ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 125
ตอนที่ 125 เด็กทดลอง
“ ในระหว่างปฏิบัติการนี้ คนที่ได้รับมอบหมายให้ทําภารกิจนั้นมีถึง 500 คน และทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญ ทว่าท้ายที่สุด! มีเพียงห้าสิบหกคนที่ถูกส่งไปยังกรมการแพทย์และมีเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ส่วนสมาชิกอีก 444 คนเสียชีวิตทันที”
เมื่อหวังเค่อพูดว่า “444”
เขาหายใจติดขัดเพราะนี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแท้จริง และเนื่องจากความจําเพาะของตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้น…มันทําให้เขาอดคิดไม่ได้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่เกินคาด เลขที่เรียงกันนั้นช่างหายากอย่างแท้จริง เขาคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญและมันเป็นความตั้งใจของอีกฝ่ายแต่ว่าฝ่ายตรวจสอบของทางหน่วยสืบสวนไม่ได้คิดแบบเดียวกับเขา
“ พวกเขากําลังจะแทรกซึมเข้าไปในฐานขององค์กรลับที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับโรคต้นไทรมนุษย์ที่ผิดรูปแบบ แต่พวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยกลุ่มหนอนยักษ์ใต้ดินที่นั่น หมอกู้ คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้” หวังเค่อกล่าวอย่างจริงจังจากนั้นก็พูดต่อ “ ศัตรูของเราคล้ายกับไม่มีอันตราย พวกเขาอาจไม่มีปืนใหญ่ อาวุธหนัก แต่พวกเขามีวิธีการอื่นที่จะทําร้ายเราได้”
กู้จวินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ เขาพิจารณาความเป็นไปได้นี้มาก่อนแล้วว่ากลุ่มคนในชุดดําและแดงเป็นเพียงกลุ่มคนบูชาลัทธิที่ไม่เป็นอันตรายต่อใคร…แต่ก็ไม่แน่
เพราะตอนแรกกู้จวินเพียงแค่เห็นภาพในนิมิตและพวกเขาก็ไม่ได้ทําอะไรนอกจากคุกเข่ากราบไหว้… ดังนั้นเขาจึงตีความไปว่าพวกเขาไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น เพราะยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพวกเขานั้นเป็นอันตรายต่อมวลมนุษย์
แต่ตอนนี้มันได้ปรากฏขึ้นแล้ว มนุษย์ 444 คน ถูกพรากชีวิตไปอย่างโหดเหี้ยม
“ วิธีการแบบไหน? คุณพอจะบอกฉันเพิ่มได้ไหม” กู้จวินถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ดูเหมือนลัทธิแห่งความตายจะเริ่มด้านร้ายที่น่ากลัวเช่นกัน “พวกเขาคงไม่ใช้ใช้สิ่งที่เรียกว่า “พลังงานที่ผิดปกติ” หรือ “สิ่งเหนือธรรมชาติ” ใช่ไหมครับ??”
