ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 129
ตอนที่ 129 โพรงต้นไทร
หมู่บ้านกู่หรงนั้นเคยมีประชากรประมาณหนึ่งพันคน โดยบ้านทรงต่ำและบ้านที่คล้ายบังกะโลกที่สร้างขึ้นใหม่เหล่านี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านมาก่อนและมันก็เคยเป็นโฮมสเตย์ที่ได้รับการตกแต่งอย่างดีโดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมอยู่บ่อยครั้ง ทําให้แท้จริงแล้วหมู่บ้านนี้ก็คึกคักระดับหนึ่ง
นอกจากบ้านแล้วบรรยากาศสังคมในหมู่บ้านก็ดีเช่นกัน ยามเย็นๆแดดร่มลมตกก็มีชายชรานั่งคุยกันใต้ต้นไทร ในขณะเด็ก ๆ และสุนัขวิ่งเล่นริมฝั่งแม่น้ำ เสียงหัวเราะของชาวชนบทดังขึ้นอย่างสนุกสนานและเต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้มีเพียงความเงียบเหงาเท่านั้น! บรรยากาศของหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเงียบที่แสนจะน่ากลัว เพียงแค่อาศัยหรือมองหมู่บ้านนี้ บางคนก็สามารถรับรู้ได้ถึงลางไม่ดีแล้ว
ปัจจุบันรอบๆ นี้ไม่มีร่องรอยของชาวบ้าน ไม่มีแม้แต่แมวหรือสุนัข แม้แต่หนูซกปรกที่เคยเดินตามปกติแถวๆ ตามตรอกซอกซอยเล็ก ๆ พวกมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านร้างอย่างแท้จริง!
แต่ตอนนี้หมู่บ้านกู้หรงคือ สถานที่พักตั้งค่ายของหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ของเฟคต้าไปแล้ว…แม้จะเป็นเพียงที่ตั้งของหน่วยย่อยก็ตาม ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงอย่างดี อีกทั้งป้อมยามเดิมที่เคยเอาไว้ให้ชาวบ้านสังเกตุการณ์ แต่ตอนนี้มันได้พังไป ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ป้อมยามที่สร้างขึ้นใหม่โดยจัดให้มีทหารรักษาการณ์อยู่ที่นั่น
และวันนี้ลางไม่ดีเอาเสียเลย…จู่ๆ ท้องฟ้าก็ดูมืดมิด คล้ายกับว่าวันนี้จะเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและเมื่อมองขึ้นฟ้าจากนั้นก็มองรอบๆ พวกเขาก็พบว่าสายลมจากภูเขาได้พัดพาเอาเสาไฟฟ้าที่แข็งแรงข้างถนนแกว่งไปมาอย่างอันตราย
กู้จวินมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขาก็เห็นกองทหารผ่านอาคารของรัฐบาลที่ดูโอ่อ่า แม้มันจะโอ่อ่าแต่มันก็ทรุดโทรมลงมากจากเดิมเช่นกัน นั่นคือที่อยู่ของคณะกรรมการจัดการวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของหมู่บ้านกู่หรง ครั้งหนึ่งเขาเคยโทรศัพท์มาที่สถานที่แห่งนี้
“ หมู่บ้านกู่หรงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีบันทึกผู้ป่วยโรคมนุษย์ต้นไทรผิดปกติรายแรกของประเทศ” ลุงต้านเล่าให้กู้จวินฟังทันทีและพูดอธิบายต่อ “ ยังไม่ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งที่มาหรือไม่ แต่บันทึกการระบาดที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไปที่นี่ ดังนั้นอย่างน้อยเบาะแสก็ต้องมีบ้าง”
“ อืม…” กู้จวินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
ถ้าพวกเขามาเร็วกว่านี้บางทีชาวบ้านอาจได้รับการช่วยเหลือจากกรมการแพทย์แล้ว ช่างน่าเศร้าจริงๆ แต่มันก็ผ่านไปแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงมันอีก
และตอนนี้พวกเขายังคงอยู่ห่างจากต้นไทรต้นนั้นไปไม่ไกลนัก จากนั้นรถก็จอดที่บริเวณที่ปลอดโปร่งริมแม่น้ำ
