ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 111
ตอนที่ 111 บุตรแห่งเหล็กกล้า
พอลืมตากู้จวินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเวลาที่นาฬิกาปลุกบนหัวเตียง
“ อ้าว! บ่ายแล้วนี่ เวรแล้ว…งานเลี้ยงฉลองจบแล้วมั้ง!”
เขานวดขมับของตนเองคลายปวดหัว และเดินไปรอบๆ เพื่อทําความสะอาดห้องที่เขาเองนั่นแหละที่อาละวาดจนห้องฟัง สภาพห้องนอนของเขามันยิ่งกว่าดูไม่จืด ดังนั้นคงประมาณเย็นๆนั่นแหละถึงจะทําเสร็จ
ในขณะที่ทําความสะอาด เขาก็นึกถึงคําศัพท์มากมายของภาษาต่างโลกที่เขาเพิ่งได้รับมาจากความทรงจําบางส่วนนั้นไปด้วย และคราวนี้เขาได้รับคําศัพท์ใหม่มามากกว่าหนึ่งร้อยคํา เมื่อรวมกับสิ่งที่เขารู้แล้ว เขาก็มีคําศัพท์ใหม่ประมาณห้าร้อยถึงหกร้อยคําเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อความทรงจํากลับคืนมา ทําให้เขาได้รู้จักกับภาษานี้มากขึ้น และมันเป็นเช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ คําศัพท์เหล่านี้บางคํามีหลายความหมาย ตัวอย่างเช่น แอปเปิ้ลและผลไม้ เขียนในลักษณะเดียวกัน และความมืดก็หมายถึงกลางคืนเและเหวลึกยังมีความหมายเดียวกันกับทะเลด้วย
“อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว! ฉันเข้าใจประโยคที่น่ากลัวคราวนั้นแล้ว ฮ่า ๆ” กู้จวินหัวเราะอย่างสะใจ จากนั้นเขาก็ท่องประโยคนั้นอีกรอบหนึ่ง “ ผลไม้แห่งราตรีจะงอกงามและปกคลุมไปทั่วนภาอันมืดมิด ปรสิตแห่งความตายจะอยู่กับสวรรค์และโลกนิจนิรันดร์”
และประโยคนี้ก็ทําให้กู้จวินเริ่มครุ่นคิดและคาดเดาอีกครั้งหนึ่ง “ นี่คือเหตุผลเบื้องหลังการเดินทางไปทะเลของแม่กับพ่อใช่ไหม? พวกเขาตามหาผลแห่งความมืด?”
“หนอนและปรสิต! ถ้าจําไม่ผิดมันก็เขียนเหมือนกัน นอกจากนี้ คํานี้ยังมีความหมายอื่นด้วย เช่นแปลว่า “ผู้รับใช้” ” กู้จวินพึมพําเบาๆ ในขณะที่หยิบขยะโยนลงถัง เสียดายที่ขยะนั่นดันไปกระแทกกับขอบถังและกระเด็นลงพื้นเหมือนเดิม
ในตอนนั้นเองความคิดแปลกก็ปรากฏในสมองของกู้จวิน “ความตายที่แปลกประหลาดยังมีความหมายแอบแฝงของการขึ้นสู่สวรรค์…. ผู้รับใช้ที่ขึ้นสู่สวรรค์จะอยู่ร่วมกับสวรรค์และโลกตลอดไป”
กู้จวินรู้สึกปั่นป่วนกับคําพูดนี้ในจิตใจ และเขารู้สึกหนาวสั่นไปทั่วในร่างกายทั้งหมด เขานึกถึงคําพูดที่น่าสงสัยของผู้ชายคนนั้น “ ความตาย? ไม่! เธอไม่เข้าใจ”
“ การตายทางร่างกาย” เป็นวาสนาชนิดหนึ่ง?
