ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 146
ตอนที่ 146 เสียสละ
ผลไม้แห่งราตรีจะงอกงามและปกคลุมไปทั่วนภาอันมืดมิด ปรสิตแห่งความตายจะอยู่กับสวรรค์และโลกนิจนิรันดร์
……. กู้จวินหมดไพ่ตาย…แม้จะยอมเสี่ยงพูดภาษาต่างโลกที่เป็นไพ่ตายอย่างประโยคนี้ออกมา…เฮ้อ!
บอกตามตรง! ว่าความมั่นใจในประโยคนี้นั้นมีสูงมากๆเพราะมันคือประโยคแรกในภาษาต่างโลกที่เขาได้ยิน…. แต่ประตูเฮงซวยนี่ก็ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน
ในจังหวะนั้นเอง หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้ได้จนหมด.. สภาพของเขาและร่างกายก็ไม่ไหวอีกต่อไป
จากสายตาของบรรดาพรรคพวกที่มองมา พวกเขาเห็นกู้จวินกําลังเดินเซไปเซมาใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นซีดขาวเผือดราวกับกระดาษ ดูจากเหงื่อและหน้าตาของกู้จวิน พวกเขาก็รู้ได้ว่ากู้จวินคงจะยืนหยัดได้อีกไม่นานนัก และอาจจะล้มลงได้ทุกเวลา พวกเขาต่างมองด้วยความเป็นห่วง
ในขณะเดียวกันกู้จวินก็รู้สึกว่าพื้นที่รอบๆของเขาดูเหมือนกําลังจะหมุนวนและสั่นสะเทือนไปทั่ว ดวงตาที่เคยสว่างไสวกับมืดมัวอย่างผิดปกติ… เขารู้ได้ทันทีว่าผลกระทบนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวเขาถึงขีดสุดแล้ว
อาจวิ้น!! พอแล้ว หยุดพูดสักที! พอแล้ว!! ได้ยินฉันไหม รีบถอยออกมาเร็วเข้า…เธอกําลังมองหาที่ตายอยู่เหรอ??
เสวี่ยป้าเรียกเขาให้หยุดทันที แต่กู้จวินดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของเขาอีกต่อไป กู้จวินยังคงพึมพําในลมหายใจเบาๆ คล้ายคนกําลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
เพื่อไม่ให้กู้จวินตาย! เสวี่ยป้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอื้อมมือที่เต็มไปกล้ามเนื้อและทรงพลังของเขา เพื่อลากกู้จวินออกมา
ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดพูด…สถานการณ์ที่น่ากลัวก็ลดลงและคืนสู่ความปกติ
จากนั้นเสวี่ยป้าก็ตัดสินใจที่จะลองวิธีอื่น เขาจึงทิ้งกู้จวินไว้กับลุงต้านและจางฮ่าวฮ่าวให้ช่วยกันดูแล สภาพของเด็กหนุ่มนั้นซีดเซียวมาก ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากูจวินได้พยายามหนักแค่ไหน กู้จวินได้มอบทุกอย่างให้กับเขาแล้ว…มอบทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต! พวกเขามองหน้ากันและเริ่มคุยกันเบา ๆ ราวกับว่าจะกวนการพักผ่อนของกู้จวิน
พวกเขามองหน้ากันและคุยกันเกี่ยวกับตัวเลือกที่เหลืออยู่เล็กน้อย
ตัวเลือกแรก… ก็คือหันกลับไปอีกทางหนึ่งแล้วเลือกที่จะไประเบิดประตูทางออกที่พวกเขาเข้ามาตั้งแต่แรก เพื่อออกไปจากที่นี่โดยไม่สนว่าผลอะไรจะตามมาทั้งสิ้น
ตัวเลขที่ 2 ก็คือการระเบิดทลายประตูสีแดงนี่เสียเลยโดยไม่ต้องสนว่ามันจะมีกับดักหรืออะไรอีกไหม
ตัวเลือกสุดท้ายนั่นก็คือส่งคนใดคนหนึ่งแอบมองผ่านรูกุญแจและกระตุ้นกับดัก รวมถึงปลดล็อคประตูออกมา…
