ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 410 สำนักกระบี่สวรรค์
บทที่ 410 สำนักกระบี่สวรรค์
บทที่ 410 สำนักกระบี่สวรรค์
ณ สำนักกระบี่สวรรค์
ทิวทัศน์งามงด สัตว์ประหลาดทั้งหลายรวมตัวกันในพงไพรขณะแผดเสียงคำรามต่ำ
ปราณวิญญาณที่นี่เข้มข้นมาก เหมาะแก่การฝึกฝน
ยอดเขาหลายสิบแห่งซึ่งอยู่ด้านหนึ่งของป่าเขาลำเนาไพรตั้งตระหง่านประหนึ่งกระบี่ยักษ์จากพื้นปฐพี
ปราณกระบี่ทั้งหลายเข้าปะทะกันระหว่างยอดเขาแต่ละแห่ง!
หนึ่งในยอดเขาซึ่งอยู่ตรงกลางเป็นจุดที่สูงที่สุด รวมถึงมีปราณกระบี่ทรงพลังที่สุด!
มันคือที่ตั้งของสำนักกระบี่สวรรค์!
ฉู่เชิ่งนั่งอยู่บนที่นั่งแขกในห้องโถงใหญ่ของสำนักดังกล่าว
ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่เหนือที่นั่งประธาน ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนผุดผ่องมาก แม้บริเวณขมับจะดูซีดเซียว แต่ก็ทำให้ผู้คนถอนหายใจที่กาลเวลาไม่อาจทำอะไรความงามของนางได้!
เพียงแต่นางมีปราณกระบี่เกรี้ยวกราดทั่วทั้งร่างกายจนไม่อาจเพิกเฉยได้!
นางคือประมุขสำนักกระบี่สวรรค์… เยวี่ยอู๋ฉือ!
ห้องโถงในยามนี้เงียบสงบอย่างยิ่ง
ฉู่เชิ่งหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาอย่างสงบ จากนั้นยกขึ้นจรดริมฝีปาก
แต่ความจริงเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ตนคือผู้ใช้กระบี่ที่เดินทางมาเข้าร่วมกับสำนักกระบี่แห่งนี้
มีบางอย่างผิดปกติจริง…
แต่ว่ากันว่ามีเพลิงวิญญาณอยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์!
ฉู่เชิ่งจะเต็มใจยอมปล่อยโอกาสเช่นนั้นหลุดมือไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?!
เยวี่ยอู๋ฉือหลุบตาจนไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากผ่านไปหลายอึดใจ สายตาซึ่งสงบนิ่งของนางก็หันมาจับจ้องฉู่เชิ่ง
ฉู่เชิ่งรู้สึกตัวอ่อนยวบอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้น
แต่เขายังคงมองตรงไป สบสายตากับเยวี่ยอู๋ฉือ ก่อนเอ่ยอย่างสงบ “ข้าสงสัยนักว่าประมุขสำนักเยวี่ยกำลังคิดอันใดอยู่?”