อย่างไรก็ดีคําพูดของกู้จวินถูกละเลยอย่างสิ้นเชิง หวังเค่อไม่แม้แต่จะตอบคําถามของเขาด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้ามหวังเค่อกลับจ้องหน้าของกู้จวินและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ หมอกู้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องแบ่งปัน…” หวังเค่อตัดบทเขาอย่างแรงโดยไม่สนใจมารยาทสักนิด จากนั้นเขาก็พูดต่อ..น้ำเสียงของเขาเริ่มบีบครั้นขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาต้องการข่มขู่กู้จวินหรือเพราะเขาเสียใจกับการตายของเพื่อนร่วมงานกันแน่
“หมอกู้ คุณควรรู้ว่าความซื่อสัตย์มันเป็นสมบัติของมนุษย์และมันเป็นเรื่องดีที่จะมีมัน… คุณก็รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดจากโรคต้นไทรมนุษย์นั้นมันเกี่ยวข้องกับคนมากมายมหาศาลเกินไป และมีผู้เคราะห์ร้ายที่เกิดจากมันเป็นจํานวนมาก มันเป็นภัยที่รัฐบาลไม่อาจจะมองข้ามได้อีกต่อไป และองค์กรของรัฐบาลอย่างเฟคต้าก็จะไม่ยอมทิ้งเบาะแสแม้เพียงเล็กน้อย ขอเพียงแค่มีความสว่างแม้จะสาดส่องมาจากที่ห่างไกล พวกเราก็จะไปค้นหามันในทันที และพวกเราจะทําทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ฉันขอแนะนําอย่างจริงใจว่า คุณควรเปิดเผยทุกอย่างที่คุณรู้ ไม่อย่างนั้น ฉันหวังว่า..ฉันจะไม่พบคุณที่กําลังตกอยู่ในสภาพเลวร้ายแล้วต้องใช้ทุกอย่างเพื่อมาขอประนีประนอม”
กู้จวินหัวเราะตัวเองด้วยความหงุดหงิด เขาหลงคิดว่าเขาระมัดระวังมามากพอแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังต้องเผชิญสถานการณ์นี้อีก! แย่จริงๆ วันคืนในหอพักที่มหาวิทยาลัยช่างไร้ค่าและว่างเปล่า
“ ได้! ฉันจะซื่อสัตย์” กู้จวินมองไปที่กลุ่มสืบสวนและเริ่มอธิบาย
“ ฉันเพิ่งนึกถึงความทรงจําบางส่วนในวัยเด็กของฉันได้ ไล่เฉิงนั้นเป็นองค์กรที่พ่อแม่ของฉันเป็นสมาชิกและพวกเขาก็ใช้ฉันเป็นตัวทดลอง ฉันและเด็กคนอื่น ๆ เข้าร่วมการทดลองด้วยกันต่อมาพวกเขาให้ฉันเขียนป้ายกํากับรูปภาพ..ฉันจําได้ว่าฉันต้องเขียนคําบางคําลงไป และมีครั้งหนึ่งที่พวกเขาวางฉันไว้ในโพรงต้นไม้ของต้นไทร จากนั้นพวกเขาก็อธิษฐานต่อหน้าฉัน ฉันไม่รู้ว่าพวกเขากําลังทําอะไรอยู่ และก็อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นในภายหลังมันเลยทําให้ฉันถูกทอดทิ้ง สิ่งต่อไปที่ฉันรู้ก็คือ….พ่อแม่ของฉันเสียชีวิตในทะเลและฉันก็กลายเป็นเด็กกําพร้า แต่หลายปีมานี้ฉันเชื่อว่าคนเหล่านี้เฝ้ามองฉันจากความมืดมิดในทุกๆค่ำคืน”
กู้จวินกําลังพูดความจริงแม้ว่าจะมีการละเว้นความลับเล็กน้อย ท้ายที่สุดกู้จวินก็ต้องคํานึงถึงความปลอดภัยของตัวเองมาก่อน…ใครจะรู้ว่าคนพวกนี้จะฆ่าเขาหมกป่าหรือไม่!? จากนั้นทั้งหวังเค่อและผู้ตรวจสอบต่างก็จ้องไปที่กู้จวินอย่างใกล้ชิดโดยไม่ปล่อยให้การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาหลุดออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นเด็ดขาดเพราะอย่างน้อยการสังเกตทางจิตวิทยามันก็มีผล