บรรดาสามตัวเลือกนั้นตัวเลือกที่สองเป็นทางเลือกสุดท้าย… เพราะมันจะไม่มีผลตอบแทนอะไรสําหรับพวกเขาเลย ถ้าเกิดประตูพังลงจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนี้
ทางเลือกแรกนั่นคือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดแต่พวกเขาจะไม่ได้อะไรเลย นั่นแปลว่าการเสียสละของหลินม่อนั้นไม่มีประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
ประตูสีแดงบานนี้ในสายตาของพวกเขามันก็เหมือนกับต้นไทรต้นใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านคู่หรง …. นั่นก็คือประตูจะนําพวกเขาไปสู่เส้นทางอื่นทันทีที่มันถูกเปิดออก… แต่ถ้าเขาระเบิดพวกมัน….นั่นจะเป็นความสูญเสียอย่างยิ่งหากประตูพังลง
เนื่องจากพวกเขาขาดข้อมูลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังการกระทํา และถ้าพวกเขายืนยันที่จะทําโดยไม่สนผลลัพธ์มันก็จะกลายเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เลวร้ายที่สุด
และทางเลือกที่สามนั้นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยที่สุดในแง่ที่ว่าจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกในทีมเพียงคนเดียว
แน่นอนว่าพวกเขาคิดจะส่งกู้จวินเข้าไปส่องดู…เพราะเขาอาจกระตุ้นบางอย่างเมื่อเขาอยู่ใกล้ประตูสีแดงก็เป็นไปได้ แต่จวินก็สําคัญเกินไป! เขาเป็นสมาชิกคนเดียวที่เข้าใจภาษาต่างโลกและรู้วิธีเปิดใช้งานคาถาความเสี่ยงนั้นใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะแบกรับได้
ในความเป็นจริงทุกคนในทีมสามารถเสียสละได้ ยกเว้นกู้จวิน!!
อย่างน้อยกู้จวินก็เดาถูก…ต่อให้ทั้งทีมตาย เขาก็จะรอด!
ในที่สุดใครบางคนต้อง เสียสละ ทําตามตัวเลือกที่ได้กําหนดไว้…แม้ว่าจะรู้ว่ามันอาจเป็นกับดักก็ตาม
การกระตุ้นกับดักเพื่อดูว่ามันเป็นกับดักแบบไหนนั่นคือการรวบรวมข้อมูลประเภทหนึ่งด้วยเช่นกัน
และในปัจจุบันหน่วยนักล่าปีศาจต้องการข้อมูลมาป้อนศูนย์บัญชาการอยู่เสมอและต้องการสมาชิกอย่างไม่ขาดสาย…ทั้งหมดก็เป็นเพราะความต้องการของหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ด้วย… หน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่นั้นถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายหน่วย…โดยจะมีตํานวนทีมมากเท่ากับงานที่ทํา
พวกเขายังคงจําวันแรกที่ตัวเองได้รับเข้าบรรจุในหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ได้ดี พวกเขาได้รับการอบรมอย่างดีจากเหล่าอาจารย์ และหนึ่งในคําสอนที่อาจารย์ได้ให้พวกเขาเอาไว้ก็ทําให้พวกเขาเครียดอย่างที่สุด
พวกคุณทุกคนต้องเตรียมพร้อมที่จะเสียสละได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เพื่อส่วนรวม !! แต่เพื่อเพื่อนร่วมทีมของคุณ! คุณตายเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมทีม และเพื่อนร่วมทีมของคุณตายเพื่อปกป้องคุณ นี่คือหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่
