ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 384 ชิวสิงต้องการกลายเป็นเทพ!
บทที่ 384 ชิวสิงต้องการกลายเป็นเทพ!
บทที่ 384 ชิวสิงต้องการกลายเป็นเทพ!
ให้การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์มาร…
ตระกูลตั้งอยู่ในที่ซึ่งกลิ่นอายมารเข้มข้นที่สุด…
ชิวสิงอยู่รอดมาได้นานขนาดนั้น…
เขาในยามนี้ต้องการอะไรกันแน่?!
ลู่หยวนพลันครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยถามเจิ้งชิงเทียนในใจ “ร่างกายของเผ่ามารแตกต่างกันอย่างไร?!”
เจิ้งชิงเทียนเคยต่อสู้กับเผ่ามารมาทั้งชีวิต ดังนั้นนางย่อมรู้ดีที่สุด!
นางลังเลสักพัก “หากพูดแบบรวบรัดก็คือไม่มีความแตกต่าง เพียงแต่เผ่ามารชอบการเข่นฆ่า มักควบคุมตัวเองไม่ได้ นี่คือความรู้ทั่วไปในแผ่นดินหลักไม่ใช่หรือ?”
หลังจากนิ่งไป เจิ้งชิงเทียนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนตอบว่า “ตามข่าวลือที่ข้าได้ยินมา มีบางอย่างที่ทำให้เผ่ามารแตกต่างกัน”
“ว่ากันว่าร่างของเผ่ามารคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับเทพผู้มีร่างวิถีคุณธรรมที่สุด!”
“ว่ากันว่าหากขจัดทั้งวิถีคุณธรรมและวิถีมารได้ก็จะสามารถกลายเป็นเทพได้!”
“แต่ไม่เคยมีใครลองสักครั้ง ข้าไม่ทราบว่าข่าวลือนี้มาจากไหน ข้าเพียงเคยได้ยินมาก็เท่านั้น ส่วนได้ยินมาจากไหน…”
“กลายเป็นเทพหรือ?!”
ลู่หยวนเข้าใจทันที
เมื่อมองไปยังตำแหน่งที่ชิวสิงหายไป หัวใจของเขาก็สงบลง
ทุกสิ่งเหมือนกับหมอกที่จางหายไป
“เหอะ… ชิวสิงถึงกับเล่นเกมกระดานใหญ่! ไม่เพียงแค่ทั้งตระกูลเท่านั้น แต่ยังใช้ทั้งแผ่นดินเป็นตัวหมากบนกระดาน!”
เจิ้งชิงเทียนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร นางจึงทำได้เพียงรออย่างเงียบงัน
ลู่หยวนยิ้มออกมา ก่อนที่เจิ้งชิงเทียนจะกลายเป็นมาร ชิวสิงก็อาจจะเริ่มวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว!
คนอื่นเพียงคิดที่จะเข้าสู่แดนเซียน แต่อีกฝ่ายกลับวางแผนเหนือชั้นไปกว่านั้น เขาต้องการกลายเป็นเทพ! เพื่อปกครองทุกสิ่งเสียเอง!
พอตอนนี้มาขบคิดอย่างละเอียดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าตระกูลชิวตั้งอยู่ในจุดที่กลิ่นอายมารเข้มข้น แต่บรรพชนผู้แข็งแกร่งของตระกูลจะต้องทราบถึงเรื่องนี้แน่นอน
หมายความว่าชิวสิงเสียสละตระกูลตัวเองเพื่อควบคุมสถานที่นี้เอาไว้พร้อมป้องกันไม่ให้กลิ่นอายมารรั่วไหลออกไป
บรรพชนของตระกูลชั้นสูงเหล่านี้จะต้องคิดว่าวิถีคุณธรรมกับเผ่ามารมีความเข้ากันไม่ได้ที่ฝังรากลึกอยู่ในความคิด ถึงอย่างไรในสถานที่ที่ผู้อื่นหวาดกลัว พวกเขาก็อาจจะหาทางขุดคุ้ยพลังของมารเพื่อนำมาใช้เป็นของตัวเองได้
แต่วิถีคุณธรรมจะไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะป้องกันไม่ให้ตัวเองใช้สิ่งที่มาจากเผ่ามาร!
การที่พวกเขาคุ้มกันจึงนับว่าเหมาะสมที่สุด!
