ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 130
ตอนที่ 130 กําแพงสูงสุดหยั่ง
“หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว…ต้นไม้ทั้งหมดของที่นี่เที่ยวเฉาติดโรคและแห้งตาย แม้กระทั่งที่นาที่เคยเขียวชอุ่ม…ตอนนี้มันก็กลายเป็นสีดําเข้มที่ทั้งแห้งแล้งและเน่าเสีย” เสวี่ยป้าหวนไปนึกถึงความเหี่ยวเฉาและกลิ่นอายแห่งความตาย แม้ว่าเขาจะเคยชินกับพลังงานที่ผิดปกติเหล่านี้แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทําเหมือนมันเป็นเรื่องปกติของชีวิตประจําวันไปได้ ท้ายที่สุดแล้วประสบการณ์เลวร้ายที่เขาได้พบว่ามันก็ยังคงอยู่ในจิตใจของเขาไม่จางหาย
“ และต้นไทรต้นนั้นดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของพื้นที่ และพื้นที่นี้ถูกล้อมรอบด้วยกําแพง…ไม่ว่าเราจะไปทางไหน แต่หลังจากที่เราเดินทางเป็นเส้นตรงประมาณ 1,037 เมตรเราก็จะถึงกําแพงสูงทันที พื้นที่ของหมู่บ้านนี้ล้อมรอบทุกด้านด้วยกําแพงหิน และตอนนี้พวกเราก็อยู่ในกําแพงหินที่ว่า” หัวหน้าเสวี่ยป้าเล่าต่อ ในขณะที่เขาเล่าเรื่อง ท่าทางของเขาไม่ได้เหมือนหน่วยนักล่าอสูร แต่เหมือนเจ้าบ้านที่กําลังพาลูกบ้านรายใหม่มาตรวจสอบพื้นที่ก่อนจะซื้อต่างหาก
“ หัวหน้าครับ…กําแพงหินแห่งสูงแค่ไหนกันครับ?” กู้จวินอดไม่ได้ที่จะถามถึงความสูงของกําแพง เพราะทุกข้อมูลของที่นี่สามารถนํามาคํานวณได้ แม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่เล็กน้อยขนาดไหนเขาก็อยากจะรู้มัน
“ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้!” เสวี่ยป้ารู้สึกเสียใจเมื่อเขาพูดอย่างนั้นออกมาทันที จะว่ามันคือจุดบกพร่องของการสํารวจก็ไม่ผิด
“ พวกเราลองใช้โดรนที่เรานํามาด้วยเพื่อลองวัดความสูงของกําแพง แต่ถึงแม้มันจะเดินทางไปบินขึ้นไปได้ราวๆ 1,500 เมตรซึ่งเป็นระดับความสูงสูงสุดของโดรนที่พอทําได้…แต่มันกลับไม่ได้อยู่ใกล้กับขอบกําแพงเลย! ถ้าเราขยับโดรนให้บินสูงขึ้น โดรนก็จะตกจากการสูญเสียการควบคุม และวิดีโอที่เราเคยถ่ายเอาไว้กณจะผิดเพี้ยนไปด้วยเช่นกัน”
กําแพงหินรูปแบบกลมที่มีความสูงมากกว่า 1,500 เมตร และล้อมรอบพื้นที่ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,074 เมตร สถานที่แห่งนี้ต้องโอ่อ่า กว้างขวางและน่าประทับใจเพียงใด และได้ยินประโยคฉิบหายประโยคนี้คิ้วของกู้จวินก็ย่นเข้าหากันด้วยความกังวลแล้วนั่นเป็นผลงานการสร้างของมนุษย์จริงๆหรือ?
ดูจากกําแพงแล้วเก่าแก่น่าดู…แต่คนโบราณมีเทคโนโลยีทําได้ดีขนาดนั้นเชียวหรือ??