ถ้ากู้จวินได้ยินคงหัวเราะและชูนิ้วกลางให้อย่างไม่กลัวเกรง…แต่เสียดายเขายังไม่ได้รับการอบรมถึงจุดนี้
แม่งมันเอ๊ย!! สุดท้ายก็ต้องหาคนเสียสละไปดู ลู่เสี่ยวหนิงถอนหายใจโดยไม่ต้องรอให้ใครพูดอะไรอีก เธอวางปืนและเครื่องยิงจรวดไว้ข้างกําแพงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็กล่าวกับลูกทีมที่เหลืออย่างเปิดเผย
ถ้าฉันเปลี่ยนเป็นศัตรูล่ะก็…อย่าลังเลที่จะฆ่าฉัน! และถ้าจะฆ่าฉันให้ได้รวดเร็วที่สุดให้เล็งมาที่หัว เข้าใจไหม น้ําเสียงของเธอเต็มไปด้วยความองอาจ… แม้กระทั่งบุรุษชาติชาตรีที่นั่งอยู่บนพื้นทั้งหลายยังไม่องอาจ และกล้าหาญเทียบเท่าเธอ
เธอคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง แม้กระทั่งชีวิตเธอยังไม่สนใจ ภายในโลกนี้มีใครบ้างที่จะแนะนําให้คนอื่นมาฆ่าตัวเอง… และยังแนะนําการยิงที่ถูกต้องอีกด้วย จิตใจแบบนี้ใช่ว่าจะหาได้ในผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอ
ลู่เสี่ยวหนิงเป็นผู้กล้าหาญของหน่วยนักล่าอสูรมาโดยตลอด เธอสงสัยกู้จวินจนคิดจะยิงเขาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ เพราะเธอกลัวแต่เป็นเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบของเธอต่างหากที่บีบให้เธอต้องทําเช่นนั้น
เข้าใจแล้ว เสวี่ยป้าพยักหน้า เขาไม่ได้หยุดเธอแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกอย่างยิ่ง เขาหันไปทางเธอและพูดอย่างจริงจัง เราจะใช้ลํากล้องขนาดใหญ่ คุณจะตายอย่างไม่เจ็บปวด
สมาชิกทั้งกลุ่มเงียบกริบ… พวกเขารู้ว่านี่เป็นความเลวร้ายที่จําเป็น พวกเขาจําเป็นต้องเสียสละคน แล้วอีกอย่างหนึ่งต่อให้พวกเขากระโดดลงไปจับลู่เสี่ยวหนิงกอดขากอดแข้งเพื่อให้เธออยู่ เธอก็คงไม่เปลี่ยนใจหรอกเพราะนิสัยของเธอเป็นยังไงคนทั้งกลุ่มล้วนล่วงรู้
คุณลู่…คุณคือวีรบุรุษ ลุงต้านถอนหายใจ เขาหันกลับมาเพื่อสั่งให้จางฮ่าวฮ่าวเตรียมพร้อมสําหรับการช่วยเหลือฉุกเฉิน ในขณะที่กู้จวินยังคงยืนพิงกําแพงพักผ่อน สมองของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรจะช่วย
หลังจากที่พลซุ่มยิงที่เตรียมจะฆ่าลู่เสี่ยวหนิงในกรณีฉุกเฉินและแพทย์พร้อมแล้ว
ลู่เสี่ยวหนิงก็เดินไปตามไปที่บันไดขั้นสุดท้ายและหยุดก่อนที่จะถึงประตูสีแดงอีกครั้ง
คราวนี้เธอไม่ได้ถอยห่างจากรูกุญแจ แต่โน้มตัวเข้าไปใกล้
ไม่มีความกังวลใจหรือความขี้ขลาดอยู่บนใบหน้าของเธอ หากจะมีสิ่งใดปรากฎอยู่บนใบหน้าของเธอล่ะก็… ก็คงเป็นความกล้าหาญที่เปล่งประกายกระมัง
รูกุญแจมีขนาดเล็กมากขนาดเท่าหัวแม่มือของผู้ใหญ่ แสงสีขาวได้เล็ดลอดออกมาจากมัน ภายใต้การตรวจสอบอย่างรอบคอบของทุกคนที่อยู่เบื้องหลังเธอ ลู่เสี่ยวหนิงลดตาขวาของเธอลงไปที่รูและมองผ่านมัน
ในขณะเดียวกันที่ลู่เสี่ยวหนิงกําลังเอนตัวไปที่รูกุญแจ หัวใจของกู้จวินก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที การพักผ่อนของเขากําลังจะหายดีเมื่อครู่ก็เปล่าประโยชน์
