ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 593 ท่านเปลี่ยนไป
บทที่ 593 ท่านเปลี่ยนไป
บทที่ 593 ท่านเปลี่ยนไป
ลู่หยวนพากู้ชิงหรันกลับมาที่ตำหนักของตน
เมื่อกู้ชิงหรันกลับมา นางก็รับรู้ได้ว่าลู่หยวนมีสีหน้าแปลก ๆ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยถามใด ๆ
จนกระทั่งมาถึงในตำหนัก ลู่หยวนก็นำเครื่องรางลักษณะคล้ายของวิเศษชิ้นหนึ่งออกมา ทันใดนั้นเครื่องรางชิ้นนั้นก็ลุกไหม้ขึ้น!
เห็นได้ชัดว่าบนเครื่องรางชิ้นนั้น เต็มไปด้วยเลือดของลู่เทียนเหอ เลือดมีทั้งด้านซ้ายและขวาดิ่งลงมาทั่วทั้งพื้นผิวแล้วปรากฏเป็นรอยผนึกอักขระต่าง ๆ รอยผนึกเหล่านี้แปลกประหลาดมาก แม้แต่ลู่หยวนเองก็มิอาจนำมาเรียงกันได้
เปลวเพลิงนั้นเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เพียงสองอึดใจก็เผาผลาญเครื่องรางชิ้นนั้นจนหมดสิ้น
เมื่อฝุ่นละอองจางหายไป ลู่หยวนก็ยกแขนเสื้อขึ้น พบว่าบนข้อมือซ้ายของตนมีรอยผนึกเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น!
รอยผนึกนี้แม้แต่ลู่หยวนไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้ว่าหมายความเป็นเช่นไร
เมื่อสอบถามระบบ ระบบก็ไม่ให้คำตอบใด ๆ
ลู่หยวนเกิดความสงสัยอย่างมาก เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดระบบจึงได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของลู่หยวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่าเมื่อเอ่ยถึงเรื่องอื่น ๆ ระบบกลับสามารถตอบกลับได้ตามปกติ
ลู่หยวนพิจารณารอยผนึกบนข้อมือ เขาเข้าใจได้ว่านี่คือสิ่งที่ลู่เทียนเหอต้องการมอบแก่เขา
หลังจากไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ ริมฝีปากของลู่หยวนก็เผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา
กู้ชิงหรันเห็นดังนั้นจึงถามว่า “เจ้าคาดเดาสิ่งใดไว้หรือไม่”
นับตั้งแต่เข้ามาในตระกูลลู่ เรื่องราวต่าง ๆ ล้วนไม่เป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น กู้ชิงหรันรับรู้ได้ในใจ ว่าตระกูลลู่นี้อาจมีหนอนบ่อนไส้อยู่
“ตระกูลลู่ต้องเปลี่ยนเจ้าบ้านแล้ว… ไม่สิ… ไม่ใช่การเปลี่ยนเจ้าบ้าน”
สีหน้าของลู่หยวนเปลี่ยนไป แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่งไกล ๆ!
“แต่เป็นการนำอำนาจกลับคืนมาต่างหาก!”
การกลับมาในครั้งนี้ ลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยควรต้องมาพบหน้าลู่หยวน
ถ้าเป็นแค่เรื่องนี้ลู่หยวนคงไม่สงสัยอะไร ทว่าบัดนี้ ลู่เทียนเหอส่งเครื่องรางนี้มาก็เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของคนทั้งมวล
ถึงแม้ว่าเครื่องรางนี้จะถูกเผาผลาญไปในชั่วพริบตา แต่เขาก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่า นอกจากเลือดของลู่เทียนเหอแล้ว ยังมีลมปราณอันมากมายของลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยอีกด้วย
ลมปราณเหล่านี้ปกคลุมขึ้นมาเพื่อมิให้ผู้ใดค้นพบเครื่องรางชิ้นนี้!
สถานการณ์เช่นนี้สามารถบ่งชี้ได้เพียง ว่าลู่เทียนเหอกับอู่หมิงเสวี่ยอาจถูกจองจำอยู่!
คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ในตระกูลลู่ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือบรรพบุรุษตระกูลลู่!
“อาจจะเพื่อเกาะสังหารเซียนกระมัง”
ลู่หยวนยิ้มเย็นเยียบ “หรืออาจมีการสมคบคิดร่วมมือกับแดนมารก็เป็นได้!”
