ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 28
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้จวินมาที่โรงศพของอาคารผ่าศพ!
ประมาณ 1 – 2 วันเเรกก่อนที่อาคารผ่าศพ ไม่สิ อาคารกายวิภาคจะเปิดทำการ เหล่าคณาจารย์ที่ขี้เกียจจะอนุมัติงบประมาณจ้างบุคลากรพิเศษมาทำงานชั่วคราว พวกเขาเลยมอบหมายให้นักศึกษาผู้ชายมาที่นี่เพื่อทำงานเเล้วให้คะเเนนเล็กๆน้อยๆเป็นพิเศษเเทนค่าตอบเเทนที่เป็นตัวเงิน เเละงานที่กู้จวินช่วยในตอนนั้นก็คือ เขาเเละเพื่อนๆในคณะต้องช่วยกันย้ายศพที่จำเป็นสำหรับวิชาเรียนกายวิภาคศาสตร์จากห้องปฏิบัติการไปยังห้องเก็บศพ…ดังนั้นเเล้วเหล่านักศึกษาชายจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับอาคารนี้เเม้จะไม่ได้มาบ่อยๆก็ตาม
ใครมันจะไปลืมช่วงเวลาในการพบศพมนุษย์เป็นครั้งเเรกได้ล่ะ?
พวกเขาหวาดกลัวเล็กน้อยจนนอนไม่หลับไปหลายวัน
เเต่พอได้คะเเนนเพิ่ม พวกเขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเเบบงงๆ
ก็นะ เอาจริงๆมันผ่านมาหลายปีเเล้ว!
เเต่ก็เพราะงานเเลกคะเเนนครั้งนั้นนั่นเเหละ…ความสนุกที่เเท้จริงในโลกเเห่งการสื่อสารเบื้องหลังของมหาวิทยาลัยอุบัติขึ้น!! พวกเขาเอาเรื่องนี้ไปเล่าลือกันในวงเหล้าเเละเรื่องสยองขวัญที่เป็นตำนานมหาวิทยาลัยว่า ‘ทาส’ ทางการแพทย์เช่นพวกเขา…จะเเอบมาที่โรงเก็บศพในยามค่ำคืน เเละขโมยศพเหล่านั้นออกไปเพื่อเอาไปหลับนอนด้วย ว่ากันว่ามันคือวิธีฝึกฝนความกล้า! เเละถ้าใครทำเเบบนี้ไม่ได้…ก็จะหมดสิทธิ์เรียนคณะเเพทย์ เเต่นั่นเป็นเเค่เรื่องโม้ขึ้นมาเท่านั้น ใครกันที่จะกล้าเอาศพออกมานอนด้วย!
น้ำดองศพมันจะเลอะเตียงเอา…เเล้วไหนจะศพหายากอีกล่ะ?
ต่อให้อยากทำก็เป็นไปไม่ได้! หรือต่อให้จะต้องทำ…พวกเขาก็กลัว!
สำหรับ “ทาส” ทางการแพทย์เช่นพวกเขา…ก็จริงอยู่ที่ตอนเเรกๆพวกเขาก็กลัว เเต่หลังจากงานพิเศษในครั้งนั้น เกณฑ์เเห่งความกลัวของพวกเขาเหมือนกำลังถูกยกระดับ เเละมันยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้เข้าเรียนวิชากายวิภาค เเถมยังได้ลงมือผ่าศพสัตว์…เเละนานๆที่ก็ได้ลองชำเเหละศพมนุษย์ พวกเขาก็ได้รู้ความจริง…อย่างเเรกคนตายไม่อาจจะลุกขึ้นมาเเล้วบีบคอพวกเขาได้ ดังนั้นศพเหล่านี้จึงไม่มีอะไรที่น่ากลัวอีก เเล้วโรงเก็บศพมันจะไปน่ากลัวอะไร เชื่อไหม? คาบเรียนช่วงเช้าของวันธรรมดาวันหนึ่ง อาจจะเพราะมันเช้าไปหน่อยเลยทำให้นักศึกษาบางคนกินข้าวไม่ทันเวลา จะไปนั่งโรงอาหารมันก็ยังไม่เปิด เลยลงเอยด้วยการซื้อโจ๊กใส่ถ้วยโฟมมานั่งกินในคาบเรียน ‘ผ่าศพ’ ใช่…นักศึกษาที่ว่านั่นนั่งดูการผ่าศพพร้อมกับซดโจ๊กไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย พอเขาเห็นน้ำเหลืองหยดลงมา เขาก็เอ่ยปากบ่นว่าอยากได้ซอสเหลืองซักกระปุก….
