ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 68
ที่ทางเข้าห้องเก็บศพมีเปลเคลื่อนที่สองหลัง เเละมีเตียงเก่าๆสำหรับเข็นศพอีก 2 เตียงทั้งหมดถูกวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กู้จวินเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ และทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นเเละลมเย็นๆปะทะหน้าเข้าอย่างจัง
กู้จวินมองไปรอบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ มันไม่ได้กว้างขวางมากเท่าไหร่ ไฟเพดานห้องก็เเสนจะสลัว และรอบๆก็เต็มไปด้วยตู้เย็นสเตนเลสขนาดใหญ่สองตู้ มันถูกเอาวางไว้ทั้งสองข้างของผนังห้องเก็บศพ
เเละห้องเก็บศพแต่ละห้องมีตู้เก็บศพประมาณสิบตู้ ตู้เก็บศพที่คล้ายตู้เย็นเเบบร้านอาหารใหญ่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนา และเเน่นอนว่าด้านในนั้นมีศพนอนสงบนิ่งอยู่
ข้างหน้าของเขามีตู้เก็บเครื่องมือ เปลนอนเคลื่อนที่สองสามตัวและหน้าจอที่ใช้เเสดงข้อมูลบางอย่างทางการแพทย์สีน้ำเงินสองสามตัว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก
แม้ว่าห้องเก็บศพจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นสถานที่ที่น่าสยดสยองในภาพยนตร์สยองขวัญทุกเรื่อง แต่จริงๆเเล้วมันมีขนาดเล็กมากและไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
มันคล้ายห้องเย็นเก็บสินค้าทั่วๆไปมากกว่า
เเต่….
ตั้งแต่วินาทีที่กู้จวินเดินผ่านประตู หัวใจของเขาก็จมดิ่งลงเพราะรับรู้สึกสัญญาณเเปลกๆ
เเละเมื่อเขาก้าวเข้าใกล้ตู้เย็นด้านซ้ายมือ ความรู้สึกของการถูกกดดันก็ยิ่งหนักขึ้น ในหัวสมองเขาเหมือนมีอะไรปั่นป่วนอยู่ข้างใน เเละตอนนั้นเองเสียงระฆังเตือนก็ดังขึ้นในใจของเขา กู้จวินสูดหายใจเข้าลึกเเละระมัดระวังตัวมากขึ้น
“เอาล่ะ! นิมิตที่ฉันไม่รู้จักเอ๋ย! คราวนี้พวกเราจะได้พบกันสักที…มาดูกันว่าฉันจะทนได้สักเท่าไหร่?”
ต้องแจ้งให้ทราบว่าหลังจากเกิดนิมิตทุกครั้ง ความเจ็บปวดจะระเบิดไปทั่วเส้นประสาทสมองของเขา สุดท้ายทั้งร่างกายเเละจิตใจก็จะพังทลาย เเละหมดเเรงไปทั้งวัน
กู้จวินหยุดฝีเท้าอย่างระมัดระวัง และเปิดอินเทอร์เฟซระบบเพื่อตรวจสอบสถานะของโฮสต์
ตอนนี้ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตของเขาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมันพิสูจน์ได้ว่านิมิตที่เขากระตุ้นนั้น มันทำให้ให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายของเขา
“ อัตราการเต้นของหัวใจคือ 100 BPM ซึ่งเป็นระยะช่วงปกติ ตอนนี้ยังพอยอมรับได้”
เขายังคงเดินไปข้างหน้าท่ามกลางการเปิดประตูสู่นิมิต ในขณะที่ให้ความสนใจกับตัวบ่งชี้อัตราการเต้นของหัวใจของตนเองไปด้วย
ขั้นเเรก….อัตราการเต้นของหัวใจ: 115 BPM
ขั้นสอง…..อัตราการเต้นของหัวใจ: 130 BPM
ขั้นสาม……อัตราการเต้นของหัวใจ: 145 BPM