ในโลกแห่งนี้ ผู้เป็นบิดาและมารดาบุญธรรมของลู่หยวนยังคงดีต่อลู่หยวนมาก ส่วนลู่หยวนเองก็ได้ยอมรับพวกเขาเป็นคนในครอบครัวมาช้านานแล้ว!
ผู้ใดกล้าแตะต้องลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยก็เท่ากับเป็นการยั่วโทสะเขา!
การที่บรรพบุรุษแห่งตระกูลลู่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ ลู่หยวนมิอาจคาดเดาถึงสาเหตุที่แท้จริงได้เลย ทว่าก็ยังสามารถคาดเดาสาเหตุคร่าว ๆ ได้!
คนชั่วช้าพวกนี้ จะสนใจสิ่งใดนอกจากอายุขัยกับการก้าวข้ามขีดจำกัดเข้าสู่ดินแดนอมตยุทธ์เท่านั้น!
ก็มีเพียงสองเรื่องนี้เท่านั้นล่ะ!
และสิ่งที่ลู่หยวนกำลังทำอยู่ในขณะนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับสองเรื่องนี้ทั้งสิ้น!
ในวัยเพียงแค่นี้ ลู่หยวนกลับสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้ พรสวรรค์เช่นนี้ นอกจากจะทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวแล้ว ยังเป็นที่น่าจับตามองอีกด้วย!
เช่นเดียวกับชิวสิงที่เลี้ยงดูชิวเสวียนมาเป็นสิบปี ก็เพื่อที่จะช่วงชิงร่างของชิวเสวียนเท่านั้น!
ร่างกายในปัจจุบันของลู่หยวนมีคนชั่วคนใดบ้างที่ไม่อยากได้!
เทพยุทธ์ครึ่งก้าวในวัยยี่สิบปี!
การล่อลวงเช่นนี้ หากมีโอกาสแม้แต่นิดเดียว เหล่า ‘คนแก่’ บนแผ่นดินหยวนหงหลาย ๆ คนที่ไม่อยู่สายตาผู้คนแล้ว คงจะไม่สนผลลัพธ์ และพร้อมจะโจมตีลู่หยวน!
ลู่หยวนไม่คิดว่าเพียงแค่ตนเองมีเชื้อสายตระกูลลู่เล็กน้อย ตระกูลลู่ก็จะยอมละทิ้งโอกาสนี้ไป!
สัจธรรมที่ว่า ใจคนมักไม่รู้จักพอ ไม่ว่าผู้ใดย่อมเข้าใจ! และลู่หยวนยิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้!
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาข้อมูลทั้งหมดที่ลู่หยวนได้รับมา ช่องว่างระหว่างแดนเซียนและแผ่นดินหยวนหง ก็กำลังจะหายไปในเร็ว ๆ นี้ เมื่อทั้งสองแผ่นดินกลับมาเชื่อมต่อกันอีกครั้ง โอกาสที่จะเข้าสู่ดินแดนอมตยุทธ์ก็จะมาถึง!
ลู่หยวนถือเป็นบุคคลในแผ่นดินหยวนหงที่มีโอกาสที่จะก้าวสู่ดินแดนอมตยุทธ์มากที่สุด!
ลู่หยวนครอบครองสองสิ่งที่พวกคนชั่วเหล่านั้นต้องการ!
การเดินทางไปยังเกาะสังหารเซียนครั้งนี้ อาจมีเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับคนของเราที่วางแผนไว้ก็เป็นได้!
“เหอะ…”
ลู่หยวนหัวเราะเบา ๆ ความหนาวเย็นบนใบหน้าได้หายไป และกลับกลายเป็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ขึ้นมาแทน “ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะทำเช่นไร!”
…
บนเกาะเมฆา มีร่างที่ค่อนข้างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก้มหัวลง คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ลู่ปู้ฝาน
“ท่านปู่ ลู่หยวนในเวลานี้ อาจจะรู้เรื่องราวต่าง ๆ บ้างแล้ว ข้าทำตามคำสั่งของท่าน จัดเตรียมกลยุทธ์เอาไว้ด้านนอกคุกที่คุมขังลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยไว้ ปรากฏว่าวันนี้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นคล้ายกับว่าลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ยได้ร่วมมือกันมอบสิ่งของบางอย่างให้แก่ลู่หยวน!”
“ข้าไม่มีความสามารถที่จะขัดขวางสิ่งนั้นได้ทันท่วงที! ขอให้ท่านปู่ลงโทษด้วย!”