“ อ๊ะ! มันฟังไม่สมเหตุสมผลเลย”
กู้จวินส่ายหัวและเปิดอินเทอร์เฟซของระบบในใจ เขาวางแผนที่จะดูพิมพ์เขียวที่ขาดรุ่งริ่งแผ่นนั้น และสมุดบันทึกทั้งสามหน้าอีกครั้งหนึ่งเพราะวันนี้ไม่เหมือนวันวาน เขาไม่ใช่ไอ้โง่ที่อ่านไม่ออกอีก
เขาเปิดพิมพ์เขียวและศึกษาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ตอนนี้เขาเข้าใจข้อความของโครงสร้างบนหน้าอกของสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักแล้ว! หน้าอก กล้ามเนื้อ กระดูกเส้นประสาท น้ําเหลือง คําแปลก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเขาถูกต้อง
กู้จวินอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น จากนั้นเขาก็หันไปหาโน้ตหวัดๆที่อยู่ด้านล่างพิมพ์เขียว และค่อยๆอ่านมันด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ความลับกําลังจะถูกเปิดเผยแล้ว!!
“ มีสัตว์ประหลาดอยู่ตรงหน้าของฉัน ฉันได้กลิ่นของมัน ท้องของฉันมันกระตุก ฉันรู้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ได้ครอบงําเมืองของเรา และนํามาซึ่งความพินาศเท่านั้น ผู้คนมักพูดเสมอว่า ถ้าอารยธรรมของเราถูกยึดครองโดยการสร้างสรรค์ที่ชั่วร้ายเหล่านี้ นั่นเป็นสิ่งที่น่าสังเวชที่สุด …. เพราะนั่นหมายความว่าไม่มีพระเจ้า ไม่สิ! หรือบางทีมันอาจจะไม่เคยมีพระเจ้ามาตั้งแต่แรก และเป็นปีศาจเหล่านี้ต่างหากที่เดินอยู่ท่ามกลางพวกเรามาโดยตลอด”
“ ฉันเชื่อเสมอว่า เชื่อว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่ใช่อย่างที่เราคิดสัตว์ร้าย ฉันได้สื่อสารกับสัตว์ประหลาดตัวนี้หลายครั้ง ความเฉลียวฉลาดที่มันแสดงออกมาทําให้ฉันเห็นว่ามันสามารถทัดเทียมกับตัวฉันเองได้ และถ้ามันสามารถขจัดอคติที่มีต่อฉันออกไปได้ บางทีเราอาจมีความคิดที่ลึกซึ้งกับมันกว่านี้
“ฉันได้ทําการชันสูตรพลิกศพของมันและตระหนักว่า … โครงสร้างร่างกายของมันก้าวหน้าแค่ไหน รู้หรือเปล่าว่าความน่าเกลียดและความงามถูกกําหนดโดยตัวเรา ในทํานองเดียวกัน ฉันเชื่อว่าเราน่าเกลียดในสายตาของพวกเขาเหมือนกับที่พวกเรามองพวกเขานั้นแหละ แต่เพื่อความยุติธรรม!! จะไม่เข้าข้างมนุษย์และบอกความจริง ร่างกายของพวกเขามีอะไรมากกว่านั้น ฉันโกหกตัวเองไม่ได้ คนอื่นเรียกฉันว่า “บุตรแห่งเหล็กกล้า” แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่าการต่อต้านของเรามีความหมายหรือไม่ สิ่งที่กล่าวถูกต้องหรือไม่กันนะ?”
“ พวกเขาดีกว่าเรา?
“ พวกเขาดีกว่าเรา?
“ พวกเขาดีกว่าเรา?
“ พวกเขาดีกว่าเรา?”