กู้จวินหายใจเข้าลึก ๆ ในช่วงขั้นสอง-ขั้นสามอัตราการเต้นของหัวใจของเขาก็เร็วเกินไป ราวกับว่าเขากำลังออกกำลังกายอย่างหนัก ตัวเลขเหล่านี้กำลังเข้าใกล้เขตอันตราย หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างรุนแรงและความรู้สึกที่คล้ายกับเดจาวูนี้ทำให้การมองเห็นของเขาแย่ลง ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น
ขั้นที่สามครึ่ง….อัตราการเต้นของหัวใจ 150 BPM
ห้องเก็บศพอยู่ตรงหน้าเขา แม้ว่าภาพนั้นจะยังไม่กลายเป็นภาพนิมิต แต่กู้จวินก็รู้สึกมั่นใจได้ว่าเขาควรจะทำอะไรเป็นอย่างต่อไปเเละอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
“ จากอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ การมองเห็นนิมิตควรจะมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ประมาณ 160-180 BPM ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายเล็กน้อย อาการของมันค่อนคล้ายๆกับโรค [paroxysmal supraventricular tachycardia] หรือภาวะหัวใจเต้นเร็วเป็นพักๆเนื่องจากจุดปล่อยไฟฟ้าอยู่สูงกว่าหัวใจห้องล่าง แต่หัวใจของฉันไม่มีประวัติของโรคนี้เลย ดังนั้นนี่อาจจะเป็นอาการของเกิดนิมิต ดังนั้นเเล้ว….ร่างกายของฉันน่าจะรับเเรงต้านทานไหว ไม่สิ ถ้าอาการหนักเเบบนี้ ฉันอาจจะทนได้ถึง 2 หรือ 3 ชั่วโมง”
กู้จวินยกมือขวาขึ้นอย่างระมัดระวัง และกดฝ่ามือลงบนพื้นผิวสแตนเลสของตู้เก็บศพ ผิวของฝ่ามือรู้สึกเย็นเเบบฉับพลัน ความเย็นนั้นตรงดิ่งทะลุเข้าฝ่ามือผ่านไปยังชั้นพังผืด ผ่านเนื้อเเละสุดท้ายก็…ทะลุตรงไปที่กระดูก!
อัตราการเต้นของหัวใจของเขาตอนนี้อยู่ที่ 185 BPMโดยประมาณ และหัวใจของเขาเต้นแรงราวกับว่ามันอยากจะกระโดดออกจากอก เขารู้สึกว่าหัวใจกำลังเป็นตะคริวและหายใจลำบากากขึ้น ภาพเบื้องหน้าเขาเบลอและคล้ายกับมันเป็นภาพลวงตา
ทุกอย่างดูเหมือนจะห่างไกลออกไป
แต่ในขณะเดียวกันมันก็ดูเหมือนว่าอยู่ใกล้ด้วย!
การคาดเดาของเขาน่าจะถูกต้อง ตราบเท่าที่เงื่อนไขทั้งสามครบถ้วน เขาก็สามารถเปิดภาพนิมิตเมื่อไหร่ก็ทำได้
ภาพเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเงาเเละเเสงสว่างเริ่มมีเสถียรภาพและชัดเจนขึ้น
กู้จวินเห็นโบสถ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคยที่ไหนสักแห่ง โบสถ์นี้ดูเหมือนเป็นสถานที่ทางศาสนาอะไรสักอย่าง เเต่ทว่ามันไม่ได้อยู่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมใด ๆ ที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น
มันถูกแกะสลักจากหินขนาดใหญ่ เสาทุกต้นและหน้าต่างเเบบกระจกทุกบานถูกสร้างขึ้นอย่างประณีต โบสถ์นั้นมียอดสูงตระหง่านตรงไปบนท้องฟ้า เเลสวยสง่าเกินใคร ในขณะที่มองเขาก็เห็นฝูงนกสีดำบินผ่านหลังคาโบสถ์กลายภาพที่งดงามเเละกินใจภาพหนึ่ง
มันจะเป็นศาสนาไปได้อย่างไร? นี่เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการและยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นสถานทีที่งดงามและใหญ่โตเกินกว่ากู้จวินจะคาดการณ์ไว้
เขาคิดว่าบันทึกทั้งสามหน้าจะพาเขาไปโรงพยาบาล ห้องเก็บศพหรือสถานที่ที่ทำหน้าที่คล้ายกันอย่างอื่นสิ!
เเล้วโบสถ์งดงามนี่มันเกี่ยวอะไร?