ร่างร่างนั้นคุกเข่าลงอย่างเคารพราวกับมีความศรัทธาอย่างถึงที่สุด!
ลู่ปู้ฝานเอามือเท้าเอวแล้วหัวเราะ “ลงโทษ? จะลงโทษเรื่องใดกัน ลู่หยวนมิใช่คนโง่ ต่อให้ลู่เทียนเหอมิได้ส่งของชิ้นนั้นออกมา ลู่หยวนก็ยังสามารถคาดเดาได้อยู่ดี! เจ้าคิดว่าพวกเราจะสามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ตลอดไปเช่นนั้นหรือ?”
ร่างที่คุกเข่าอยู่เกิดอาการตื่นตระหนกเล็กน้อย “นั่นหมายความว่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ลู่หยวนกำลังทดสอบเราอยู่อย่างนั้นหรือ! เช่นนั้นพวกเราได้เปิดเผยอะไรบางอย่างออกไปหรือไม่! ต้องลงมือกับลู่หยวนเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่!”
ลู่ปู้ฝานส่ายหัว “เจ้าไม่ต้องกังวล ลู่หยวนจะไม่มีทางลงมืออย่างกะทันหัน!”
“อีกอย่าง… จะลงมือรึ? เจ้าไม่มีสมองหรืออย่างไร! เจ้ามีชีวิตกี่ชีวิตกัน ถึงได้คิดจะลงมือกับลู่หยวน ! ถึงแม้ว่าข้าจะฟื้นคืนพลังมาได้เท่ากับช่วงที่แข็งแกร่งสูงสุดแล้ว ก็ยังไม่สามารถปะทะกับลู่หยวนในเวลานี้ได้!”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ท่านปู่สอนถูกแล้ว!”
บุคคลผู้นั้นก้มหัวไม่หยุด
สายตาของลู่ปู้ฝานมองออกไปไกลที่ด้านล่างของก้อนเมฆซึ่งเป็นจุดที่ลู่หยวนอยู่
“วางใจเถอะ ลู่หยวนจะไม่มีทางทำอะไร เขารู้ว่าเป็นฝีมือของข้า เขาก็รู้ว่าข้าจะไม่ลงมือกับลู่เทียนเหอและอู่หมิงเสวี่ย ทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปตามแผนเดิมได้”
“ในที่สุดการเล่นหมากกระดานนี้ก็กำลังจะจบลงแล้ว เหนื่อยเสียจริง…”
ร่างของลู่ปู้ฟานได้เลือนหายไปในกลุ่มเมฆอย่างรวดเร็ว
ร่างที่คุกเข่าอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น แสงสว่างพลันส่องลงมา เผยให้เห็นใบหน้าของชายผู้นั้น ซึ่งก็คือลู่เทียนเฟิ่ง!
ลู่เทียนเฟิ่งคำนับไปทางเบื้องลึกของเกาะเมฆาอีกครั้ง จากนั้นก็จากไปทันที
…..
ลู่หยวนเก็บตัวเงียบไปหลายวัน ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ กู้ชิงหรันก็ขอห้องไปหนึ่งห้องเพื่อฝึกตน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงวันที่นัดหมายที่จะเดินทางไปยังเกาะสังหารเซียน!
ฮ่วนซิงไป๋ก็พาผู้ติดตามของตนเองมายังตระกูลลู่ ซึ่งมีลู่เทียนเฟิ่งเป็นผู้ต้อนรับด้วยตนเอง
ฮ่วนซิงไป๋มองไปทั่วทั้งตระกูลลู่อย่างพิจารณาโดยมีลู่เทียนเฟิ่งคอยอยู่เคียงข้าง
“สมกับเป็นตระกูลลู่แห่งแดนเหนือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เมื่อเปรียบเทียบกับแดนมัชฌิมแล้วก็เหนือกว่าจริง ๆ”
ฮ่วนซิงไป๋กล่าวชื่นชม
ฝ่ายลู่เทียนเฟิ่งที่อยู่ข้าง ๆ พูดรับคำชมนั้น
ฮ่วนซิงไป๋มองลู่เทียนเฟิ่งด้วยความประหลาดใจ “ท่านลุงเฟิ่ง ท่านดูแปลก ๆ ไปนะ ไม่เหมือนกับตอนที่ข้าได้พบกับท่านครั้งก่อน ท่านดูเปลี่ยนไปนะ