เยวี่ยอู๋ฉือพลันระบายยิ้มออกมา “แม้ข้าจะอาศัยอยู่เพียงในโลกฟากนี้ แต่ก็ยังคงทราบเรื่องราวเกี่ยวกับแดนมัชฌิมบางส่วน”
“ศิษย์ฉู่คือศิษย์ระดับสูงของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าสำนักขนาดเล็กของพวกข้า… จะไม่สามารถรับรองเจ้าได้…”
ฉู่เชิ่งทราบดีว่าวันนี้คงไม่สมหวังหลังจากได้ฟังคำของเยวี่ยอู๋ฉือ
หากพัวพันไปมากกว่านี้ รังแต่จะสร้างความขุ่นเคืองเท่านั้น
ฉู่เชิ่งพลันหยุดสนทนา ลุกขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มสงบ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็รบกวนประมุขสำนักเยวี่ยแล้ว ขอตัวก่อน”
สิ้นคำ เขาก็สะบัดชุดคลุมแล้วก้าวจากไปทันที
เยวี่ยอู๋ฉือไม่ได้ลุกขึ้นเดินไปส่ง
หลังจากฉู่เชิ่งไปแล้ว ผู้หญิงในชุดสีชมพูก็เดินออกมาจากโถงด้านข้างของห้องโถงใหญ่
ใบหน้าของนางเป็นสีชมพู ปากแดงและฟันขาว อายุราวสิบเจ็ดย่างเข้าสิบแปด สีหน้ายังคงเหมือนกับเด็กน้อยผู้ไร้ประสบการณ์
ผู้หญิงคนนี้คือสตรีศักดิ์สิทธิ์ของสำนักกระบี่สวรรค์… เยวี่ยหนีซาง
นางมองร่างของฉู่เชิ่งที่กำลังจากไปด้วยความไม่เต็มใจ หลังผ่านไปสักพักจึงหันมามองเยวี่ยอู๋ฉือ “ท่านอาจารย์”
น้ำเสียงของเยวี่ยหนีซางแผ่วเบาราวกับกำลังออดอ้อน “เขา…”
แต่ก่อนจะทันได้เอ่ยไปมากกว่านี้ เยวี่ยอู๋ฉือก็ทราบว่าศิษย์ผู้นี้ต้องการจะสื่ออะไร
นางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไม่ต้องพูดแล้ว ฉู่เชิ่งผู้นี้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ หากเขายังอยู่ก็มีแต่จะทำให้เกิดหายนะ”
ศิษย์ของนางตกหลุมรักอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น
เดิมทีเส้นทางของทั้งสองคนก็ไม่ได้มาบรรจบกัน คนหนึ่งคือสตรีศักดิ์สิทธิ์จากสำนักกระบี่สวรรค์ อีกคนคือลูกหลานสายตรงจากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนขอให้เยวี่ยหนีซางพาศิษย์บางส่วนไปฝึกฝน นางก็เผชิญเข้ากับฝูงสัตว์ร้ายในขุนเขาลำเนาไพร
สัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่ามาหลายร้อยปีกลับออกมาพร้อมกันแล้วปะปนอยู่กับฝูงสัตว์ร้ายกลุ่มนั้น
ด้วยระดับการบ่มเพาะของเยวี่ยหนีซาง ย่อมต่อสู้กับสัตว์ประหลาดธรรมดาได้ แต่ย่อมยากจะรับมือกับสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นไหว!
ในช่วงวิกฤตนั้นเองที่ฉู่เชิ่งปรากฏตัว เขาได้ช่วยศิษย์ของสำนักกระบี่สวรรค์ไว้ด้วยพละกำลังสุดหยั่ง!
ภายหลัง เยวี่ยหนีซางพาเขากลับไปด้วย
ในเวลาต่อมา ฉู่เชิ่งก็เป็นฝ่ายขออยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์
เหอะ…
เยวี่ยอู๋ฉือใช้ชีวิตมานาน มีหรือจะมองความคิดของฉู่เชิ่งไม่ออก?
ฝูงสัตว์ประหลาดที่โผล่มากะทันหันจนน่าประหลาดอาจจะเป็นฝีมือของเขาก็ได้!
ส่วนเหตุผลก็เดาไม่ยาก…
ร่างของฉู่เชิ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเพลิงวิญญาณ เขาน่าจะมาที่นี่เพราะเพลิงวิญญาณที่อยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์…
เยวี่ยหนีซางยังเด็กเกินไปจึงรู้ไม่เท่าทันถึงจุดนี้ นางเพียงเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น
ในสายตาของนาง ฉู่เชิ่งคือพระผู้ช่วย หลังจากช่วยศิษย์สำนักกระบี่สวรรค์ทั้งหลายเอาไว้ เขาก็ไม่ได้ต้องการผลประโยชน์อะไรนอกเสียจากการเข้าร่วมกับสำนัก!
เยวี่ยหนีซางยังคงอยากออกหน้าแทนฉู่เชิ่ง ดังนั้นนางจึงเอ่ยต่อ “ท่านอาจารย์ ฉู่เชิ่งช่วยศิษย์ในสำนักของเราไว้ จึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณ หากพวกเราทำแบบนี้ เกรงว่า…”
เยวี่ยอู๋ฉือขมวดคิ้วพร้อมกับส่งสายตาเย็นชา มันเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เมื่อเงยหน้าขึ้น “เกรงว่าอะไร?”
