ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 107
ระบบศัลยแพทย์…ในยุคสิ้นโลก ตอนที่ 107 ใจเย็น! ไม่มีกลไกอะไรทั้งนั้น
แสงสลัวๆ ในห้องประเมินทางจิตวิทยาช่างดูอบอุ่นและเป็นกันเองตั้งแต่ย่างเข้ามา กู้จวินถูกสั่งให้นอนเอนกายทิ้งม้านั่งหนังนุ่มๆ ที่ด้านข้างของพี่สาวเหลียง ทันทีที่เขานั่งลงและเอนหลัง ร่างกายของเขาก็จมลงในเบาะนุ่มๆ เล็กน้อย ทําให้เขารู้สึกถึงความสะดวกสบายที่ยากจะได้มา
“ เธอคือกู้จวินสินะ งั้นฉันจะเรียกเธอว่านักศึกษากู้” พี่สาวเหลียงพูดด้วยรอยยิ้มที่งดงามและให้ความรู้สึกดีออกมา “ ฉันได้เห็นผลการทดสอบและผลการเรียนของเธอทั้งหมดจากโจวเจียเฉียงแล้ว เธอยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ”
กู้จวินไม่ได้โง่…เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าพี่สาวเหลียงกําลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ด้านดีในการบําบัดรักษาต่อตัวเขา โดยใช้ท่าที่ที่อบอุ่น เข้าใจ ห่วงใยและเคารพในฝ่ายตรงข้าม
ขั้นแรกเธอจะสร้างบรรยากาศที่อบุอุ่นออกมาและทําให้การป้องกันทางจิตใจของเขาอ่อนแอลง ก่อนที่เธอจะได้ “ลงมือ” จริงๆ รอยยิ้มที่จริงใจและมั่นใจของพี่สาวเหลียงมันแสนจะอันตรายและอาจจะหลงกลได้หากคุณเชื่อใจเธอ กู้จวินรู้เรื่องนี้ดีและพยายามทําตัวให้เป็นกลาง
“ มา…ฉันจะใส่เครื่องมือให้เธอ” พี่สาวเหลียงให้กู้จวินสวมถุงมือก่อน แล้วจึงสวมหมวกกันนี้น็อคที่ทําจากวัสดุที่อ่อนนุ่มไม่ทราบชนิด โดยอุปกรณ์ทั้งหมดมีเซ็นเซอร์สีขาวหลายตัวกดลงบนผิวหนังของเขา และเซ็นเซอร์ทั้งหมดก็ถูกเชื่อมโยงกับสายไฟหลากสีที่ต่อกับตู้บางอย่างที่คล้ายกับเครื่องดนตรีข้างๆเขา
กู้จวินเคยฝึกจิตวิทยาและเรียบจบไปแล้ว ดังนั้นคงจะแปลกมากถ้ากู้จวินไม่สามารถแยกแยะได้ว่านี่คืออะไร?
ถุงมือสีดําคู่นี้เรียกว่า “เครื่องตรวจจับแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผิวหนัง” หลักการของมันก็คือการจับปฏิกิริยาของร่างกายในเชิงลึก โดยอิงพลังงานอิเล็กโทรดที่ส่งเข้าไปในฝ่ามือหรือปลายนิ้วของผู้ถูกทดสอบ และจากนั้นก็จะเกิดการตอบสนองของผิวหนังกัลวานิก (GSR) หรือการตอบสนองต่อการนําไฟฟ้า และหลังจากนั้นผิวหนังจะถูกวัดเพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของการทํางานของต่อมเหงื่อและระบบประสาทซิมพาเทติกเพื่อวัดค่าตามค่าของพารามิเตอร์ที่เชื่อถือได้ GSR ถูกนํามาใช้สําหรับเครื่องตรวจจับโกหกและเครื่องมืออื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันด้วย นับว่าเป็นเครื่องมือที่มีใช้กันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก
ถุงมือเหล่านี้ได้รับการจดสิทธิบัตรโดยเฟคต้าและเทคโนโลยีที่ใช้ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยํายิ่งขึ้นกว่าของเก๊ตามท้องตลาด สําหรับหมวกกันน็อกผิวนุ่มสีเทานั้นเป็นแบบอิเล็กโทรเนสฟาโลแกรม (EEG) และใช้สําหรับการตรวจสอบคลื่นสมองแบบเรียลไทม์…อันนั้นก็เช่นกัน เฟคต้าได้วิจัยและยกระดับมันจนได้รับรางวัลเครื่องมือด้านจิตวิญญาณดีเด่น
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสนามไฟฟ้าในกลุ่มจิตวิทยาอีกมากมาย แต่การประเมิน S ดูเหมือนจะไม่จําเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเหล่านั้น ซึ่งวิธีการและมาตรฐานในการประเมิน S นั้นแตกต่างจากการทดสอบบุคลิกภาพอย่างเห็นได้ชัด มันทําให้กู้จวินรู้สึกไม่วางใจเอาเสียเลย
หม!? มีกระจกกลมๆ แขวนอยู่บนผนังตรงนั้นด้วย กู้จวินเหลือบมองมันทันที นั่นเป็นกระจกมองข้างทางเดียวหรือเปล่า? มีใครบางคนเฝ้าดูเขาจากด้านหลังหรือไม่? กู้จวินมองกระจกนั่นด้วยความสงสัย ความระแวงจากก้นบึงของจิตใจเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง
พี่สาวเหลียงที่สังเกตเห็นการกระทําของเขาก็ยิ้มออกมาทันที “ นั่นเป็นเพียงกระจกธรรมดาน่ะ ไม่มีกลไกอะไรอยู่ทั้งนั้น” จากนั้นเพื่อยืนยันความคิดนี้ เธอก็เดินไปเอากระจกลงมาวางที่พื้นทันที ทําให้เห็นว่าผนังด้านหลังกระจกเป็นกําแพง พี่สาวเหลียงชี้ไปที่มุมบนแล้วกล่าวอย่างบริสุทธ์ใจ “ มีกล้องอยู่ที่นั่นซึ่งมันจะบันทึกการทดสอบแต่ละครั้ง แต่นั่นเป็นเพียงการรวบรวมข้อมูลสําหรับแฟ้มส่วนตัวของเธอ ไม่มีใครเฝ้าติดตามเธอทั้งนั้น และตอนนี้ฉันเป็นคนเดียวที่เฝ้าดูเธออ
ใบหน้าที่ใจดีของเธอดูไม่เป็นอันตราย ดูเหมือนคุณป้าใจดีที่กําลังเดินเล่นในสวนสาธารณะกับหลานชายอยู่
แต่! ใครจะรับรอง…นั่นไม่ใช่กลไกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจับตาดูเขาหรอกเหรอ ใช่! ทั้งหมดอาจจะเป็นแผนของผู้หญิงคนนี้ที่ต้องการจะหลอกลวงเขาด้วยด้วยเปิดเผยบางอย่างแล้วจะทําให้เขาลดการป้องกันลงแผนสูงไม่เบานี่
นั่นเป็นเพราะไม่มีเหตุผลที่จะวางกระจกไว้ที่นั่นเลย เห็นได้ชัดว่ามันเป็นอย่างเดียวที่ดูไม่เข้า พวกกับรูปแบบโดยรวมของห้องๆนี้
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน คนอย่างไช่ฉีซวนเป็นคนที่เชื่อคนง่ายและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าพี่สาวเหลียงคนนี้จะเปาหูยังไงเขาคงจะเชื่อและไม่คิดสงสัยอย่างแน่นอน และเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็ด้วย แต่มันไม่ใช่กับเขา…. การกระทําของเธอมันช่างน่าสงสัย และเธอก็กลัวเขาสงสัยถึงขนาดที่เปิดช่องโหว่ นี่เห็นได้ชัดว่าเธอกําลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง: เช่น น้องสาวเหลียงซื่อสัตย์กับคุณ ดังนั้นคุณควรซื่อสัตย์กับเธอด้วย!! ประมาณนี้