ค่ายทหารที่ได้มาตรฐานได้ถูกสร้างขึ้นที่นั่น ค่ายทหารเหล่านี้อยู่ติดกับบ้านของพลเรือนหลายหลังซึ่งบัดนี้มันเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว
เจ้าหน้าที่ของเฟคต้าหลายคนกําลังพลุกพล่านอยู่ข้างใน หลังจากหน่วยนักล่าอสูรและกู้จวินลงจากรถ พวกเขาก็ได้พบกับสมาชิกของกลุ่มสืบสวนพลังงานที่ผิดปกติซึ่งประจําการอยู่ที่นั่นทันที
กู้จวินยืนอยู่ด้านข้างและสังเกตไปรอบๆ หมู่บ้านทันทีและเขาก็เห็นต้นไทรต้นใหญ่ เขาจําได้ว่าต้นไทรก่อนหน้านั้นนั้นแตกต่างจากต้นไทรในตอนนี้อย่างมาห มันสูญเสียความเขียวชอุ่มไปแล้ว กิ่งก้านที่บิดเบี้ยวและใบที่ตายแล้วกลายเป็นสีดําอมเทารอวันร่วงโรย และเขดูเหมือนว่ามันจะตายไประยะหนึ่งแล้ว เขาสังเกตเห็นว่ามีโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เกิดจากการผุพังที่ด้านล่างของลําต้นหลัก ข้างในมืดมาก แต่กู้จวินสาบานได้ว่าเขาเห็นแสงไฟบางอย่างมาจากด้านล่างนั้น
“ ลุงต้านครับ ต้นไม้ต้นนั้นยังติดโรคอยู่ไหม?” กู้จวินมองไปที่ต้นไทรต้นนั้นและจู่ๆ กระดูกของเขาก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา
เขาจําได้ว่าวิธีการหนึ่งในการแพร่กระจายของโรคมนุษย์ต้นไทรที่ผิดปกติก็คือการสัมผัสโดยตรงกับต้นไม้ที่ติดเชื้อ แต่ก็ยังคงเป็นปริศนาว่าทั้งหมู่บ้านติดเชื้อได้อย่างไร..
“ ใช่ แต่สําหรับตอนนี้เรายังไม่สามารถเผาผลาญสิ่งทั้งหมดลงได้ ภายหลังหัวหน้าเสวี่ยจะอธิบายเพิ่มเติมให้คุณทราบเอง” ลุงต้านพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง
กู้จวินไม่สามารถพูดได้ว่าจริงๆแล้วเขาก็ชอบที่ลุงต้านชอบพูดปริศนา
หลังจากนั้นไม่นานเสวี่ยป้าที่คุยกับสมาชิกกลุ่มการสืบสวนพลังงานผิดปกติก็เข้ามาหากู้จวินที่ยืนเอ๋ออําอยู่กลางดงอีกครั้ง “ อาจขึ้น คุณเคยได้ยินชื่อสถานที่ท่องเที่ยว “ถ้ำฝ่ามือ” ไหม?”
กู้จวินเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนในวารสารการท่องเที่ยว แต่เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขาคุ้นเคยกับสถานที่สําคัญแบบนี้…เอาจริงๆ เขาไม่เคยไป “ ไม่ครับ…” เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย…ไม่รู้ซะบ้างก็ดี
“ พูดง่ายๆก็คือ มันคือถ้ำที่มีรอยมือวาดอยู่ภายในหุบเขาในอาร์เจนตินา และมันถูกสงสัยว่าจะเป็นผลงานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์และภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สุดคือภาพวาดมือของถ้ำนี้นั่นแหละ”
เสวี่ยป้าพูดเหมือนครูกําลังสอนเด็กชั้นเรียน อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ของเขาไม่ตรงกับครูแม้แต่น้อย! เมื่อเห็นกู้จวินขมวดคิ้วเล็กน้อย เสวี่ยป้าก็พูดอย่างเร่งด่วนเพื่ออธิบายในทันที
“ มันเป็นเรื่องจริง! ฉันกําลังบอกความจริงกับคุณ! ไม่เชื่อก็ค้นหาข้อมูลออนไลน์และตรวจสอบว่าจริงไหม!? ได้เลย…แต่คุณจะพบว่าคุณควรเชื่อฉันแต่แรก”
ลุงต้านขยิบตาและทําหน้าที่พี่เลี้ยงของกู้จวินจากด้านหลังทันที เขาแอบกระซิบอย่างรวดเร็ว “อย่าเล่นเกมลองใจแบบนี้กับหัวหน้าเสวี่ย เขาเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้จริงจังกับเขาในฐานะนักวิชาการ! “
“ แน่นอนฉันเชื่อคุณ! ฉันคิดว่าฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนก็ได้” กู้จวินพยักหน้าจําใจมั่วๆไป “ว่าแต่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไรครับ?”