“อะไรกัน? ความเชื่อมโยงมันอยู่ตรงไหน? เขาจำได้ว่าเขาเเค่เเตะตู้เย็น”
การต่อต้านความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวและในหัวใจ ทำให้ดวงจิตของกู้จวินค่อยๆเข้าใกล้โบสถ์มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินผ่านบันไดที่มีทรงโค้งสูงชวนหวาดเสียวเเละเดินผ่านแถวรูปปั้นอันวิจิตร จากนั้นก็เดินผ่านทางเข้าหลักที่สูงตระหง่าน
เเละในที่สุดเขาก็เข้ามาถึงภายในโบสถ์ และทันใดนั้นเขาก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ร่างกายของเขาเเทบจะเกิดความหนาวสั่นลงมาที่กระดูกสันหลัง
ภายใต้ห้องชั้นในที่สูงตระหง่าน มีภาพเงาเลือนลางนับแสนตนปรากฏอยู่ในโบสถ์อันกว้างขวาง พวกเขาทั้งหมดกำลังหมอบกราบที่พื้นเเละหันหน้าไปทางที่นั่งของพระเจ้าที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา
เเต่นั่นมันไม่เเปลก…ที่จะมีคนหมอบกราบพระเจ้า
เเต่คนกลุ่มนี้กลับปกติอย่างสิ้นเชิงต่างหาก!! ที่ทำให้ทุกอย่างมันดูน่าขนลุก
กู้จวินเห็น…ว่าคนเหล่านั้นบางคนมีแขนบิดเบี้ยว บางคนไม่มีศีรษะ บางคนเหลือเพียงโครงกระดูก
เเม้ว่าพวกเขาจะไม่มีศีรษะก็ตาม เเต่พวกเขาทั้งหมดก็กราบลงกับพื้นอย่างนอบน้อม เเละกู้จวินไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้เลย เห็นเเต่พฤติกรรมที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ กับบุคลิกที่งมงาย ความเคร่งขรึม ความพิลึกพิลั่นและแม้แต่ความบ้าคลั่ง
“ นี่ไม่ใช่ห้องเก็บศพ แต่ที่นี่คือ…” ทันใดนั้นกู้จวินก็นึกคำที่เหมาะสมได้ใหม่
“ใช่! มันคือที่พำนักของคนตาย”
ทันใดนั้นเขาก็จำคำพูดของชายคนหนึ่งที่มาดักพบเขาในวันนั้น
“ ความตาย? ไม่! นายไม่เข้าใจ”
น้ำเสียงขี้เล่นของชายคนนี้เมื่อใช้คำว่า “ ความตาย” ดูเหมือนคำๆนี้จะแสดงให้กู้จวินเห็นถึงความเข้าใจในแนวคิดที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“ความตาย…”
เเละเขาก็นึกถึงต้นไทรมนุษย์พวกนั้นที่อยู๋ในสภาวะที่ตายเเล้ว เเต่พอเขาเห็นคนไร้หัวกำลังหมอบกราบ กู้จวินก็นึกขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด ต้นไทรพวกนั้นตาย..เเล้วจริงๆน่ะเหรอ?
“ ฮ๊ากกก!” หัวใจของกู้จวินกระตุกอีกครั้งและไม่สามารถทนต่อผลกระทบของภาพเหล่านี้ได้อีกต่อไป
ฝ่ามือของเขาดึงออกจากพื้นผิวของตู้เก็บศพ และการมองเห็นนิมิตก็สลายไปทันทีเหมือนควัน
เขาตัวสั่นไปหมดและหายใจไม่ออกอย่างสิ้นเชิง เขาพยายามหมุนขยับตัว แต่ไม่สามารถรักษาสมดุลได้ สุดท้ายเขาล้มลงไปข้างหน้า เเต่ถึงกระนั้นเพื่อพยุงตัวเอง ฝ่ามือของเขาก็ได้กดลงบนพื้นผิวอีกครั้ง แต่คราวนี้ความรู้สึกเย็นยะเยือกได้หายไปและไม่มีภาพลวงตาปรากฏขึ้นอีก
สมุดบันทึกสามหน้าที่อยู่ในความคิดของเขาดูเหมือนจะสูญเสียความแวววาวเเละความชัดเจนไปในระดับหนึ่ง นั่นทำให้เขาสงสัยว่าจำนวนครั้งที่วัตถุที่เกี่ยวข้องสามารถทำให้เกิดภาพลวงตาเเห่งนิมิตได้มันจะจำกัดครั้งใช่ไหม?