“ผ่อนคลายและทําตัวตามสบาย” พี่สาวเหลียงยิ้มอีกครั้งแล้วเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ “ หากเธอมีความคิดเห็นหรืออยากจะระบายอะไร เธอสามารถพูดคุยกับฉันได้”
“ ครับ! ขอบคุณมาก” กู้จวินตอบรับความหวัง อันที่จริง
ด้วยอคติของมนุษย์ ทุกคนก็มีแนวโน้มที่จะยอมรับการเสริมกําลังเชิงบวกประเภทนี้
คําว่า “ คุณทําได้” เป็นตัวอย่างทั่วไป และพี่ชายเฉียงก็ชอบทํากับพวกเขาตลอดเวลาโดยพูดว่า “ คุณทําได้” กับทุกสิ่งที่ทํา และตอนนี้พี่สาวเหลียงก็กําลังเสริมสร้างแนวคิดนี้โดยให้เขามุ่งเน้นไปที่ความคิดที่ว่าเขามีความสุขมากขึ้น โดยเห็นด้วยกับคําพูดของเธอในขณะที่พี่สาวเหลียงกําลังพูด กู้จวินก็ทําตัวตามสบายและนึกถึงทฤษฎีสารพัดอย่างในหัวสมอง
“อาจิ้น เธอไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้” พี่สาวเหลียงหัวเราะกับกิริยาของกู้จวิน เธอเองก็เป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์ในวงการด้านจิตวิทยา ดังนั้นเธอสามารถบอกได้ว่าชายหนุ่มยังคงเก็บงําความสงสัยเอาไว้แถมยังไม่วางใจในตัวเธออีก “ ฉันรู้ว่าเธอได้รับการฝึกอบรมด้านจิตวิทยามา ดังนั้นฉันจึงไม่ได้วางแผนที่จะเล่นกลกับเธอหรอก เชื่อฉันเถอะ! ปล่อยความสงสัยของเธอทิ้งไป เธอสามารถเชื่อฉันได้”
พอได้ยินคํานี้กู้จวินก็คิดอีกครั้งว่านี่เป็นการเสริมแรงในเชิงบวกอย่างแน่นอน!
ลืมมันไปเถอะ! เป็นแล้วยังไง? กู้จวินถอนหายใจและปล่อยวางลง เขาจะพยายามไม่คิดมากกับมัน ถึงยังเขาก็จะต้องทําการทดสอบอยู่ดี บางทีเขาอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ อีกก็ได้
“ พี่สาวเหลียงฉันจะพยายามร่วมมืออย่างดีที่สุด แต่มันก็ช่วยไม่ได้หากมีการเปิดเผยความคิดแปลก ๆ ออกไปนะครับ!”
“ ไม่เป็นไร เธอไม่ใช่คนเดียว มีหลายกรณีคนหลายคนมักเก็บงําความหวาดระแวงและความหวาดกลัวมากกว่าคุณด้วยซ้ำ ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีปัญหา”
รอยยิ้มของพี่สาวเหลียงบ่งบอกถึงอํานาจที่เธอถือครอง จากนั้นเธอก็พูดอย่างสบายใจมาก “ มาคุยกันก่อน ฉันได้ดูแบบสอบถามที่กรอกเองของเธอแล้ว ฉันรู้ว่านอกจากยากับการแพทย์แล้ว งานอดิเรกที่คุณชอบคือการดูหนังและคุณเคยคิดที่จะเป็นกรรมการวิจารณ์หนังบ้างไหมถ้าเธอไม่ได้เป็นหมอ และเมื่อเร็ว ๆ นี้เธอได้ดูภาพยนตร์ดีๆบ้างไหม?”
