ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 109
ตอนที่ 109 ภาษาต่างโลก
“ พี่สาวเหลียง คุณเข้าใจผมใช่ไหมครับ?” กู้จวินบ่นพึมพําแม้จะตกอยู่ในห้วงของการถูกสะกดจิตก็ตาม “ ผมพยายามทําอย่างเต็มที่แล้ว” เสียงของกู้จวินมีร่องรอยของความโศกเศร้าเหลืออยู่บ้างแต่อย่างน้อยมันก็เบากว่าตอนแรก
เขารู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้ระบาย อารมณ์ที่ขุ่นมัวในหัวใจของเขาในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาถูกกําจัดออกไปแบบหมดจด เขาเข้าใจแล้ว! ว่าทําไมฉีซวนหลังจากออกจาห้องประเมินถึงได้ดูมีความสุขราวกับได้ออกจากห้องสปา เพราะตอนนี้เขาก็มีความสุขเช่นกัน
หลังจากที่กู้จวินผ่อนคลายลงเล็กน้อย พี่สาวเหลียงก็ต้องการให้เขาจินตนาการถึงสถานการณ์ที่มีผลกระทบสูงเป็นลําดับถัดไป โดยคําถามนี้เป็นคําถามที่อัพเกรดความรุนแรงยิ่งกว่าคําถามแรกเยอะ
“เพื่อนของคุณ…ไช่ฉีซวนป่วยหนัก และคุณคือหมอที่ผ่าตัดเขา”
เดิมที่เธอคิดว่าอาการของเขาจะดิ่งจนเกินควบคุม แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามกับที่เธอคาดหวังไว้ทั้งหมด กู้จวินไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอะไรมากนัก ในความเป็นจริง…พอเขาได้ยินว่าเขาจะต้องผ่าร่างของฉีซวน เขาก็หัวเราะออกมาด้วยซ้ำ!
“ ผมมีความลับอะไรอยากจะบอก!! หัวกะโหลกของฉีซวนนั้นสุดยอดมาก คุณรู้ไหมว่าหัวของเขานั้นไม่จําเป็นต้องโกนเพื่อผ่าตัดเหมือนคนอื่นๆ เพราะเขาไม่มีผมให้โกนยังไงล่ะ หัวของเขาล้านเลื่อนจนแทบเอามาส่องเป็นกระจกได้”
ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องวัดทั้งหมดชี้ให้เห็นว่ากู้จวินยังคงถูกสะกดจิตอยู่ พี่สาวเหลียงคงคิดว่ากูจวินนั้นน่าจะตื่นขึ้นมาและหลุดออกจากการสะกดจิตแล้วโดยสมบูรณ์
ตอนนี้พี่สาวเหลียงเข้าใจคําตอบในแบบทดสอบประเมินบุคลิกภาพจากแฟ้มประวัติของกู้จวินแล้ว นี่คือนรกของเด็กหนุ่มที่น่าสงสาร!
ผู้ที่มีการรับรู้ทางวิญญาณสูงจะพบว่าตัวเองถูกวางไว้ในสถานการณ์ที่สติหลุดได้ง่าย และพวกเขาจะกระวนกระวายใจมากกว่าคนอื่น ๆ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆก็ตาม
ตัวอย่างเช่น หวังรั่วเซียงที่มีค่าจิตวิญญาณอยู่ที่ระดับ B + ดังนั้นเมื่อคํานวณค่า S แล้ว ก็จะได้ผลลัพธ์ที่อิทธิพลของการรับรู้ทางวิญญาณจะสมดุลอยู่ที่ระดับสูงนั่นเป็นตัวอย่างที่ปกติ
แต่ความจริงก็คือ กู้จวินที่มีการรับรู้ทางจิตวิญญาณ A + แต่เขายังคงสามารถรักษาความสงบได้ ดังนั้นในแง่ของการคํานวณตามวัตถุประสงค์การประเมิน เขาต้องมีค่า S ที่สูงมากอย่างน่าชื่นชม
แต่ติดที่ว่าในรายงานของกู้จวินมีความเห็นแปลกๆ จากผู้ตรวจสอบคนหนึ่ง
“มันอนุมานได้ว่าจิตใต้สํานึกของผู้รับการประเมินมีความจําผิดปกติ และระดับจิตวิญญาณที่ผิดปกติอย่างสูงจะเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่าง”
บางครั้งความสามารถพิเศษที่น่าประหลาดใจ..อาจจะกลายเป็น “ปัญหา” ไปก็ได้ถ้าไม่ระวังและบางครั้งมันก็คือต้นเหตุของความสามารถพิเศษนั้น….บางทีในกรณีของกู้จวิน การที่เขามีระดับจิตวิญญาณที่สูงอาจจะแปลว่า “บางสิ่ง” ที่ว่านั้นอาจจะเป็นสาเหตุก็เป็นไปได้
“ อาจขั้นตอนที่ฉันยังเด็ก แม่ของฉันท่านมักบอกให้ฉันกินเยอะๆ จะได้แข็งแรง” พี่สาวเหลียงเปลี่ยนคําถามเพื่อเจาะจงหา “สิ่งนั้น” และทําการประเมินต่อไป “ แล้วคุณแม่ของเธอก็พูดคล้าย ๆ กับแม่ของฉันไหม?”