ชิวสิงอาจจะใช้วิชาต้องห้ามบางอย่างเพื่อยึดที่นี่ หลังจากรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็พบเมล็ดพันธุ์มารวิถีคุณธรรมเกิดขึ้นมา!
มันคือร่างที่เขาใฝ่ฝันไม่ใช่หรือ?!
เหอะ…
ในสายตาของชิวสิง ชิวเสวียนเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น!
ขอเพียงถึงเวลาที่เหมาะสม เขาจะต้องยึดร่างของอีกฝ่ายแน่นอน!
ถึงตอนนั้นเขาจะสามารถใช้ร่างนี้เพื่อขับไล่เมล็ดพันธุ์มารวิถีคุณธรรมเพื่อพิสูจน์วิถีเทพ!
ลู่หยวนคาดว่าชิวสิงอาจจะต้องการร่างของเขาด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไร พลังเมล็ดพันธุ์มารในร่างของเขาตอนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าชิวเสวียน!
หากชิวเสวียนกับลู่หยวนสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ พลังจะต้องยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้น!
ตาแก่สารเลวผู้นี้ช่างกล้าไม่เลว
กู่จินเจาไม่ทราบว่าลู่หยวนเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว นางจึงยังคงส่งกระแสจิตต่อไป “หากสามารถเอาเส้นชีพจรจักรพรรดิมาได้ ข้าย่อมให้การปกป้องเจ้าได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังใดในแผ่นดินหลักก็ต้องเกรงกลัวพลังของข้าในแดนมัชฌิม!”
ลู่หยวนกวาดสายตามองนางพลางขมวดคิ้ว “เจ้ารู้เรื่องชิวสิงเหมือนกันงั้นหรือ?”
กู่จินเจาตกตะลึงแล้วขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสองคำนี้
เรื่องเกี่ยวกับชิวสิงและตระกูลชิว นางเคยฟังมาจากผู้อาวุโสของเผ่าวิหคเพลิงผู้กลายเป็นวิญญาณหลอมเหลวตอนที่ตนเกิดใหม่จากเถ้าถ่านแห่งการนิพพาน
แม้พวกเขาจะรู้อะไรไม่มาก แต่หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดก็รับรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าชิวสิงผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่!
กู่จินเจาย่อมไม่มีวันปล่อยให้แผ่นดินหลักตกอยู่ภายใต้การสังหารไร้ที่สิ้นสุดเพราะข่าวลือไร้สาระเด็ดขาด!
ชิวสิงจะต้องถูกฆ่า!
ทว่าพละกำลังในตอนนี้ยังไม่มากพอ!
แล้วถ้าลู่หยวนถูกชิวสิงลักพาตัวไปด้วยอีกคน พลังของอีกฝ่ายจะยิ่งเพิ่มขึ้น!
แบบนี้จะยิ่งแย่กว่าเก่า!
เรื่องนี้ต้องครุ่นคิดกันในระยะยาว โดยเริ่มจากควบคุมลู่หยวนให้นำเส้นชีพจรจักรพรรดิกลับมาก่อน จากนั้นค่อยคุยเรื่องอื่นทีหลัง!
ทว่าอีกฝ่ายครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดนี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
“ข้านำเส้นชีพจรจักรพรรดิมาให้เจ้าได้ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่การดีนักที่ตระกูลลู่จะเก็บมันไว้เอง”
“แต่ว่า…”
ลู่หยวนพลันเงยหน้าพร้อมกับเผยสายตาดูแคลนโลกให้เห็น
“ข้าต้องการเป็นจักรพรรดิแท้จริง!”
ลู่หยวนกุมเส้นชีพจรของวิหคเพลิงในมือ “เจ้าไม่ต้องตอบตกลงก็ได้ เพราะมีผู้คนมากมายในโลกที่สามารถกลายเป็นจักรพรรดิได้ หากตระกูลกู่ทำไม่ได้ก็ยังมีตระกูลฮ่วนอยู่ หากพวกเขาทำไม่ได้ก็ยังมีคนอื่นอีก ข้าจะไล่ตามหาทีละคนจนเจอคนที่เหมาะสมที่สุด!”
กู่จินเจาสัมผัสได้ว่าหัวใจคล้ายกับถูกมือขนาดใหญ่กุมไว้มั่น ทำให้ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
“ข้าสัญญา!”
