ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 518 ภาพแกะสลักหิน
บทที่ 518 ภาพแกะสลักหิน
บทที่ 518 ภาพแกะสลักหิน
ในตอนเช้า สายลมอ่อนพัดผ่านทั่วทั้งราชวงศ์อู๋ซวงทุกหนแห่ง แต่มันไม่สดชื่นเหมือนวันวาน พวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นโลหิตเพื่อย้ำเตือนผู้คนในอาณาบริเวณว่ามีกี่ชีวิตที่ต้องถูกทำลายเมื่อคืนนี้!
แม้พวกอู่กังจะตายหมดแล้ว แต่ราชวงศ์อู๋ซวงไม่อาจขับเคลื่อนได้ ทำให้เสวียนเทียนชวนจากฝั่งแดนมัชฌิมต้องส่งคนมาเสริมกำลังต่อสู้ให้กับที่นี่!
ผู้คนของราชวงศ์อู๋ซวงไม่มีเวลามาดื่มด่ำกับเหตุการณ์เมื่อคืน ดังนั้นพวกเขาจึงไปเข้าร่วมพิธีขึ้นครองบัลลังก์ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเช้า
แม้ฉินอี่หานจะขึ้นครองบัลลังก์อย่างรวดเร็ว แต่นางยังได้แจ้งให้ทุกคนได้ทราบพร้อมกับออกคำสั่งไปทั่วทุกแห่งหน! อำนาจจักรพรรดิได้ถูกสำแดงแล้ว ย่อมไม่มีใครปฏิเสธที่จะทำตาม!
ชั่วพริบตา ในที่สุดฉินอี่หานก็สลัดความเบื่อหน่ายออกไปก่อนจะมาถึงลานบ้านและห้องโถงที่ตระเตรียมไว้ให้ลู่หยวน
ขณะลู่หยวนกำลังสนทนาบางอย่างกับกู้ชิงหรัน เมื่อเห็นฉินอี่หานเข้ามา ทั้งสองก็ทำได้เพียงหยุดพูดคุย
ฉินอี่หานก้าวไปข้างหน้าแล้วทำความเคารพ “นายท่าน”
นางสวมชุดคลุมมังกรผ้าโปร่ง ความสงบซึ่งเดิมอยู่ตรงหว่างคิ้วกับดวงตาถูกปกปิดสิ้น มันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นอายสังหาร!
ทั่วร่างเต็มไปด้วยอำนาจจักรพรรดิมหาศาล แม้จะโน้มตัวคำนับ แต่หาได้ดูถ่อมตัวหรือหยิ่งทะนงแต่อย่างใด มันคือการแสดงท่าทีของจักรพรรดิ!
ตอนนี้ฉินอี่หานปรากฏตัวอีกครั้งในสายตาโลก ตัวตนในอดีตทั้งหลายถูกปกปิด นางไม่ใช่ศิษย์จากสำนักอักขระสวรรค์ ไม่ใช่สาวใช้ของลู่หยวน แต่เป็นจักรพรรดินีของราชวงศ์อู๋ซวง!
ลู่หยวนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นจึงยกมือเพื่อใช้เรี่ยวแรงในการพยุงนางขึ้นมา
“ตอนนี้ความปรารถนาของเจ้าได้รับการเติมเต็มแล้ว เจ้าจะต้องอยู่ดูแลที่นี่ หากต้องการอะไร เจ้ากับพวกเสวียนเทียนชวนสามารถตัดสินใจกันเองได้”
ลู่หยวนเอนกายบนที่นั่งขณะมุมปากยกยิ้ม “เพราะเจ้าเป็นศิษย์พี่ ข้าก็เลยช่วยให้ขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิเท่านั้น แล้วเจ้าจะไม่ทำอะไรเพื่อขอบคุณข้าหน่อยหรือ?”
ฉินอี่หานตกตะลึงชั่วขณะก่อนใบหน้าจะแดงก่ำ นางเหลือบมองกู้ชิงหรันด้วยความรู้สึกพูดอะไรไม่ออก “นะ… นายท่าน ข้า…”
ฉินอี่หานไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดอะไร เมื่อนางหลุบตา ในใจก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ลู่หยวนยืนขึ้นขณะเดินไปหาฉินอี่หานทีละก้าว มือขวาของเขายื่นออกไปแตะบ่าของนางก่อนจะออกแรงบีบเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ศิษย์พี่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือ?”