“ ดูต้นไทรนั่นสิ!” เสวี่ยป้าส่งกล้องส่องทางไกลของทหารอันหนึ่งให้กู้จวินลองส่องดูเอง “ เห็นไหม? ข้างในโพรงต้นไม้มันผุน่ะ”
กู้จวินยอมรับกล้องส่องทางไกลจากมือของเสวี่ยป้าและมองเข้าไปในกล้องแล้วปรับระยะไกลและตอนนี้เขาสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของโพรงที่ชัดเจนขึ้น
รอบ ๆ โพรงต้นไม้มีรอยประทับของมือเล็กๆ ที่รีบร้อนอยู่รอบ ๆ เปลือกไม้ที่ผุพัง รอยพวกนี้ดูเหมือนลวดลายที่เกิดจากเปลือกไม้ แต่ก็เหมือนไดอึ้งเมสเซสเที่ถูกทิ้งไว้โดยคนที่กําลังเดือนร้อน…
การค้นพบนี้ทําให้กู้จวินรู้สึกได้ถึงอันตราย “ นั่นเป็นรอยมือของชาวบ้านหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ใช่! กลุ่มสืบสวนได้นําตัวอย่างมาทําการเปรียบเทียบกันแล้ว มีลายมือทั้งหมดสิบหกแบบและไม่มีลายมือใดที่เหมือนกับชาวบ้าน” เสวี่ยป้าหยุดชั่วคราว จากนั้นใบหน้าของลูกผู้ชายของเขานั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยความสับสน “ รอยมือที่แตกต่างกันสิบหกแบบ สิบหกคนนั่นดูเหมือนจะเต็มพื้นที่สูงสุดภายในหลุมต้นไม้นั้นแล้ว”
“รอยมือมหาศาลในโพรงต้นไม้งั้นรึ?” กู้จวินสะดุ้งสุดตัวทันที “เราไม่ได้พูดถึงหลุมต้นไม้เดียวกันใช่ไหม? สถานที่แห่งนั้นดูไม่ใหญ่พอที่จะใส่คนได้แม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ! ”
“ มีช่องว่างที่ผิดปกติภายในโพรงต้นไม้” เสวี่ยป้ากล่าวโดยตรง จากนั้นเขาก็หันไปมองหาใครบางคน “ นี่คือการผลักดันให้ผู้คนจากฝ่ายวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมามีผลงานบ้าง เอ้า! หลินโม่คุณมาที่นี่แล้วอธิบายซะ!”
หลินไม่เป็นสมาชิกของหน่วยนักล่าอสูรที่มาจากแผนกวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาอายุประมาณสามสิบและมีผมแสกกลาง เขาดูสุภาพและพูดเบา ๆ เป็นปกติ นิสัยของเขา…มันดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหนอนหนังสือเพื่อสอบแล้วเข้ามหาลัย
แต่ตอนนี้เมื่อเขาถูกเรียกตัวโดยหัวหน้าของเขา เขาก็ไม่ได้ดื้อแพร่งแต่อย่างเดียว อีกทั้งเขายังได้แต่ยกนิ้วกลางให้เสวี่ยป้าโดยไม่ลังเล
“ ฮ่าฮ่าฮ่า” เสวี่ยป้าไม่ได้โกรธเคืองกู้จวินแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็หันไปอธิบายให้กู้จวินฟัง
“ แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ไม่ว่าในกรณีใดคุณก็รู้เกี่ยวกับหนอนใช่ไหม? หนอนสามารถบิดพื้นที่และต่อต้านเวลาได้ มีทฤษฎีที่ว่าเราสามารถเดินทางผ่านรูหนอนเพื่อไปยังที่อื่นได้ด้วย อีกทั้งโพรงต้นไทรก็เหมือนรูหนอน และมีช่องว่างอื่นอยู่ข้างในอีก”
เสวี่ยป้าพูดทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่เบาเล็กน้อย ราวกับว่าเขากําลังอธิบายถึงพืชใหม่ที่เขาปลูกในสวนหลังบ้านของเขา ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าคําพูดของเขาจะส่งผลกระทบอะไรและเหตุการณ์นี้จะมีผลต่อความเข้าใจของโลกมนุษย์ยังไงบ้าง! มันจะทําให้นักวิทยาศาสตร์นับไม่ถ้วนคลุ้มคลั่งด้วยความสุขและยังทําให้นักวิทยาศาสตร์จํานวนนับไม่ถ้วนต้องมีความสุขได้เช่นกัน แน่นอนว่าสุขแบบแปลกๆ เพราะประภาคคารในดวงจิตล่มสลายด้วยความสับสน
“รูหนอน?? กู้จวินมองไปที่โพรงต้นไม้ที่จู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะลึกลงไปและหัวใจของเขาก็เริ่มเต้นแรง
“ เห็นไหม? ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ?” ลุงต้านรู้สึกแย่ขึ้นมาในฉับพลัน เด็กที่ชื่อกู้จวินรับมือไม่ง่ายเลย
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สมาชิกระดับ G รู้ได้และนั่นคือสาเหตุที่กู้จวินมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้นพวกเขาจึงละเว้น!