“ แม่ของฉัน ท่าน” ลมหายใจของกู้จวินเริ่มเร็วขึ้นอีกครั้ง “ ฉันจําเธอไม่ค่อยได้! พี่สาวเหลียง คุณเป็นคนของเฟคต้าและมีประวัติของฉัน เธอต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของฉันสิ แต่ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ฉันไม่ได้โกหกคุณนะ บริษัทไล่เฉิงเป็นองค์กรของคนบ้า พวกเขากําลังทดลองอะไรอยู่? แต่ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ”
“ ขอโทษนะอาจขึ้น! แต่ฉันไม่สามารถเข้าไปดูแฟ้มประวัติของเธอแบบเต็มๆได้ อํานาจของฉันไม่เพียงพอที่จะเข้าถึง และฉันไม่รู้เกี่ยวกับบริษัทไล่เฉิง” พี่สาวเหลียงชะลอจังหวะการถามของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองบุกรุกแนวป้องกันทางจิตใจของกู้จวิน
“ ฉันรู้ว่าเธออาจมีความทรงจําที่ผิดปกติในจิตใต้สํานึกของเธอเอง อย่างเช่นความทรงจําผิด ๆ ที่ใครบางคนอาจฝังไว้ในนั้น หรือความทรงจําบางอย่างที่คนอื่นพยายามทําให้เธอลืม เธอคิดว่าเราจะพยายามเข้าถึงมันได้ไหม? เธอสามารถลองดูได้”
กู้จวินรู้สึกไม่ยอมแพ้เล็กน้อย เขาอยากจะลองดู หากสิ่งนี้สามารถนําเขาไปสู่ความจริงได้มันก็คงดี
“ ผมจะลองดูครับ!” เขากล่าวด้วยความมั่นใจ “ ผมต้องการหาคําตอบด้วยตนเอง”
“ ได้! ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มกันเลย เธอต้องใจเย็น ผ่อนคลายและทําตามคําพูดของฉัน จากนั้นพวกเราจะพยายามนาทุกอย่างกลับคืนมากัน” พี่สาวเหลียงให้กู้จวินผ่อนคลายในความเงียบ ก่อนที่เธอจะเริ่มกระบวนการระลึกความทรงจําอย่างเป็นทางการ
“ ในตอนนี้มีแต่ความมืดรอบตัวเธอ และเธอก็อยู่ในความเงียบแต่เธอสามารถมองเห็นแสงสว่างตรงหน้าของเธอได้ชัดเจนแต่มันไกลจากเธอมาก เธอต้องค่อยๆเดินเข้าไปหามันที่ละก้าว
ใจเย็น! มีประตูอยู่ที่นั่นและมีไฟส่องมาจากด้านหลังประตู หลังประตูนั้นมีความทรงจําที่เธอเคยเชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาก่อน แต่เธอไม่สามารถจํามันได้ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม อย่ากลัว เธอแค่ค่อยๆเดินไปที่ประตูแล้วเปิดเข้าไปซะ…”
เมื่อเขาหลับตา กู้จวินก็รู้สึกได้ถึงแสงและหมอกที่ปรากฏต่อหน้าเขาและจากนั้นเขาก็เห็นประตูสีแดง และเขาก็ก้าวไปสู่ด้านในมันอย่างตั้งใจ เขาเดินผ่านประตูสีแดงและเข้าไปในแสงสว่าง
“ บอกฉันว่าเธอเห็นอะไร?” พี่สาวเหลียงถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ส่วนกู้จวินก็กําลังเดินในแสงและเงา เขาเดินผ่านหมอกและมองไปรอบ ๆ จากนั้นทุกอย่างก็พร่ามัว การหายใจของเขาหนักขึ้น บรรยากาศโดยรอบทําให้คิ้วของเขาขมวดและดวงตาของเขาก็สั่นเทา
“ ที่นี่เป็นสถานที่ที่เธอเคยไปในอดีตหรือไม่?” พี่สาวเหลียงทิ้งคําแนะนําไว้เป็นแนวทาง “ ที่นี่เป็นบ้านในวัยเด็กของเธอหรือเปล่า?”
ทุกความทรงจําที่เก็บอยู่ในจิตใต้สํานึกนั้นมักจะถูกเก็บอยู่ในรูปแบบสถานการณ์จําลอง เนื่องจากความรู้สึกของมนุษย์นั้นจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์จริง แม้ว่าจะไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่สมองก็จะสร้างความทรงจําจากจิตใต้สํานึกขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ และเมื่อสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันเกิดขึ้น…ความทรงจําแบบเดิมก็จะพุ่งประทุออกมา นี่อาจเป็นคําอธิบายเบื้องหลังปรากฏการณ์เดจาวูที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ ในชีวิตประจําวัน
การฟังคําแนะนําจากพี่สาวเหลียงทําให้กู้จวินรู้สึกดีและปรับตัวกับโลกในจิตใต้สํานึกได้มากขึ้น ในจังหวะนั้นเองแสงสีขาวก็สว่างจ้าขึ้น ทําให้หนทางเบื้องหน้ากลายเป็นภาพที่พร่ามัวและหลังจากสิ้นแสง ความมืดก็เริ่มครอบงําไปทั่วทุกบริเวณ
“ มันเป็นห้องครับ” กู้จวินบ่นพึมพํา “ ผมอยู่ในห้อง”
“ ห้องเหรอ? เป็นห้องแบบไหน? เป็นห้องของเธอเองเหรอ?”
