคนฉวยโอกาสทะลวงเข้ามาในยามนี้ เกรงว่าเขาจะไม่สามารถหยุดยั้งได้!
มู่พ่านซานจับจ้องไปทางสวีชู่กับสวี่หลิวอวิ๋น เมื่อทั้งสองคนเห็นเช่นนี้ หัวใจก็ยิ่งบีบรัดแน่น
พวกเขาไม่ต้องการจะเผชิญหน้ากับต้วนเวิ่นเทียน!
ถึงแม้ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ชายคนเมื่อครู่สามารถทำให้ง้าวมังกรครามแปดแดนร้างสั่นไหวได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาทรงพลังมาก!
หากทั้งสองเผชิญหน้ากัน หายนะจะต้องบังเกิดแน่นอน!
เมื่อเห็นเจตนาที่จะถอยของอีกฝ่าย ดวงตาของมู่พ่านซานพลันมืดมนลง เขาข่มอารมณ์ในใจสักพัก ก่อนเอ่ยว่า “วันนี้พวกเจ้าเอาตัวเองให้รอดก็พอ ขอเพียงคุ้มกันเส้นชีพจรจักรพรรดิได้ ข้าจะขอให้ฝ่าบาทมีรับสั่งเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะได้รับการสักการะจากวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม!”
หากมีคนอื่นที่ใช้งานได้ เขาย่อมไม่มีวันทิ้งความปลอดภัยไว้กับสองคนนั้นแน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่มีใครให้ยืมมือแล้ว!
แต่มู่พ่านซานก็ไม่กังวลว่าสองคนนี้จะพิชิตเส้นชีพจรจักรพรรดิไว้เอง!
ถึงอย่างไร ตอนที่พวกเขาเข้าแดนมัชฌิมมาก็ได้ถูกฝังยันต์ที่ช่วยจำกัดการกระทำนั้นไว้แล้ว หากได้รับเส้นชีพจรจักรพรรดิ ทั้งสองคนจะได้รับผลย้อนกลับจากมัน จนถึงแก่ความตายทันที!
แน่นอนว่ามู่พ่านซานก็เช่นกัน!
พวกเขาลอบยินดีเมื่อได้ยินเช่นนี้
มู่พ่านซานย่อมไม่เหลือคนรอบตัวอีกแล้ว!
“พวกข้าจะจำคำพูดของท่านมู่ไว้ขึ้นใจ!”
“ใช่แล้ว ๆ!”
มู่พ่านซานถอนสายตาออกมา ทำให้ไม่เห็นสายตาหมองหม่นชั่วขณะของสวี่หลิวอวิ๋นกับสวีชู่ รวมถึงมุมปากที่ยกยิ้มอย่างชั่วร้าย!
ไม่ว่าใครจะได้เส้นชีพจรจักรพรรดิไปครอง แต่พวกเขาจะกลายเป็นผู้มีพระคุณในที่สุด!
ตระกูลกู่ได้สัญญาแล้วว่าหากได้รับเส้นชีพจรจักรพรรดิ ทั้งสองก็จะได้รับการสักการะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับมานานแล้ว!
สิทธิ์ที่ได้รับการสักการะและเพลิดเพลินกับทรัพยากรเกินกว่าที่พวกเขาจะเทียบเคียงกับชีวิตก่อนหน้าได้!
อีกสองตระกูลก็ทำสัญญากับพวกเขาแล้วเช่นกัน!
ขอเพียงหนึ่งในสามตระกูลนี้ได้รับเส้นชีพจรจักรพรรดิ พวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์!
แต่จะได้มากหรือน้อยก็เท่านั้น!
หากพิจารณาจากสัดส่วนผลประโยชน์ในตอนนี้ ตระกูลกู่ยังนับว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อย!