เเต่อย่างน้อยตอนนี้…สมุดบันทึกทั้งสามหน้านี้ไม่สามารถทำให้เกิดภาพลวงตาเเห่งนิมิตได้ชั่วคราว
“ ครั้งต่อไปฉันต้องเตรียมยารักษาโรคหัวใจที่ออกฤทธิ์เร็วก่อนที่จะกระตุ้นให้เกิดนิมิตเเล้ว ไม่งั้นตายเเน่!”
กู้จวินกุมหัวใจของเขาและพิงตัวเองกับห้องเก็บศพสักพัก รอให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลงอย่างช้าๆ เขาเหนื่อยล้า แต่เขาไม่สามารถลืมภาพนิมิตในหัวที่เพิ่งเกิดขึ้นไปได้
“ ที่นั่นอยู่ที่ไหน? คนเหล่านั้นบูชาอะไร? ลัทธินั่นเป็นแบบไหน?”
กู้จวินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่สามารถคิดอะไรออกได้ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นห้องเก็บศพ…ใครเขามานั่งคิดในห้องนี้กัน หลังจากหายใจได้แล้วเขาก็หันหลังเเละเดินออกไปข้างนอก
“ เป็นไปได้ไหมที่บริษัทไล่เฉิง และโรคต้นไทร กับคนไม่สมประกอบพวกนั้นเกี่ยวข้องกับลัทธิ?” กู้จวินคิดในขณะที่เดินไปด้วย “ เเละลัทธินั่นมีทั้งพระเจ้าเเละผู้ศรัทธาจำนวนมาก” ความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเขา “ บริษัทไล่เฉิงอาจเป็นลัทธิลับๆใช่หรือไม่? แม่กับพ่อ…พวกเขาเป็นสมาชิกของลัทธิหรือเปล่านะ?”
ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ความหนาวเย็นก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขามากขึ้นเท่านั้น พวกลัทธิลึกลับมักให้ความสำคัญกับมรดกของครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น
เป็นไปได้ไหมว่าฉันถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าไว้ว่าจะเป็นสมาชิกของไล่เฉิงตั้งเเต่ที่ฉันยังไม่ทันเกิด
“ หมอ? คุณเป็นหมอหรือเปล่า?” ลุงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาถามเสียงดังขัดจังหวะความคิดของกู้จวิน “ คุณมาทำอะไรที่นี่!?”
“ อ้อ! โทษที ฉันหลงทางน่ะ” กู้จวินไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเพียง เพียงแต่เขาเร่งฝีเท้าและเดินออกจากลานจอดรถชั้นใต้ดินอย่างรวดเร็ว
เขาจ้องมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เขาสัมผัสได้ถึงความโดเดี่ยวเเละภาระอันหนักอึ้งบนเส้นทางมองไม่เห็น
ดวงดาวจำนวนมากสลายหายไปจนกลายเป็นพระเจ้าอันเเสนสูงส่งเเละน่าหวาดผวา ภาพของลัทธิยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เขาจ้องมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนเพื่อหาคำตอบ แต่สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือตัวเขาเองที่คุกเข่าอยู่ใต้ห้องชั้นในพร้อมกับพ่อแม่และสาวกผู้เคร่งศาสนาคนอื่น ๆ
กู้จวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู เเละตอนนี้เป็นเวลาตอนเย็นเกือบ 2 ทุ่มเเล้ว
ในที่สุดก็มีการอัปเดตใหม่ ๆ ในกลุ่มวีเเชทของศาสตราจารย์กู้สักที เเละสิ่งที่อัปเดตก็คือสถานที่จัดเลี้ยงอาหาร บรรดาเพื่อนๆต่างรับรู้กันหมดเรียบร้อย
“ โอเค! ฉันกำลังไป” กู้จวินตั้งสติแตะแป้นพิมพ์และส่งข้อความในวีเเชทกลุ่ม
กู้จวินเดินออกไปไม่ไกลจากถนนด้านนอกจัตุรัสหน้าทางเข้าหลักของโรงพยาบาล เขาโบกมือขึ้นรถแท็กซี่และมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหาร
ในขณะที่เขากำลังนั่งรถนั้น หัวใจที่เต็มไปด้วยยเเรงบีบอัด คล้ายมันจะเต็มไปด้วยโพรงที่ว่างเปล่าเเละโหวงเหวง อนาคตกู้จวินไม่รู้เเน่ชัดว่ามันจะจบอย่างไร