ในขณะนี้กู้จวินฟังคนที่เหลือพูดคุยกันในขณะที่พวกเขาเร่งความเร็วในการพูดแบบไม่หยุดยั้งหลังจากที่โรคระบาดที่หมู่บ้านกู่หรงถูกค้นพบและถูกควบคุมตัวไปยังกรมสอบสวน พวกเขาก็สังเกตเห็นการค้นพบที่น่าตกใจนี้ทันที จู่ๆ พื้นที่สามเมตรรอบต้นไทรใหญ่ก็กลายเป็นพื้นที่แปลก ๆ แปลกจนที่ว่าสนามแม่เหล็กและแรงโน้มถ่วงไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด
ดังนั้นฝ่ายสืบสวนฝ่ายวิจัยทางวิทยาศาสตร์และฝ่ายปฏิบัติการจึงได้ร่วมมือกันจัดตั้ง “กลุ่มพยาบาลฉุกเฉิน” ขึ้นมาและเรียกกลุ่มนักล่าอสูรเพื่อขอความช่วยเหลือ
เสวี่ยป้าใช้โทรศัพท์เล่นวิดีโอของกู้จวินในขั้นต้น ส่วนกลุ่มฉุกเฉินอื่นๆ ก็ใช้เครื่องจักรเช่นหุ่นยนต์และโดรนเพื่อสํารวจโพรงต้นไม้
แต่เมื่อเข้าไปในโพรงต้นไม้แล้วสัญญาณก็หายไป ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทําไม! สัญญาณจากภายนอกไม่สามารถเข้าไปในช่องว่างที่ผิดปกติได้ แต่เครื่องที่อยู่ภายในสามารถถ่ายโอนคลื่นกราวด์วิทยุออกไปได้
อย่างไรก็ตามพื้นดินได้ลดระดับลดลงมากจนทําให้รถผ่านสิ่งกีดขวางได้สบาย…จากนั้นพวกเขาติดต่อฝ่ายศูนย์บัญชาการที่อยู่ใกล้ ๆ จากนั้นพวกเขาส่งสัตว์ทดลองออกมา แต่พวกมันก็สูญเสียการควบคุมในทันทีหลังจากที่สัตว์เข้าไปในโพรงต้นไม้ และพวกมันทั้งหมดจะตายจากความหิวโหยในอีกไม่กี่วัน เซ็นเซอร์ความร้อนและสมาชิกที่เข้าไปในโพรงต้นไม้ในภายหลังได้ตรวจสอบสิ่งนี้แล้ว
“ สัตว์เหล่านี้มีอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงติดอยู่ แต่ภาพและวิดีโอที่ถ่ายภายในเป็นแบบนี้ทั้งหมด…”
เสวี่ยป้าแสดงภาพและวิดีโอบางส่วนของกู้จวินออกมา พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าบิดเบี้ยวจนไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที “ เจ้าหน้าที่จากฝ่ายวิจัยทางวิทยาศาสตร์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อฟื้นฟู พวกเขาแต่ก็ไม่เป็นประโยชน์”
หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ กลุ่มฉุกเฉินได้ตัดสินใจส่งมนุษย์จริงๆ ลงไปสํารวจเป็นครั้งแรกและก็เป็นนักล่าอสูรที่เท่านั้นยอมเสี่ยง ที่จริงควรจะมีสมาชิกบางคนจากแผนกปฏิบัติเคลื่อนที่มีการติดป้าย แต่มีเพียงคนพิเศษเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้และจากนั้นพลังของเธอและหลุมต้นไม้นั้นถูกค้นพบ
“ หลังจากที่เราเข้าไปข้างในแล้วเราก็เห็น…” เสวี่ยป้านึกย้อนไปถึงทิวทัศน์ที่แปลกตา