มู่พ่านซานย่อมไม่ทราบว่าสองคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาเพียงยกกระบี่ในมือขวาขณะพลังรอบตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
กระบี่เมฆาก่อตัวขึ้นเหนือสวรรค์ชั้นเก้า แล้วแรงกดดันสูงสุดพลันเคลื่อนลงเข้าหาต้วนเวิ่นเทียนเพียงผู้เดียว!
ต้วนเวิ่นเทียนถือหอกหนักไว้มั่น เมื่อแรงกดดันกดทับลงมา ชุดเกราะสีดำบนร่างก็สั่นไหว เพียงพริบตา วิญญาณหอกสูงสุดก็ทะยานขึ้นไป พลันทำลายแรงกดดันของกระบี่เมฆาได้!
มู่พ่านซานหรี่ตาขณะจิตสังหารระเบิดออกมา จากนั้นร่างของเขาก็วูบไหวไปหาอีกฝ่าย
ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนยังคงโคจรรอบกายเขาแล้วทะยานออกไป ส่วนกระบี่เมฆาเหนือสวรรค์ชั้นเก้าก็กดทับลงมาที่ต้วนเวิ่นเทียน!
ปราณกระบี่เคลื่อนลงมาประหนึ่งสายฝนโปรยปรายทั่วฟ้า กระหน่ำเข้าใส่เป้าหมาย!
ต้วนเวิ่นเทียนย่อตัวลง แล้วหอกในมือวาดเป็นครึ่งวงกลมขนานกับพื้น
เมื่อปราณกระบี่พุ่งมาถึงตัว ร่างของเขาก็ทะยานออกไปจนอากาศตรงหน้าถูกบดขยี้ ทำให้ปราณกระบี่ถูกปัดป้องจนสิ้น มิอาจรุกคืบเข้ามาได้มากกว่านี้!
มู่พ่านซานเพียงรู้สึกว่าอากาศเบื้องหน้าสั่นไหว จากนั้นหอกสีดำก็ปรากฏขึ้น!
ไวมาก!
แม้กระทั่งมู่พ่านซานก็ยังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แม้แต่เขาก็มองไม่เห็นความเร็วระดับนั้น!
มู่พ่านซานรีบโคจรปราณวิญญาณในร่างกาย แล้วพลังของกระบี่ก็เพิ่มขึ้น เขากุมกระบี่ในมือขวา ส่วนมือซ้ายประทับค่ายกลอย่างรวดเร็ว!
ก่อนค่ายกลจะถูกประทับ หอกหนักก็พุ่งเข้ามาหมายจะสังหาร
กระบี่ถูกยกขึ้นเพื่อปัดป้อง
เพียงชั่วพริบตา ทั่วทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบสงัด ผู้คนนับไม่ถ้วนในแดนมัชฌิมต่างเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างสองคนนี้
ร่างของทั้งสองยังอยู่ในช่วงที่กระบี่และหอกเข้าปะทะกัน ทำให้พลังถูกกวาดล้าง ปราณวิญญาณไม่เกิดความผันผวนแม้แต่น้อย ราวกับรากฐานการบ่มเพาะของพวกเขาหายไปในพริบตา!
หอกกับกระบี่รักษาระยะห่างกันเล็กน้อย ไม่อาจสัมผัสถึงกันได้
“ทั้งสองคน…เสมอกันหรือ?!”
ท่ามกลางตระกูลไร้นามในแดนมัชฌิม รวมถึงฝูงชนที่กำลังเฝ้ามองการต่อสู้อันน่าตกตะลึง ใครบางคนพลันเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมา
คนรอบข้างคล้ายกับไม่เข้าใจ พวกเขาเคยเห็นยอดฝีมือต่อสู้มาก็มาก แต่กลับไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ตอนทั้งสองคนประมือกัน พลังทั้งหลายก็ถูกใช้จนหมดสิ้น!
เมื่อลู่หยวนเห็นการต่อสู้ดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วแล้วตะโกนออกมา “ติดตั้งค่ายกล ปกป้องตระกูลหลิง!”