แม้กู่จินเจาจะตอบตกลง แต่สายตาของนางกลับเปลี่ยนไป
พวกเขาล้วนมีความคิดที่แตกต่างกัน
สิ่งที่ลู่หยวนกุมไว้คือชีวิตของกู่จินเจา ขอเพียงมีค่ายกลนี้ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเส้นชีพจรของวิหคเพลิงอยู่ในกำมือ นางก็จะขัดคำสั่งไม่ได้!
เพราะอย่างนั้นจึงสามารถเมินนางได้!
ส่วนกู่จินเจามอบเส้นชีพจรของวิหคเพลิงให้เขาเพื่อควบคุมลู่หยวน ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนก็รู้เรื่องของอีกฝ่ายมากเกินไป ความสัมพันธ์จึงไม่แน่นแฟ้นเท่าไหร่ ดังนั้นจึงมอบสิ่งสำคัญเพื่อแลกกับความเชื่อใจ!
สิ่งที่จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจมากที่สุดก็คือการควบคุมชีวิต!
เมื่อได้เส้นชีพจรจักรพรรดิกลับคืนมาแล้วรากฐานของพวกเขาก็จะมั่นคง!
ยามนี้พวกเขาสองคนต่างได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน!
หลี่เจียงหนานเห็นทั้งสองคนเผชิญหน้ากันพักใหญ่ แต่กลับไม่มีฝ่ายใดลงมือ จนกระทั่งพบว่าลู่หยวนหันศีรษะไปทางหนึ่ง เขาจึงหันตาม แต่เนื่องจากไม่มีสุดยอดพลังจึงมองไม่เห็นว่าสิ่งที่อยู่ไกลออกไปคืออะไร
เขาเพียงรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างลู่หยวนกับกู่จินเจาเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับกำลังวางแผนบางอย่าง
หลี่เจียงหนานขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดอย่างหนัก
เขามีเพียงเป้าหมายเดียว นั่นคือการสังหารลู่หยวน!
หลี่เจียงหนานทราบดีว่าลู่หยวนกับกู่จินเจาไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้เรื่องราวคาราคาซัง
หากพวกเขาต้องการจะต่อสู้กันก็คงลงมือไปนานแล้ว เกรงว่าตอนนี้ทั้งคู่คงได้บรรลุข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน
ขอเพียงสองคนนั้นตกลงร่วมกัน จากนั้นจึงหันมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหลี่เจียงหนานและตระกูลเจียง!
ในฐานะพวกพ้อง หลี่เจียงหนานควรเตือนให้เจียงเชียนชิวยอมเป็นฝ่ายถอยออกมาก่อนเพื่อจะได้ลดอันตรายให้เหลือน้อยที่สุด!
แต่เขาไม่ตั้งใจจะทำเช่นนั้น ก่อนสูดหายใจเข้า
หลังจากนั้นเขาจึงเอ่ยกับเจียงเชียนชิว “ฝ่าบาท ตระกูลกู่ได้ทำข้อตลงกับตระกูลลู่แล้ว พวกเขาอาจจะล้อมโจมตีพวกเราในภายหลัง”
เจียงเชียนชิวตกตะลึง ในความเห็นของเขา สองคนนั้นกำลังเผชิญหน้ากันเพื่อเตรียมเริ่มการต่อสู้ ขอเพียงหนึ่งในนั้นลงมือก็จะเกิดการปะทะ ส่วนตนจะยืนรับชมความสนุกจากด้านข้าง!
หลี่เจียงหนานเอ่ยต่อ “ด้วยนิสัยของสองคนนี้ หากต้องการสู้กันก็คงทำไปนานแล้ว พวกเขาอาจกำลังส่งกระแสจิตเพื่อวางแผนสมคบคิดกัน เพราะงั้นถึงได้ยืนอยู่กับที่นานขนาดนี้”
เจียงเชียนชิวขมวดคิ้ว “ต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน เส้นชีพจรจักรพรรดิก็ยังอยู่ในมือของข้า!”
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว หลี่เจียงหนานจึงสงบสติ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแจ่มชัด “แต่ถ้าฝ่าบาทเกิดตายขึ้นมา เส้นชีพจรจักรพรรดิก็จะไร้เจ้าของ!”