กู้จวินมองไปรอบ ๆ นี่คือสถานรับเลี้ยงเด็กที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี และมีบรรยากาศที่อบอุ่น ที่ผนังห้องมีภาพวาดหลากสี แต่ละภาพประกอบด้วยเส้นที่ไม่สม่ำเสมอซึ่งอาจเป็นผลงานของเด็ก แม้ว่าความรู้สึกคุ้นเคยจะค่อยๆเกิดขึ้น แต่กู้จวินก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ไหน เขาเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนจริงหรือไม่?
“ มันเป็นห้องเล็กมากและมีภาพวาดมากมาย…”
“ ภาพวาด? ใครวาดกัน? มีคนวาดภาพอยู่ในห้องหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคําถาม กู้จวินก็เห็นร่างที่พร่ามัวเข้ามาในสายตาของเขาอีกครั้ง เขาเล่าทันที “ มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ นั่งอยู่ที่พื้น เขาอาจจะอายุเพียงสองถึงสามขวบเท่านั้นและเขากําลังวาดอะไรบางอย่างบนกระดาษด้วยสีน้ำ”
“ เด็กน้อยคนนั้นคือใคร? เธอรู้จักเขาไหม?”
เขาดูเหมือนผม…” กู้จวินยังคงบรรยายถึงความทรงจําที่เขาเห็น “ ใช่!! นั่นคืดตัวผมเองและแม่ของผมก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เธอนั่งอยู่ข้างๆฉัน…”
เขาได้ยินเสียงอีกคนเรียกออกมา แต่ไม่ใช่พี่สาวเหลียง มันมาจากภายในความทรงจําเบื้องหน้านี้ แม่ของเขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ เสี่ยวจขึ้น สะกดคําว่าต้นไม้ได้ไหม? ไหนทําให้แม่ดูสิ”
แม่ของเขายื่นกระดาษให้เขาอีกแผ่น ในกระดาษมีรูปวาดต้นไม้อยู่บนนั้น
“ได้ครับ” เด็กชายพยักหน้าอย่างมีความสุข เขาหยิบกระดาษวางไว้ที่พื้น จากนั้นเขาก็ใช้พู่กันเขียนคําสะกดคําว่าต้นไม้คําลงบนแผ่นกระดาษ “ เสร็จแล้ว!”
เด็กชายทิ้งพู่กันและยกกระดาษขึ้นสูงเหนือศีรษะ เขาดูมีความสุขมาก
“ อ่า…” ดวงตาของกู้จวินเบิกโพลงด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและสับสน
มันเป็นภาษาต่างโลก!!
คําว่า “ต้นไม้” ที่เด็กชายเขียนเป็นภาษาต่างโลก!
กู้จวินจับหัวของเขาแน่น ภาพความทรงจําที่ไร้หัวใจยังคงปั่นป่วนไปมาต่อหน้าต่อตาของเขา
จากนั้นแม่ของเขาก็หยิบกระดาษขึ้นมาและถือไว้ในมือของเธอ เธอศึกษามันราวกับว่ามันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง และกู้จวินก็ได้เห็นความเร่าร้อนแปลก ๆ ในดวงตาของเธอ เธอตรวจดูสักพักแล้วส่งกระดาษอีกแผ่นให้เด็กชาย “ แล้วคํานี้ล่ะ? คําว่าหนอน ลูกคิดว่าต้องสะกดยังไง?”
“แบบนี้!” เด็กน้อยหยิบกระดาษมาวางที่พื้น เขาหยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มวาดอีกครั้ง มันยังคงเป็นภาษาต่างโลกเหมือนเดิม หนอนหรือปรสิตก็เขียนแบบเดียวกัน
ทันใดนั้นกู้จวินก็เห็นภาพที่ชัดเจน บนพื้นรอบ ๆ ของเด็กชายและแม่ของเขามีกองภาพวาดซ้อนกันอยู่ รอบๆ พวกเขาเต็มไปด้วยภาพวาดที่แตกต่างกันและทุกภาพมีอักขระอักษรภาษาต่างโลกที่เกี่ยวข้องเพื่อระบุตัวตนของสิ่งที่อยู่ในภาพ ความมืด, แอปเปิ้ล, เวลา, เหว, การงอก, ดวงอาทิตย์, มือ, กระดูก, ดาว, ความตาย, ท้องฟ้า, โลก …
ภาษาแปลก ๆ นั้นเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นเมื่อเขายังเด็ก!!