“ หมอกู้ไม่ว่าคุณจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังหรือไม่ ฉันจะไม่โทษคุณ” หวังเค่อไม่ได้กดดัน เขาเพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมอีกต่อไป การกดดันมากไปนํามาซึ่งอะไรพวกเขาล้วนรู้ดี
“ ความทรงจําของคุณตรงกับข้อมูลที่เรารวบรวมมาจนถึงตอนนี้ บริษัทไล่เฉิงถูกระบุว่าเป็น “องค์กรชั่วร้าย” โดยฝ่ายสืบสวนของเฟคต้าแล้ว และฝ่ายสืบสวนได้ค้นพบข้อมูลว่าองค์กรนี้สามารถสืบย้อนไปถึงยุคอาณานิคมได้ นับว่าเป็นองค์กรที่มีประวัติมายาวนาน พวกเขามักจะหลบซ่อน…ทําตัวธรรมดาและไม่เตะตาใครในสังคม แม้กระทั่งสมาชิก พวกเขาก็ไม่รับคนนอก ในความเป็นจริงเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเลือกสมาชิกอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือพวกเขามักจะรับสมัครสมาชิกรุ่นต่อไปจากบรรดาลูกหลานของสมาชิกที่พวกเขาที่มีอยู่ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศนี้จนถึงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา องค์กรนี้ไม่ได้ทําอะไรที่เป็นอันตรายต่อสาธารณะ ในความเป็นจริงกิจกรรมอย่างเป็นทางการทั้งหมดที่จดทะเบียนภายใต้ชื่อบริษัทไล่เฉิงนั้นเปิดกว้างและถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปิดบังตัวตนจากรัฐบาลได้….และไม่ถูกสงสัยแต่ประการใด”
หวังเค่อส่งรูปถ่ายให้กู้จวินดูแล้วพูดต่อ “ แต่จากการตรวจสอบล่าสุดของเรา บริษัทไล่เฉิงนั้นอยู่เบื้องหลังกิจกรรมที่ผิดกฎหมายมากมาย และพ่อแม่ของคุณถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นสมาชิกหลักของลัทธิ เกี่ยวกับเหตุผลที่พวกเขาไปศึกษาในมหาสมุทรและสิ่งที่เกิดขึ้นที่ลองกาน พวกเรายังคงตรวจสอบอยู่”
กู้จวินดูภาพถ่ายที่หวังเค่อส่งมาให้ มันเป็นภาพพ่อแม่ของเขาและนกนางนวลบนท้องทะเล เขาไม่เคยเห็นรูปนี้มามาก่อน แต่ใบหน้าของพ่อแม่อันเป็นที่รักทั้งสองยังคงคุ้นเคยเหมือนเดิม
“นี่คือภาพพ่อแม่…”
ทันทีที่ได้เห็นรูป กู้จวินก็นึกถึงพ่อแม่ที่อยู่ในความทรงจํา ใบหน้าของพวกเขายังเหมือนวันวานไม่เคยเปลี่ยน แม้จะค่อนข้างเลือนลางไปบ้างแต่เมื่อเขาได้เห็นหน้าของพ่อแม่ในรูปถ่ายที่หัวหน้าหวังเค่อส่งมาให้เขาอีกครั้ง ความทรงจําที่เกี่ยวกับใบหน้าของแม่และใบหน้าของพ่อก็ค่อยๆผุดขึ้นมาในความทรงจําส่วนลึก..
มันทําให้เขาสงสัยเกี่ยวกับการหายตัวไปของพ่อและแม่มากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่าความสงสัย เขารู้สึกคิดถึงพวกท่านสองคนเหลือเกิน อีกทั้งกู้จวินแอบมีความปรารถนาเล็กๆและหวังว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายของลัทธิไล่เฉิงหรือว่าลัทธิแห่งความตาย ถ้าเป็นแบบนั้นจริง… มันก็อาจจะดีที่สุด
“ หมอกู้ คุณไม่ใช่ “เด็กทดลอง” คนเดียวที่บริษัทไล่เฉิงนําไปทดลองและพวกเราพบเด็กคนอื่นด้วย” เมื่อได้ยินหัวหน้าหวังพูดอย่างนั้น หัวใจของกู้จวินก็สะดุ้งทันทีและดวงตาของเขาแทบหลุดออกจากเบ้าตา นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริงๆ ทีมสืบสวนได้พบเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในการทดลองกับเขา?