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่กู้จวินหรือไช่ฉีซวนเพื่อนของเขาเเน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะชอบเพิ่มมูลค่าของสัตว์ทดลองที่ตนเองได้รับผิดชอบ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าดูหมิ่นต่อซากศพหรือดูถูกเหยียดหยามพวกมันเลย พวกเขาแสดงความเคารพและจริงจังต่อศพทั้งหมด….เพราะศพเหล่านั้นคือ ครูคนหนึ่งของพวกเขานั่นเอง…เเต่ในบางครั้งมันก็น่าเสียดายที่จะเอาไปทิ้งเปล่าๆ เขาเลยเอาศพสัตว์ทดลอง อาทิ กระต่ายเเละหมูกลับมาทำอาหารกินประทังชีวิตบ้าง! อย่างที่บอก…การให้นักศึกษาเเพทย์อิ่มก็เท่ากับช่วยเหลือวงการเเพทย์ หมอที่ไม่มีเเรงจะทำงานได้อย่างไร?
ก่อนจะเริ่มชั้นเรียนผ่าศพเป็นครั้งเเรกนั้นกู้จวินถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก เขารู้ว่าซากศพเหล่านี้บางส่วนเกิดจากผู้บริจาคศพยินยอมบริจาคด้วยความใจกว้างเอง หรือไม่ก็ต้องเป็นศพไร้ญาติที่ไม่มีใครอ้างสิทธิ์ เป็นศพที่น่าสงสาร…ที่ถูกนำมาใช้ในการเรียนเพื่อพัฒนาวงการเเพทย์ เเละพ่อเเม่ที่หายสูญ…เเละอาจจะตายไปเเล้วของเขา อาจจะเป็นหนึ่งในศพยากไร้อยู่ที่ไหนสักเเห่งก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเเอบร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
เเต่นั่นมันก็นานมาเเล้ว…..
เเต่ตอนนี้เขามีระบบเเละมีเป้าหมายให้เดิน…เขาจะไม่เป็นเหมือนอดีตอีก เเต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาคิด เขาเเละนักศึกษาชายอีกหลายคนจะต้องไปเลือกศพที่โรงเก็บศพ ทว่าระหว่างทางไปยังโรงเก็บศพกู้จวินก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ที่โถงทางเดินมีคนหน้าตาไม่คุ้นเคยหลายคนเดินตามทางเดินอย่างเงียบสงบ แม้ว่าพวกเขาจะสวมเสื้อแล็บสีขาวและหน้ากากอนามัยเเลดูเนี๊ยบ แต่พวกเขาก็ดูไม่เหมือนบุคลากรของมหาวิทยาลัยเลย…ไม่ต้องพูดถึงคณะที่งกเเบบนี้ พวกเขาเเทบจะไม่จ้างคนนอกเข้ามาดูเเลเลยด้วยซ้ำ!