จากนั้นนางก็เห็นลู่หยวนลดมือขวาพลางเดาะลิ้น “ศิษย์พี่ทำข้อตกลงกับข้าตั้งแต่แรก เจ้าบอกว่าหลังจากเรื่องราวคลี่คลายแล้ว เจ้าจะมอบศพของเมล็ดพันธุ์มารในอดีตให้ข้า เจ้าพยายามจะโกงงั้นหรือ?”
ฉินอี่หานตกตะลึง “แค่นั้นหรือ?”
ลู่หยวนพยักหน้า “ถูกต้อง แค่นั้นแหละ”
ใบหน้าของฉินอี่หานยิ่งเขินอาย หลังจากสงบสติได้สักพัก นางก็หันข้างแล้วประสานมือ “เชิญนายท่านตามข้ามา”
ลู่หยวนเพียงขยับไปสองก้าวก่อนจะหันมาหากู้ชิงหรันแล้วเอ่ย “อยากไปด้วยกันหรือไม่?”
กู้ชิงหรันส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ข้าจะไปฝึกฝน”
ลู่หยวนจึงจากไปพร้อมฉินอี่หาน
ทั้งสองตรงไปที่วังของจักรพรรดิโดยไม่มีคณะผู้ติดตาม
หลังจากเข้าไปในวัง พวกเขาก็ไปทางกำแพงขนาดใหญ่
ภาพแกะสลักหินซึ่งถูกสลักบนกำแพงคล้ายกับมีชีวิตจนลู่หยวนคิ้วขมวดเมื่อได้เห็น
บนภาพแกะสลักหินมีเพียงการตกแต่งพื้นหลังบางส่วนราวกับฟ้าดินแตกสลายที่ถูกแกะสลักเอาไว้อย่างละเอียด!
ด้านล่างภาพแกะสลักหินคือสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันอยู่ในที่แห่งเดียว พวกมันคล้ายกับกำลังคุกเข่าและสวดภาวนา!
ร่างทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากันระหว่างฟ้าดินจากระยะไกล!
ผู้ชายถือดาบใบตรง ส่วนอีกคนถือกระบี่หัก!
ร่างทั้งสองไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ดูจากภาพแกะสลักแล้ว พวกเขาคล้ายกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต!
ลู่หยวนจ้องกระบี่หักอย่างละเอียด
กระบี่หักอีกเล่ม!
ลู่หยวนมั่นใจแล้วว่าภาพแกะสลักหินนี้กำลังบรรยายการต่อสู้ระหว่างราชันมารกับเทพีท่าจิ้ง!
ฉินอี่หานเดินมาถึงภาพแกะสลักหินก่อนจะกดบริเวณมุมซ้ายล่าง
“วิ้ง!”
เส้นด้ายสีแดงบางถึงกับปกคลุมอยู่บนภาพแกะสลักหิน ก่อนจะพันรอบคนทั้งสองเอาไว้ใจกลางของภาพดังกล่าว!
ในตอนนี้ คนทั้งสองคล้ายกับหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยเส้นด้าย
เส้นด้ายเหล่านี้ยังคงตกลงมาขณะพันรอบสรรพสิ่งเบื้องล่างที่กำลังคุกเข่าและสวดภาวนา
“คลิก!”
สิ้นเสียงอันแผ่วเบา ภาพแกะสลักหินก็แยกออกจากตรงกลาง แล้วห้องมืดมิดก็ปรากฏต่อหน้าทั้งสอง
ลู่หยวนเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่ามีแท่นหินอยู่ในห้องมืด ซึ่งด้านบนมีศพถูกวางเอาไว้พร้อมกับอักขระนับไม่ถ้วนที่รายล้อม ทำเอาเขาตกตะลึงยิ่งนัก!
ลู่หยวนกับฉินอี่หานเดินเข้าไปด้วยกัน หลังจากเข้าใกล้ศพ เขาก็มองดูอย่างละเอียด
ด้วยการกำราบของอักขระเหล่านี้ ศพจึงไม่เน่าเปื่อยและรูปลักษณ์ยังคงเดิม
ศพนี้ไม่ได้แตกต่างมากนัก เว้นแต่ดวงตาที่ยังคงเบิกกว้างราวกับได้เป็นสักขีพยานกับบางสิ่งที่เหลือเชื่อ!