“ เป็นเพราะความร่วมมือจากเด็กทดลองอีกคน…ทําให้เราพบกับความก้าวหน้าในการสืบสวนและสอบสวนรวมทั้งเจอฐานที่ตั้งของลัทธิแปลกประหลาดในปาด้วย แท้จริงแล้วองค์กรที่ฝ่ายปฏิบัติการกําลังดําเนินการค้นหาและสืบสวนอยู่ก็คือ บริษัทไล่เฉิง ที่นั่น…แผนกปฏิบัติการพบว่ามีงานเขียนบางอย่างที่คล้ายกับสิ่งที่คุณเขียน แต่เด็กทดลองคนอื่นๆ ที่อยู่กับเราไม่สามารถเข้าใจได้เลย อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขาเป็นแค่เด็กทดลองระดับต่ำที่ไม่ได้เข้าร่วมการทดลองระดับสูง พวกเขาไม่รู้เนื้อหาการทดลองที่คุณเคยกล่าวถึง หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโพรงต้นไทร พวกเขาก็ไม่รับรู้… ดังนั้นแล้วหมอกู้ พวกเรามีเหตุผลที่จะเชื่อว่าคุณก็คือเด็กทดลองที่มีแนวโน้มที่จะประสบความสําเร็จในการทดลองของไล่เฉิงมากที่สุด”
หวังเค่อตัดสินใจปล่อยไฟเด็ดอีกใบหนึ่งให้แก่กู้จวิน…เขารู้ว่าการใช้ใจแลกใจ การใช้ข้อมูลแลกข้อมูลเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้
อย่างแรกคนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาไม่ใช่อาชญากรตัวยง แต่เขาคือผู้นําทางที่จะพาเฟคต้าทั้งหมดไปสู่จุดหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะเปิดเผยเรื่องบางอย่างให้แก่คนๆ นี้เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่รู้สึกถึงความชั่วร้ายที่ออกมาจากชายคนนี้เลย
หวังเค่อมอบรูปถ่ายอีกสองสามภาพจากโต๊ะใกล้ ๆ ก่อนส่งมอบให้กู้จวิน นอกจากนี้เขายังกล่าวเสริมต่อเหมือนกับกลัวว่ากู้จวินจะได้ข้อมูลไม่คุ้ม
“ หมอกู้…. ตอนนี้ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป กาลเวลาก็ได้ผันเปลี่ยน บริษัทไล่เฉิงในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากบริษัทไล่เฉิงในอดีตที่อยู่ในความทรงจําของคุณมากมาย ดังนั้นแล้วพวกเราเชื่อว่าบางทีเขาอาจจะได้รับพลังหรือวิธีการบางอย่างที่จะสามารถทําการผลิตโรคต้นไทรมนุษย์ออกมาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญถึงความมั่นคงของมนุษยชาติ ดังนั้นหากคุณสามารถเข้าใจคําศัพท์ในสามภาพนี้โปรดบอกเราอย่างตรงไปตรงมาเถอะ”
หวังเค่อส่งภาพถ่ายทั้งสามใบให้กู้จวินด้วยแววตาที่จริงจัง ในขณะที่ถังซีหยินและคนที่เหลือมองเขาอย่างเงียบ ๆ
“ อืม…” กู้จวินรับภาพถ่ายทั้งสามรูปมาด้วยความสับสนและสงสัย ในภาพนิมิตก่อนหน้านี้บุคคลในชุดสีแดงกล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าใจภาษาจากโลกเก่าได้อีกต่อไป แต่มันเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน…และสาหรับตอนนี้กู้จวินก็ไม่รู้แล้ว
แล้วรูปถ่ายคําต่างโลกเหล่านี้มาจากไหนกัน? พวกเขาจดไว้หรือไม่?
เขายอมรับภาพและมองไปที่ภาพที่อยู่ด้านบนก่อน มันคืออักษรแปลกๆ ที่เปื้อนเลือดเขียนและถูกเขียนอยู่บนต้นไทรขนาดใหญ่
“ ครั้งหนึ่งเราได้มอบความเชื่อและศรัทธาให้แก่เทพเจ้าองค์หนึ่ง เราซื่อสัตย์และรับใช้ต่อเขาด้วยความภักดี แต่นับจากนี้เราจะไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าของจริงหน้าไหนหรือว่าตัวตลกตัวใด และมันก็รวมถึงท่านด้วย บุตรแห่งความโชคร้าย” ”