บรรพชนหรือยอดฝีมือทรงพลังในตระกูลพลันหน้าถอดสี ก่อนตะโกนขานรับ “ติดตั้งค่ายกล ปกป้องตระกูล!”
ทันทีที่สิ้นเสียงคนเหล่านี้ ในจุดที่ทั้งสองปะทะกันก็บังเกิดแสงสีขาวแผ่ไปทั่วเมืองทั้งสามสิบแห่งที่อยู่ใกล้กับวังจักรพรรดิแดนมัชฌิม!
คลื่นอากาศราวกับจะทำลายฟ้าดินกระจายออกมาจากทุกทิศทาง ไม่ว่าผ่านไปที่ใด อากาศก็จะแตกสลายพร้อมกับบดขยี้สรรพสิ่ง!
ลู่หยวนกำลังจะลุกขึ้นเปิดใช้งานค่ายกล แต่ร่างหนึ่งกลับลงมือเร็วกว่าเขา
“เจ้าหนู พลังขนาดนี้ เจ้าเปิดใช้งานไม่ได้หรอก! ข้าเอง!”
ลู่เทียนเฟิ่งยืนอยู่ในอากาศ คลื่นอากาศพลันกระจายไปด้านนอกอย่างรวดเร็วและกำลังจะกลืนกินตระกูลหลิง
ยามนี้บรรพชนตระกูลหลิงก็ตอบสนองเช่นกัน พร้อมตะโกนออกมาว่า “เร็ว! สังเวยทุกสิ่งเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้!”
สมาชิกตระกูลหลิงส่วนใหญ่ไม่ตอบสนอง พวกเขายังคงนิ่งงัน
บรรพชนของตระกูลหลิงสบถอย่างเกรี้ยวกราด เพียงชั่วพริบตา เขาก็มาอยู่เหนือท้องนภา มือทั้งสองกดลงไปแล้วพลังไร้ที่สิ้นสุดผันผวนอยู่ในร่างกาย ก่อนกำแพงขนาดใหญ่จะก่อตัวขึ้นที่นอกจวนตระกูลหลิง
แม้บรรพชนตระกูลหลิงจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้นมา แต่เขายังกังวลอยู่ดีว่ามันอาจจะปกป้องตระกูลไม่
ได้!
ลู่เทียนเฟิ่งเหลือบมองด้านข้างก่อนจะยกยิ้ม “ไง เป็นตาเฒ่าจากตระกูลหลิงนี่เอง” พร้อมกับประสานมือทำความเคารพ
อีกฝ่ายกล่าวว่า “เจ้าหนูสุภาพเกินไปแล้ว”
บรรพชนของตระกูลหลิงและตระกูลลู่เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงเป็นธรรมดาที่ลู่เทียนเฟิ่งจะถูกมองว่าเป็นผู้น้อยจนต้องทำทีมีมารยาท ทว่าสีหน้าเรียบเฉยของเขากลับเมินเฉยได้ยาก แม้กระทั่งการประสานมือก็ยังไม่ถึงช่วงหน้าอก!
ทั้งยังเรียกอีกฝ่ายว่า “ตาเฒ่า” โดยไม่ให้เกียรติแม้แต่น้อย!
ตระกูลลู่ได้รับการสอนสั่งมาแบบนี้หรือ?!
หากไม่ใช่สถานการณ์ที่กระชั้นชิดอย่างตอนนี้ บรรพชนตระกูลหลิงคงตบปากลู่เทียนเฟิ่งไปแล้ว!
ลู่เทียนเฟิ่งคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมพร้อมแล้ว “ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องคลื่นอากาศนี้หรอก เหตุใดท่านไม่ไปพักหน่อยเสียเล่า? ให้ข้าจัดการเองดีหรือไม่?”
บรรพชนตระกูลหลิงไม่อาจทนไหวอีกต่อไป จึงเปิดปากสบถออกมา “เจ้าไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำหรืออย่างไร คิดว่าสามารถต้านผลจากการต่อสู้ระหว่างสองคนนี้ได้งั้นหรือ?!”