มันรู้สึกเหมือนมีพลังภายนอกเข้ามาในร่างกายของเขาและสติของเขาก็กําลังโอนเอนไม่มั่นคงตามพลังของมัน…เขารู้สึกว่าเขากําลังได้ยินเสียงกระซิบที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของสติสัมปชัญญะของตนเองแว่วออกมาเป็นเสียงพูดที่แผ่วเบาและเต็มไปด้วยความสบายใจ… รวมถึงเป็นสิ่งที่ผ่านมาจากระยะไกลจนกลายเป็นเสียงสะท้อน เสียงของมันน่ากลัวราวกับเป็นเสียงที่แว่วมาจากขุมนรกชั้นที่ลึกที่สุด
เห็นไหม??? ผู้หญิงคนนี้สงสัยคุณ แม้ว่าคุณจะช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม จําได้ไหม?? เธอเล็งปืนมาที่คุณ เธอไม่เชื่อใจคุณ เธอไม่เคยปฏิบัติต่อคุณในฐานะเพื่อนร่วมทีม เธอยังคงเก็บงําความสงสัยที่มีต่อคุณ…และคอยลอบฆ่าคุณจากทางด้านหลัง เสียงที่พูดออกมานั้นทําให้กู้จวินที่กําลังเจ็บปวดทรมานตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนอีกครั้ง…แต่ในจังหวะนี้ไม่มีใครสนใจเขาทั้งนั้น ทุกสายตากําลังมองลู่เสี่ยวหนิง
ทันใดนั้นปากของลู่เสี่ยวหนิงก็ส่งเสียงดังแปลก ๆ ออกมาแต่เธอไม่ได้ขยับเขยื้ยนเคลื่อนไหวเปลี่ยนท่าแต่อย่างใด และร่างกายของเธอเริ่มสั่นอย่างที่ไม่สามารถจะควบคุมได้
แต่ถึงจะสั่นอย่างไรแต่ร่างของเธอยังคงติดอยู่กับผนัง เสียงที่เธอเพิ่งทําออกมานั้นมันเป็นเสียงที่คล้ายกับความหวาดกลัว เพียงแต่หวาดกลัวไม่สุด… เป็นเสียงร้องครวญครางที่ไม่ดังเท่าไหร่แต่กับก้องในจิตใจของทุกคน… มันราวกับว่าเธอกําลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ไร้สิ้นสุดและเธอไม่ขยับออกจากฝันร้ายนั้นแม้แต่นิด เสียงที่คล้ายคนกําลังหวาดกลัวแบบแผ่วเบานี้ทําให้ทุกคนเริ่มอยู่ไม่สุข บางคนแค่ได้ฟังก็ถึงกับหวั่นเกรงตามเธอไปด้วย
มันจะดีเสียยิ่งกว่าถ้าเธอตะโกนด้วยความเจ็บปวดหรือสิ้นหวังออกมา ดูเหมือนว่าเธอได้เห็นบางสิ่งที่น่ากลัวอย่างน่าสยดสยอง แต่ไม่สามารถละสายตาออกไปได้ และภาวะแบบนี้มันยิ่งกว่าคําว่าอันตราย…
ดึงเธอกลับมาเดี๋ยวนี้! เสวี่ยป้าที่เห็นสถานการณ์แล้วก็สั่งอย่างเร่งรีบ เขาไม่ได้ให้คนอื่นติดตามลู่เสี่ยวหนิงเนื่องจากกังวลเรื่องการระเบิด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนที่เหลืออยู่ไม่ได้ยืนอยู่แถวๆนั้นแล้ว
ด้วยคําสั่งของที่แสนจะเร่งรีบของเสวี่ยป้า พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที หยางเหอหนานและโจวอี้ช่วยกัน เข้ามาจับลู่เสี่ยวหนิงไว้คนละข้างและพยายามลากเธอออกไป
อั๊ก! เธอไม่ขยับเลย… หยางเหอหนานพึมพําออกมาด้วยความตกใจ
……… ในขณะเดียวกันโจวอี้ก็คิดแบบเขาด้วย
ชายหนุ่มทั้งสองเต็มไปด้วยความตกตะลึง… พวกเขาพบกับความจริงที่ว่าพวกเขาไม่สามารถลากเธอออกมาจากประตูสีแดงบานนี้ได้ ราวกับว่ามันมีแรงดึงมหาศาลหรือไม่ก็เป็นเธอเองนั่นแหละที่ขัดขวางการดึงของพวกเขา