เยวี่ยหนีซางไม่กล้าเอ่ยอะไร เวลาที่ท่านอาจารย์โกรธมักมีท่าทางเช่นนี้
นางได้รับการเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์มักมีนิสัยอ่อนโยนมาก แต่ยามบันดาลโทสะก็ทำเอาทั่วทั้งสำนักกระบี่สวรรค์สั่นสะท้าน
ตนจึงไม่กล้าสร้างปัญหาอีก
เยวี่ยอู๋ฉือสะกดไอสังหารไว้ “เพราะฉู่เชิ่งช่วยชีวิตศิษย์ของพวกเราเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการหักหาญน้ำใจ จึงอยากให้เขาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นการตอบแทนคุณอย่างนั้นหรือ?”
เยวี่ยหนีซางก้มศีรษะขณะฟังคำสอนสั่งของอีกฝ่าย
ทันใดนั้น!
เยวี่ยอู๋ฉือเงยหน้าขึ้น สายตาของนางมองผ่านเยวี่ยหนีซางไปยังนอกห้องโถงใหญ่
นางหรี่ตายามเห็นกลุ่มคนบนอากาศกำลังตรงมาทางนี้ด้วยความเร็วที่ค่อนข้างมาก!
ผ่านไปหลายอึดใจ ไม่เพียงแค่เยวี่ยอู๋ฉือเท่านั้น แต่ผู้คนทั่วทั้งสำนักกระบี่สวรรค์ก็สัมผัสได้ถึงพลังยิ่งใหญ่ที่เคลื่อนมาแต่ไกล ทุกคนหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ ก่อนจับอาวุธเพื่อเตรียมรับมือ!
ฉู่เชิ่งผู้อยู่ไม่ไกลจากสำนักก็สัมผัสได้เช่นกัน เขาเงยหน้ามองก่อนจะพบทาสอารักขาอยู่เบื้องหน้ากลุ่มคนในทันที!
“ตระกูลชิวแห่งวิถีคุณธรรมหรือ?!”
กลุ่มคนทะยานมาโดยที่ไม่หยุดพัก
ฉู่เชิ่งมองคนเหล่านี้เร่งรุดไปข้างหน้า พลันบังเกิดความหงุดหงิดขึ้นมา แต่เขาก็ตระหนักบางอย่างขึ้นมา
สถานที่ที่คนเหล่านี้กำลังมุ่งหน้าไป… คือสำนักกระบี่สวรรค์ไม่ใช่หรือ?!
หรือว่าพวกเขากำลังจะไปก่อปัญหากับสำนักนั้น?!
ฉู่เชิ่งเพียงรู้สึกว่าโอกาสมาถึงแล้ว!
หากสำนักกระบี่สวรรค์ตกอยู่ในอันตรายแล้วเขายื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ จะไม่ช่วยทำให้เขาเข้าสำนักได้ง่ายขึ้นหรอกหรือ?!
ฉู่เชิ่งคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะปกปิดกลิ่นอายทันที จากนั้นติดตามตระกูลชิวมุ่งหน้าสู่สำนักแห่งนั้นอีกครั้ง
เขาไม่ทราบว่าการตัดสินใจในครั้งนี้จะเป็นการกระทำเลวร้ายที่สุดเท่าที่ในชีวิตเคยทำมา!
กลิ่นอายของลู่หยวนซึ่งอยู่บนรถลากหยกของตระกูลชิวถูกสะกดไว้นานแล้ว เขามองจุดแสงสว่างที่กำลังลอยอยู่บนฝ่ามือก่อนจะถอยกลับมาอยู่กึ่งกลาง
มุมปากของเขายกขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความขบขัน
ฉู่เชิ่งหนอฉู่เชิง มาไวปานนี้เชียวหรือ?!
เจ้ามามอบค่าชะตาวายร้ายให้ถึงที่เลยหรือไร?!
ลู่หยวนเก็บจุดแสงสว่าง อ้าปากลอบส่งคำพูดไปถึงหูของทาสอารักขาตรงหน้า