“ มันคงไม่เกินไปที่จะบอกว่ากําแพงนี้พยายามขังเราไว้ไม่ให้ไปไกลกว่านี้” เสวี่ยป้ากล่าวน้ำเสียงของเขาเรียบเฉยจนไม่รู้ว่าแค่ขู่หรือหลอกให้กลัวจริงๆกันแน่
หน่วยนักล่าอสูรทําการปูพรมค้นหาและตรวจสอบดินแดนที่แห้งแล้งแห่งนี้โดยทุ่มเทใช้เวลากว่าครึ่งเดือน และทั้งหมดต่างค้นหาด้วยวิธีธรรมดา…เนื่องผู้บังคับบัญชาของพวกเขาไม่อนุญาตให้พวกเขาใช้วิธีการทุ่มบ่ามมากเกินไปในการตรวจสอบและค้นหา เช่น การใช้วัตถุระเบิดบนกําแพง เพราะพวกเขากังวลว่าอาจส่งผลต่อความมั่นคงของพื้นที่ที่ผิดปกติแห่งนี้ และอาจจะทําให้การเชื่อมต่อระหว่างช่องว่างและหลุมต้นไม้พังทลาย อย่างไรก็ตามหากมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นก็หมายความว่ากําแพงนั้นมันว่างเปล่าและไม่มีอะไรเลย…ซึ่งมันคงจะน่ากลัวมาก
ก่อนหน้านี้ตอนที่มาถึงที่นี่ใหม่ๆสถานที่แห่งนี้มันช่างน่าเกลียดนน่ากลัวอย่างกับฉากสยองขวัญของบ้านผีสิง…ดังนั้นจึงต้องปรับปรุงพื้นที่และตั้งค่ายชั่วคราว โดยหลังจากสํารวจเสร็จ ก็ให้เหล่าพนักงานทั้งหน่วยพักผ่อนในห้องแบบซูพีเรียร์ประมาณ 2-3 วัน หลังจากกลับจากเสร็จงาน…ก็พอที่จะถูๆไถๆด้านสภาพจิตใจไปบ้าง
จนกระทั่งเมื่อวานนี้เมื่อพวกเขามีความคืบหน้าครั้งใหม่อีกแล้ว อักขระแปลกประหลาดที่คาดว่าจะเป็นภาษาต่างประเทศที่พบในฐานของบริษัทไล่เฉิงและพวกเขาได้รับการยืนยันจากกู้จวินว่าเป็นภาษาประเภทหนึ่งที่เรียกลําลองเล่นๆว่า “ภาษาต่างโลก และที่จริงหน่วยของพวกเขานี้ก็เคยเห็นอักขระภาษาต่างประเทศที่คล้ายกันในจุดใดจุดหนึ่งของกําแพงมาก่อนด้วย
ด้วยความก้าวหน้าครั้งใหม่นี้ กลุ่มงานฉุกเฉินจึงได้ให้ความสําคัญกับความสนใจของพวกเขาแบบฉับพลัน แต่ปัญหาใหม่ก็คือ สภาพจิตใจของสมาชิกทีมสํารวจดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างมาก
พวกเขารู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยเรื่องไม่สบายใจที่อธิบายไม่ได้ เมื่อพวกเขาพยายามคิดถึงประสบการณ์ของพวกเขาในพื้นที่ผิดปกติ ก็ไม่มีใครสามารถอธิบายอะไรออกมาได้ ดังนั้นการทําภารกิจจึงยากลําบาก โดยเฉพาะ!! ภารกิจการคัดลอกอักขระ…ถ้าคิดว่าแค่ขีดๆเขียนๆ แล้วจะสามารถคัดลอกอักขระภาษาต่างโลกได้นั่นเป็นเรื่องที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
พอมองจริงๆพวกเขาไม่สามารถทําได้แม้แต่การเริ่มต้นของการเขียนด้วยซ้ำ… นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก แม้พวกเขาจะเรียนภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของตนแต่มันก็ต้องเลียนแบบได้บ้างอย่างน้อยก็บางคํา แต่ว่าอักขระที่เขียนอยู่บนกําแพงนี้ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่สามารถคัดลอกเอามาเขียนใส่อย่างอื่นได้เลย
หลังจากงงในการคัดลอกอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่ากล้องถ่ายรูปนั้นมันอัดวีดีโอได้!! ดังนั้นพวกเขาก็เลยเอากล้องวีดีโอมาอัดวีดีโอไว้และถ่ายรูปไปอีกหลายรูป
พวกเขานึกว่าทําแบบนี้จะสามารถเข้าถึงภาษาต่างโลกและสามารถเรียนรู้มันได้ แต่ผลที่ได้ก็คือศูนย์เปล่า พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับภาษานี้เลย.และเกิดเรื่องที่น่าประหลาดขึ้น!
และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ ทีมสํารวจได้พยายามคัดลอกอักขระแปลกประหลาดโดยตรง แต่เวอร์ชั่นที่คัดลอกไม่สามารถจับคู่ตัวอักษรบนผนังได้อย่างสมบูรณไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ชัดเจนว่าตัวอักษรนี้ก็มีพลังงานที่ผิดปกติ
ต่อมาทีมงานของพวกเขาก็มีนักภาษาศาสตร์มาเข้าร่วม แต่พวกเขาไม่สามารถทายหัวหรือก้อยของอักขระแปลกประหลาดนี้ได้เลย
“ เมื่อครั้งที่เรามีสํารวจที่บริษัทไล่เฉิง ที่จริงแล้วฉันก็เห็นสองสามประโยคที่ถูกเขียนด้วยอักขระแปลกประหลาดนี้ ฉันจําได้ว่ามันเขียนเอาไว้บนต้นไม้ ตอนแรกฉันก็ไม่คิดอะไร แต่เมื่อฉันเห็นอักขระแปลกประหลาดนี้บ่อยเข้าในสถานที่ที่น่าสงสัย ฉันก็จํามันได้ทันที และฉันก็ไม่ใช่คนเดียวที่นึกได้ ขนาดลุงต้านที่เป็นแพทย์เขายังสงสัยเรื่องนี้เลย…. แต่อย่างที่รู้ด้วยความสามารถของเรา ในตอนนี้ พวกเราไม่สามารถอ่านหรือเขียนมันได้เลย ”
เสวี่ยป้ากล่าวขณะที่เขาตบไหล่กู้จวินไปด้วย
“ ดังนั้นภารกิจในครั้งนี้ก็คือ เราจะพาคุณเข้าไปในโพรงต้นไม้นั้นและดูว่าคุณสามารถเข้าใจความหมายของอักขระแปลกประหลาดพวกนี้ได้หรือไม่?” เสวี่ยป้าพูดเฉลยภารกิจครั้งนี้ให้กู้จวินฟัง
เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ไม่ปิดบังชายหนุ่มคนนี้อีกต่อไป ถึงอย่างไรภายภาคหน้าพวกเขาก็ต้องร่วมมือกันอีกยาวนาน อีกอย่างหนึ่งการแก้ภาษาแปลกประหลาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทําได้ง่ายๆ คงจะต้องพึ่งพาชายหนุ่มคนนี้อีกยาว ดังนั้นไม่ว่ายังไงตามหลักการปกติแล้ว เขาไม่ควรสร้างความขุ่นข้องใจให้แก่ชายหนุ่มคนนี้
ในที่สุดกู้จวินก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและความคิดก็ผุดขึ้นมาในใจของเขาทันที
พื้นที่ที่ผิดปกตินี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของโลกของอารยธรรมต่างชาตินั้นใช่หรือไม่? การทดลองของลัทธิชีวิตหลังความตาย … มันได้รวมทั้งสองโลกเข้าด้วยกันหรือ?”
แม้จะแฟนตาซีไปหน่อยแต่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ และเขามีคําถามมากมายที่ต้องได้รับคําตอบ ดังนั้นการมาที่หน่วยนี้ไม่ใช่เขาถูกหลอกใช้ฝ่ายเดียวแน่นอน หน่วยนี้จะต้องจ่ายให้เขาด้วยเช่นกัน
“หัวหน้าเสวี่ยโรคระบาดมันเกิดขึ้นที่นี่เท่านั้นหรือครับ? แล้วต้นไทรในที่อื่น ๆ ระบาดล่ะ? เป็นแบบที่นี่ไหม?”
นี่เป็นคําถามที่ติดอยู่ในใจของเขามานานแสนนาน…. ตอนอยู่ที่หอพักเขาก็ครุ่นคิดเรื่องนี้มาไม่ต่ำกว่า 100 ครั้งทําให้เขานอนไม่หลับเลยสักคืน
ตอนนั้นเขามัวแต่เข้าหาเว็บไซต์แล้วดูเว็บไซต์หมู่บ้านกู่หรงอยู่ตลอด ทําแม้กระทั่งไปซื้อซิมโทรศัพท์แล้วโทรไปตามเบอร์ที่ให้ไว้
แต่ทํายังไงเขาก็ไม่สามารถเข้าถึงความลับที่ถูกปกปิด… แม้ว่าเขาจะค่อนข้างที่มีหัวคิดดีกว่าคนอื่น แต่ก็ใช่ว่างานนี้จะทําได้เพียงแค่คนเดียว
ดังนั้นเขาจึงได้เพียรพยายามดันตัวเองเข้ามาในโลกที่มืดมนแห่งนี้ พยายามทําให้ตัวเองดูมีประโยชน์สําหรับโลกเบื้องหลัง… อย่างน้อยเป็นม้าใช้เพื่อแลกกับข้อมูล และความสงสัยที่ติดอยู่ในใจของเขามาหลายปี
“ สิ่งแปลกประหลาดพวกนี้เกิดขึ้นที่นี่เท่านั้น แต่เราสงสัยว่าบริษัทไล่เฉิงอาจจะแอบไปทําแบบนี้ที่อื่น หรือไม่พวกเขาก็มีแผนอื่นด้วย!”