กู้จวินสามารถเข้าใจข้อความนี้ได้ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ และส่วนที่เขามองเห็นแต่ไม่รู้จัก เขาก็สามารถเดาความหมายขอมันได้ และยิ่งเขาศึกษามันมากเท่าไหร่ ภาพของห้องทดลองใต้ดินในความคิดของเขาก็ชัดเจนขึ้น จนกระทั่งมาถึงจุดที่เขาสามารถได้ยินเสียงพิมพ์ที่หายไปและวิตกกังวลของชายที่เขียนบันทึก …
“ ดูเหมือนพิมพ์เขียวแผ่นนี้ไม่ใช่ของโลกนี้แน่นอน” กู้จวินบ่นพึมพํากับตัวเอง เขาหยิบขยะชิ้นนั้นที่ไร้ค่าขึ้นมาแล้วโยนลงในถังขยะอย่างแม่นยํา “ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ในยุคปัจจุบันนี้”
แค่อ่านก็รู้ได้เลยว่าการทําลายล้างเผ่าพันธุ์กําลังจะเริ่มขึ้น และชายคนนี้ก็มีลางสังหรณ์ที่ถูกต้อง เท่าที่กู้จวินอ่าน กู้จวินรู้ได้เลยว่าอารยธรรมและเผ่าพันธุ์ของชายคนนี้น่าจะสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวบุกเข้ามาทําลาย และมนุษย์ก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้และได้แต่คุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้ และเป็นไปได้ว่าเผ่าพันธุ์อาจจะสูญสิ้น และเท่าที่ดูจากการเขียนและความรีบร้อน อาจเป็นไปได้ว่าสัตว์ประหลาดพวกนี้น่าจะมีจํานวนมาก มีจํานวนมหาศาลและทรงพลัง แต่อย่างไรก็ดีอาจจะมีตัวหนึ่งที่อ่อนแอ และถูกชายคนนี้จับเอาไว้ได้ และเขาก็นํามันมาผ่าตัดเพื่อศึกษาเป็นการส่วนตัว
“ ห้องทดลองใต้ดินยังคงใช้ตะเกียงน้ํามันอยู่อีกเหรอเนี่ย? และกระดาษเองก็เป็นกระดาษหนังแกะเสียด้วยระดับเทคโนโลยีของโลกในบันทึกนี้น่าจะใกล้ยุคหลังอุตสาหกรรมของยุโรปใช่หรือไม่? แม้ว่าร่างกายของมนุษย์เผ่าโฮโมซาเบียนจะไม่แข็งแกร่งเท่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ แต่ด้วยระดับเทคโนโลยีที่สูงในปัจจุบันของโลกของเรา โดยเฉพาะองค์กรเฟคต้าก็ยังมีโอกาสที่จะกําจัดพวกมันได้”
กู้จวินเริ่มครุ่นคิดถึงวิธีการตอบโต้พวกมัน เขาจําได้ว่าปืน “ตลิ่ง” สามารถบรรจุและยิงกระสุนได้มากกว่าหนึ่งพันนัดต่อนาที กระดูกเปราะๆของสัว์ประหลาดเหล่านี้จะแข็งแรงพอที่จะต้านทานการโจมตีแบบนั้นได้ยังไง แต่แล้วเขาก็นึกถึงโรคต้นไทรที่ผิดปกติ หากเป็นโรคนั้นก็ลืมไปเถอะเรื่องที่จะถือปืน! แค่ขยับหรือพูด…แม้แต่คงสติเอาไว้มันก็ยากเกินที่จะทํา
แม้แต่ปืนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังต้องการคนที่จะใช้มันอย่างน้อยคนก็ต้องมาเปิดเครื่อง! หากมีการแพร่ระบาดของโรคนี้เกรงว่ามันจะน่ากลัวยิ่งกว่าการรุกรานของสัตว์ประหลาดน่ะสิ
กู้จวินมองผ่านพิมพ์เขียวในจิตใจหลายครั้งก่อนที่จะนํามันออกไปเก็บ จากนั้นเขาก็เปิดดูไดอารี่สามหน้าต่อ ในขณะที่เขาศึกษาเรื่องนี้ เขาก็พึมพําภายในใจและเติมคําที่ทําให้เขาเดาไม่ออกจนสมบูรณ์
[ปีแห่งดอกกุหลาบที่ 21 เดือน ตุลาคม [เรย์บันดี้ เพตตร้า]]