คนพวกนี้สวมรองเท้าบู๊ตสีดำขลับกันทั้งหมดทุกคน ด้วยเสียงฝีเท้าจากรองเท้าบู๊ตของพวกเขา เมื่อมันปะทะเข้ากับพื้นทางเท้าที่เย็นจัด มันฟังดูคล้ายกับพวกเขากำลังเหยียบย่ำลงไปในจิตใจของผู้คน ทำให้ความหวังเเละเเสงสว่างรำไรในจิตใจผู้คนต้องร่วงดิ่งลงในความมืด
เเต่คนเหล่านี้ไม่ได้มองไปที่กู้จวินและพรรคพวกเเม้เเต่น้อย พวกเขาเเค่มาทำงานเเละกำลังจะเดินกลับออกไปเท่านั้น
“ คนพวกนี้เป็นใคร? ใช่คนของคณะหรือเปล่า!?” ซูไห่หันไปมองบรรดาเพื่อนๆ ของเขาด้วยความสงสัย ไช่ฉีซวนเองก็สงสัยเหมือนกัน เขาไม่เคยเห็นคนพวกนี้ เเละไม่เคยรู้จักบุคลากรใหม่ๆของคณะด้วย สุดท้ายเเต่ละคนได้เเต่ส่ายหัวเเละตอบว่าไม่รู้เรื่องอะไรเท่านั้น
เเต่สายตาของกู้จวินก็ไวพอที่จะเเอบเห็นลักษณะของคนพวกนี้ในระยะประชิด ที่ด้านหลังของพวกเขามีคำที่เขียนว่า “นักเก็บศพ”
นักเก็บศพ? ชื่อนี้เเปลกมาก ทันทีที่อ่านชื่อนี้ออกมาได้ เขาก็พึมพำออกมาทันที คำนี้ดูเหมือนจะมีความนัยที่ไม่ธรรมดา มันทำให้กู้จวินวางใจลงไม่ได้เเม้เเต่น้อย
ไช่ฉีซวนที่ตามหลังมาเกือบท้ายสุด เขาเลยเห็นกลุ่มคนชุดขาวพวกนี้นำศพใส่ไปที่รถเข็นสำหรับเข็นศพอย่างระมัดระวัง รถเข็นแต่ละคันมีถังเก็บทรงสี่เหลี่ยมเคลือบด้วยสีขาวคล้ายกับโลงศพ แม้ว่าพวกเขาจะขนศพอยู่ในจุดที่ค่อนข้างห่างไกล แต่กลิ่นฟอร์มาลีนที่รุนแรงทำให้ดวงตาของพวกกู้จวินที่เดินผ่านไปพักใหญ่เริ่มระคายเคือง ที่ยังไม่นับกลิ่นที่ทำให้พวกเขาอึดอัดอีก
คนชุดขาวสี่คนเมื่อขนศพลงรถเข็นเเล้ว พวกเขาก็ไปยืนอยู่ด้านข้าง ปล่อยให้คนเข็นอีกสองคนค่อยๆเข็นนำหน้าไปก่อน
เช่นเดียวกับคนชุดขาวคนอื่น ๆ พวกเขาค่อยๆเดินตามคนที่เข็นรถขนศพประหนึ่งกำลังเข้าร่วมพิธีการศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกเขาไม่สนใจกลุ่มของกู้จวินที่กำลังเดินโต๋เต๋อยู่เเม้เเต่นิด ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็น “นักเก็บศพ” เหล่านี้
เกิดอะไรขึ้น? ซูไห่เเละจางฮ่าวหลันเริ่มบ่นพึมพำกันเอง พวกเขาสงสัยพวกคนขนศพที่หยิ่งยโสเหล่านี้มาก พฤติกรรมของพวกเขาช่างไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย
ทุกคนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเเห่งนี้ล้วนทราบดีทุกคนว่าทรัพยากรของมหาวิทยาลัยทุกชิ้น โดยเฉพาะ ‘ศพ’ สิ่งนี้ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก ศพทุกศพได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนามาเป็นเวลานาน เเม้เเต่จะนำไปสอนนักศึกษายังต้องจัดการดูเเลอย่างเข้มงวด
ศพทุกศพนั้นได้รับมาจากโรงพยาบาลในเครือ เเละมีที่มาที่ชัดเจน เเละศพทุกศพ เเน่นอนว่ามีเพื่อผลประโยชน์ของนักศึกษาเเพทย์ที่จะเป็นหมอของโรงพยาบาลในอนาคต เเละครั้งนี้…ศพจะถูกใช้เยอะเป็นพิเศษ
ด้วยการจัดการแข่งขันใหญ่ในภาคตะวันออกอย่างกะทันหัน ทำให้นักศึกษาที่ได้รับเลือกในการเข้าเเข่งขันชิงถ้วยฟรอนเทียร์ทั้ง 12 กลุ่มจำเป็นต้องได้รับการฝึกวิชากายวิภาคศาสตร์เพิ่มเติมด้วย แน่นอนว่าต้องได้รับการสนับสนุน ‘ศพ’ เพิ่มเติมจากคณะ ดังนั้นการปรากฏตัวของนักเก็บศพเหล่านี้….อาจจะเกี่ยวข้อง