จิตเทวะของลู่หยวนกวาดไปทั่วศพก่อนจะคิ้วขมวดเล็กน้อย “เขาตายได้อย่างไร?”
ศพดังกล่าวไม่มีการบาดเจ็บภายนอก แขนขา อวัยวะภายในและทะเลห้วงความคิดลมปราณล้วนเป็นปกติ กลิ่นอายซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดพันธุ์มารค่อยปรากฏ แต่มันตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?!
“ข้าไม่ทราบ”
ฉินอี่หานตอบ “นี่คือศพของเมล็ดพันธุ์มารในอดีต ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่อาจยืนยันว่าเป็นความจริงหรือไม่ ในหมู่พวกมันก็มีเมล็ดพันธุ์มารมากมาย แต่ความแข็งแกร่งกลับไม่มากพอจนกระทั่งถูกฆ่า หาได้อยู่ในความสนใจของโลกใบนี้ไม่ ส่วนร่างนี้มีอายุประมาณหนึ่งพันปี ผู้คนในใต้หล้าต่างยอมรับว่าเป็นตนที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ส่วนสาเหตุการตาย…”
ฉินอี่หานนิ่งสักพัก จากนั้นจึงเอ่ย “ตายในทันที”
ลู่หยวนเหลือบมองข้างกายด้วยสายตาที่ไม่มั่นใจเล็กน้อย
ตายในทันทีหรือ?!
ผู้บ่มเพาะจะตายในทันทีได้อย่างไร?
คนเราไม่สามารถฝึกฝนอยู่ตลอดได้ หากมีใครตายในทันทีขึ้นมาก็มักมีข้อแก้ต่างเสมอ
โดยปกติแล้วเมื่อพูดถึงการตายในทันที มันย่อมหมายถึงการปกปิดบางอย่าง
ฉินอี่หานเข้าใจถึงความความสับสนของลู่หยวนเช่นกัน แต่นางทำได้เพียงส่ายหน้า “มันเป็นการตายในทันทีจริง เขาตายต่อหน้าภาพแกะสลักหินนี้”
“ว่ากันว่าในวันนั้น เมล็ดพันธุ์มารนี้เข้ามาเพียงลำพัง กำลังรบของทั่วทั้งราชวงศ์อู๋ซวงไม่อาจหยุดยั้งได้ พวกเขาเพียงเห็นอีกฝ่ายเข้าไปในห้องโถงใหญ่ จักรพรรดิในเวลานั้นมีความละเอียดรอบคอบจนไม่ปล่อยให้ใครเข้าไปในส่วนลึก พวกเขาเพียงล้อมที่นี่เอาไว้”
“ผ่านไปพักใหญ่ เมล็ดพันธุ์มารกลับไม่ออกมา เมื่อจักรพรรดิกำลังจะนำคนเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ตามด้วยเสียงตะโกนว่า ‘วิถีสวรรค์ไร้ความเมตตา ชักนำให้ผู้คนตกต่ำ ข้าไม่อาจเป็นผู้เล่นหมากกระดานนี้ได้ แต่สุดท้ายจะต้องมีใครบางคนที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้’ ทันทีที่จบประโยค แสงสีทองก็สว่างวาบ แล้วกลิ่นอายไร้เทียมทานอันแรงกล้าก็คงอยู่เป็นเวลานาน”
“เมื่อกลิ่นอายจางหายและผู้คนเข้าไป เมล็ดพันธุ์มารนี้ก็ถึงแก่ความตายเหมือนอย่างที่พวกเราเห็นในวันนี้”
ลู่หยวนเงียบไปสักพักหลังจากได้ยินเช่นนี้
วิถีสวรรค์ไร้ความเมตตา ชักนำให้ผู้คนตกต่ำ…
ลู่หยวนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่อาจนึกอะไรออก ดังนั้นเขาจึงปล่อยวางชั่วคราว
กลิ่นอายมารในศพของเมล็ดพันธุ์มารนี้สามารถดึงออกมาเพื่อกลืนกินได้ แต่ส่วนที่เหลือหาได้มีประโยชน์ไม่
หลังจากจัดการเรียบร้อย ลู่หยวนกับฉินอี่หานออกมาพร้อมกัน เขามองภาพแกะสลักหินซึ่งอยู่ด้านข้างก่อนจะพลันเอ่ยถาม “ใครเป็นคนแกะสลักภาพนี้หรือ?”
———————————