“ วันนี้ฝนตกอย่างหนัก ผู้คนกล่าวกันว่าปีแห่งดอกกุหลาบนั้นน้ําจะเหือดแห้งและแล้งกว่า ที่ควรจะเป็น แต่เมื่อเร็วๆนี้ สิ่งต่างๆได้รับความเสียหายจากน้ําท่วมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนี้เป็นสิ่งที่เรากังวลน้อยที่สุด นั่นก็เพราะเกิดโรคระบาดขึ้นอีกระลอก! โรคปริศนาที่ทําให้ไอเป็นเลือดได้แพร่กระจายอีกครั้งจากเมืองบูเลนถึงเมืองเอลลี่และมันก็หลุดออกจากการควบคุมของโรคโดยสิ้นเชิง…โรคนี้ได้พัฒนาและกระจายเร็วมาก อีกทั้งโรคนี้เหมือนจะพัฒนาตนเองได้! กรณีแรกที่บันทึกไว้ได้ปรากฏในเมืองซาร์ของเราเช่นกัน ข่าวนี้ทําให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ฉันควรจะตอบสนองการข่าวนั่นหรอก ฉันสําเร็จการศึกษาจากสถาบันการแพทย์ที่สูงสุดแห่งราชอาณาจักรคาร์ลอต ฉันได้ศึกษาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เป็นที่รู้จักในเวลานี้ทั้งหมดและเข้าใจทฤษฎีต่างๆที่อยู่เบื้องหลังการทํางานของร่างกายมนุษย์จนหมดสิ้น ใช่ ฉันรู้เยอะมาก และเข้าใจทุกอย่างราวกับว่าฉันจะจมน้ําทะเลแห่งความรู้ตายก่อนที่ฉันจะเผชิญกับโรคเสียอีก…
“ผู้คนมักตั้งความหวังไว้สูงลิบลิ่วเช่นนี้กับนักเรียนของสถาบันคาร์ลอต พวกเขาเชื่อว่าพวกเราเป็นทูตที่เทพธิดาส่งมายังโลกใบนี้ เพราะพวกเรารู้เกี่ยวกับความจริงของชีวิตและใช้ความฉลาดของเราเพื่อนําความสว่างมาสู่โลกที่โง่เขลานี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากสถาบันและได้รับความไว้วางใจจากผู้คนอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่ตอนนี้หลังจากเมืองบูเลนและเมืองเอลลี่ ซึ่งเป็นเมืองที่พลุกพล่านที่สุดทั้งสองแห่งของราชอาณาจักรได้กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งหมดก็แตกตื่นขึ้น และเราก็แตกตื่นด้วยเช่นกัน นักเรียนของสถาบันคาร์ลอตไม่ใช่ทูตของเทพธิดาอะไรทั้งนั้น! พวกเราเป็นแค่ของเล่นชั้นต่ําที่แทบไม่สมควรได้รับความสนใจจากสัตว์ประหลาดที่มาบุกเมืองเลย”
“ นั่นคือความจริงหรือ? ฉันหวังว่าฉันจะรักษาความเชื่อมั่นไว้ได้นานเท่าที่จะทําได้ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ในระหว่างการศึกษา…แต่ฉันก็ไม่ได้เรียนดีเท่าไหร่ ในกลุ่มชั้นปีของเรา นักเรียนที่ดีที่สุดไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก [แลนดอน เฟรด] เขามักจะได้รับคําชมมากที่สุดและเป็นที่รักของทุกคน แลนดอนมีพรสวรรค์ในด้านการชันสูตรพลิกศพ แม้ในชั้นเรียนชันสูตรครั้งแรกมือของเขาจะสั่นราวลูกหมาตกน้ํา แต่สําหรับแลนดอนแล้ว มีดผ่าตัดเป็นเหมือนส่วนขยายของนิ้วเขา เนื่องจากความตั้งใจแน่วแน่ของเขาและเนื่องจากมีดผ่าตัดทําจากเหล็ก ฉันจึงเรียกเขาว่า “บุตรแห่งเหล็กกล้า” เหตุการณ์นั้นทําให้ทุกคนมอบ “ชื่อเล่น” และฉายานี้ให้แก่เขาอย่างเคารพนับถือ