เมื่อพูดเรื่องนี้ใบหน้าของเสวี่ยป้าก็เปลี่ยนไปอย่างจริงจัง
“ ฝ่ายปฏิบัติการไม่ได้จับใครที่ฐานของพวกเขาเมื่อวานนี้ พวกเขาเห็นกิจกรรมของมนุษย์ภายในอาคาร แต่พวกเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ..จะจับก็จับไม่ได้”
“เฟคต้าเคยเจอเหตุการณ์ที่มีเอ่อ พวกช่องว่าง อุโมงค์อะไรที่ผิดปกติมาก่อนบ้างไหมครับ?” กู้จวินเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย…เพราะดูเหมือนว่าภารกิจเขาต้องลงหลุมไปดูอักขระอะไรนั่นถูกไหม?
“ ใช่! เราเคยเจออะไรที่คล้ายกัน แต่เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นครั้งแรก จริงๆแล้วสํานักงานใหญ่กําลังกํากับดูแลการดําเนินการทั้งหมดอยู่ในขณะนี้ พวกเขาเป็นสาขาย่อยจะได้รับข้อมูลที่จําเป็นหลังจากนี้”
เสวี่ยป้าตอบตามจริง เฟคต้าใหญ่มาก ปัญหาที่เจอก็ไม่เล็ก ใครมันจะทําเรื่องเยอะๆ ทั้งหมดคนเดียวไหว
“ หัวหน้าครับ…แล้วสิ่งมีชีวิตที่ผิดปกติ ไอ้ตัวที่มีกระดูกหน้าอกผิดปกติและมีปีกนั่นล่ะ? พวกเขามาจากที่ไหน?” กู้จวินถามด้วยน้ำเสียงดุดันเพราะคําถามนี้สําคัญมาก
ยังจํานกผิดปกตินั่นได้ไหม… มันเป็นตัวที่ทําให้เขาได้เข้ามายังเฟคต้าและมันเป็นตัวที่อยู่ในนิมิต รวมถึงเขาเองก็มีแบบแปลนกายภาพของมันอยู่ด้วย แม้ว่าจะเป็นอย่างที่ไม่สมบูรณ์แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สําคัญและมันเกี่ยวข้องกับปริศนาหลายอย่างที่เขากําลังตามอยู่…. และที่แน่ๆ การตามหามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เขานั่งนอนคิดเรื่องนี้มานานแสนนานตั้งแต่การผ่าตัดครั้งนั้น แต่เขาก็ไม่ได้วี่แววอะไรจากมันเลย สิ่งที่เขาเจอมีแต่จินเป็นเคนหรือสุนัขหน้ามนุษย์นั่น ซึ่งมันช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
“ ฉันเชื่อว่านกพวกนั้นต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทไล่เฉิงแน่นอนและฉันเชื่อว่าฉันพูดถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้!” กู้จวินมั่นใจอย่างมาก เพราะหลัหฐานทั้งหมดมันชี้ไปที่ไล่เฉิง
“ โอ้?” เสวี่ยป้ามองกู้จวินทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ ผลลัพธ์ของกรมสอบสวนสรุปว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น…คนละแบบกับโรคต้นไทรและไม่มีข้อมูลมากกว่านี้อีก แต่บางทีมันอาจจะไม่ใช่ที่คุณคิดก็ได้นะ”
เสวี่ยป้ายังไม่เชื่อ…ทุกอย่างต้องรอผลการสืบสวนอย่างเป็นทางการ เพราะนี่ไม่ใช่งานของพวกเขาเพียงหน่วยเดียว แต่สํานักงานใหญ่ก็เข้าร่วมด้วย แม้จะไม่ได้เข้าร่วมโดยตรงแต่การคิดวิเคราะห์และประมวลผลก็มาจากพวกเขา ดังนั้นแล้วเขาไม่อาจจะนําความคิดเห็นของเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปตัดสินว่ามันต้องเป็นแบบนั้น