“ อืม…” ความคิดอีกอย่างผุดขึ้นมาในใจของกู้จวินอีกครั้ง งานอดิเรกเหรอ? ไม่เลว…ดูเหมือนถามธรรมดาแต่แท้จริงแล้วมันเกี่ยวข้องกับการประเมินจิตใจโดยตรง พอเราตอบและสามารถเชื่อมโยงกับคนถามได้…การเก็บคะแนนก็จะเริ่ม
ในขณะที่กําลังคิด กู้จวินก็เห็นนาฬิกาลูกตุ้มขนาดเล็กที่เดินอยู่บนโต๊ะทํางานข้างๆ พี่สาวเหลียง มันส่งเสียง ติ๊กต็อก ติ๊กต๊อก….อยู่ตลอด
“ ผมไม่ได้ดูหนังมาสักพักแล้วครับ” กู้จวินตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมเองก็ไม่รู้ว่าทําไม แต่ครั้งสุดท้ายที่ดูเรื่องหนึ่งน่าจะครึ่งปีที่แล้ว? ผมอยากดูหนังเรื่อง [ผีขี้จุ๊ย] อีกครั้ง ผมรู้สึกว่ามันเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ดีเรื่องหนึ่งเลย และนอกจากนี้ผมยังชอบภาพยนตร์เก่าเรื่องหนึ่ง ที่มีชื่อเรื่องว่า << เจ้าแห่งนรก >> อีกด้วย มันสนุกจนผมไม่เคยลืมเนื้อเรื่องของมันเลย”
โอ้ ทําไมเป็นอย่างนั้นล่ะ? ” พี่สาวเหลียงถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และตอนนี้กู้จวินก็แสดงความเต็มใจที่จะพูดคุย และงานทดสอบการประเมินของเธอก็เริ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดี
“ มันตลกดีครับ.ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดย “ทิม โบลตัน” ตามบทต้นฉบับของเขามันลึกลับและน่าขนลุก แต่น่ารักในเวลาเดียวกัน นางเอกรับบทโดย “วิโนน่า ไรเดอร์” บทบาทของเธอนั้นมีเอกลักษณ์มาก เธอเป็นคนกลัวผีแต่เธอก็มีความสุขที่ได้เห็นพวกเขา ในที่เกิดเหตุฆาตรกรรม.เมื่อเธอปรากฏตัว เธอก็ถูกคนจากที่เกิดเหตุจับโยนเอาไปไว้ที่โซฟาเพื่อไม่ให้ยุ่งกับคดี แต่เธอก็ยังกระโดดม้วนตัวถ่ายรูปที่เกิดเหตุไปจนได้!! มันสนุกมากจนอยากจะดูอีกจริงๆ”
ในขณะที่กู้จวินพูด เขาก็เริ่มพูดพล่ามถึงหนังด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น เขารู้ว่าพี่สาวเหลียงกําลังสะกดจิตเขา แต่เขาก็แกล้งเป็นเหยื่อเธอไปอยู่ดี
“ มีภาพยนตร์อย่างอื่นที่น่าสนใจตั้งมากมาย ทําไมเธอถึงต้องการดูแต่เรื่องนี้? แล้วอีกอย่างภาพยนต์นั่นมันเกี่ยวอะไรกับการเข้าเฟคต้าของเธองั้นเหรอ?” พี่สาวเหลียงถาม คราวนี้แบบทดสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว
“ ผมแค่อยากรู้ว่าถ้ามีสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่ในโลกนี้ พวกมันจะน่ารักเหมือนผีในหนังเรื่องนี้ไหมก็เท่านั้นเองครับ ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น!” กู้จวินตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ และแน่นอนว่ามันคือคําโกหก! เขาเคยชอบหนังที่ไหน? ก็แค่สร้างภาพเท่านั้น และเนื้อเรื่องก็จําได้ตอนที่เขากําลังเป็นเสี่ยกู้ รู้สึกว่าอดีตแฟนคนหนึ่งจะชอบดูเนี่ยแหละมั้ง!?
“ น่ารักเหรอ? อย่างไหนล่ะ แบบไหนล่ะถึงจะน่ารัก?” พี่สาวเหลียงคุยกับเขาเกี่ยวกับภาพยนตร์และพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้ออื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่เธอไม่ได้พูดถึงอะไรเกี่ยวกับยาหรือปล่อยให้เขารู้สึกเคร่งเครียดหรือสงสัยเลย
เวลาค่อยๆผ่านไป ไม่นานครึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป กู้จวินก็สงบลงอย่างช้าๆ เขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง และหลังจากนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะที่ถูกสะกดจิตเรียบร้อย เขาหมกมุ่นอยู่กับบทบาทของมนุษย์แบบปลอมๆ ที่พี่สาวเหลียงสะกดจิตให้เขาราวกับว่าเขาไม่ใช่ “ทาส” ทางการแพทย์อีกต่อไป