ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1068 ตัวเบี้ยของแต่ละฝ่าย อันธการแผลงฤทธิ์
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 1068 ตัวเบี้ยของแต่ละฝ่าย อันธการแผลงฤทธิ์
บทที่ 1068 ตัวเบี้ยของแต่ละฝ่าย อันธการแผลงฤทธิ์
พันปีให้หลัง หานเจวี๋ยสิ้นสุดการเทศนาธรรม เขามองไปที่ซูฉี พบว่าถึงแม้ตบะของซูฉีจะก้าวหน้าแต่ก็เชื่องช้ามาก
ดูเหมือนมรรคาสวรรค์จะทำให้ซูฉีหย่อนยานจริงๆ
ต้องทำอย่างไรถึงจะกระตุ้นซูฉีขึ้นมาได้
หานเจวี๋ยพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ส่งซูฉีไปที่วังจักรพรรดิมหาโชค จากนั้นก็ปลดปล่อยโชคร้ายออกมาอีกครั้งทำให้จำเป็นต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปเรื่อย เช่นเดียวกับอดีตกาลเมื่อครั้งอยู่ในโลกมนุษย์
พอคิดได้เช่นนี้หานเจวี๋ยก็ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน เหล่าเชื้อสายยังคงจมจ่อมในสภาวะตระหนักมรรคไม่ได้สติกลับมา
หานเจวี๋ยพาซูฉีเคลื่อนย้ายมายังอารามเต๋าของอาณาเขตเต๋าหลัก รอจนซูฉีได้สติกลับมาเขาถึงมอบหมายภารกิจนี้ให้ซูฉี
“ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะทนยอมรับความลำบากยิ่งยวดได้หรือไม่ ข้าจะส่งเจ้าไปที่วังจักรพรรดิมหาโชคให้ได้แย่งชิงโอกาสวาสนา วันหน้าจะคอยเข้าฝันเทศนาธรรมให้เจ้า”
หานเจวี๋ยเอ่ยออกไป ซูฉีได้ฟังก็เงยหน้าขึ้น แสดงสีหน้าดีใจกล่าวไปว่า “ว่าไปแล้วก็น่าละอาย แต่ศิษย์ก็คิดเช่นนี้ขอรับ หากว่ามุ่งเพียรบำเพ็ญ ในแง่ของคุณสมบัติไม่มีทางไล่ตามใครเขาทัน มีเพียงต้องไขว่คว้าหาโอกาสวาสนาถึงจะพอมีโอกาส”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างมีนัย “ยุคสมัยไร้สิ้นสุดใกล้จะมาถึงแล้ว จะมีโอกาสวาสนานับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาจริงๆ แต่เจ้าจงอย่าปล่อยให้ถูกคนอื่นหลอกใช้เหมือนในมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตอีก หากถูกวางแผนเล่นงานไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็จงมาเข้าฝันข้า”
ซูฉีละอายใจ รีบเอ่ยไปว่า “ศิษย์ไม่มีทางพลาดท่าซ้ำรอยเดิมอีก หากศิษย์เผชิญปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้จะติดต่อมาหาท่านแน่นอนขอรับ ไม่มีทางฝืนตัวเองอีก”
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ข้าเตรียมจะทำให้พลังมหามรรคแห่งเทพมารมรณะของเจ้าหลุดพ้นจากการควบคุม เช่นนี้เจ้าจะก้าวข้ามขีดจำกัดที่คอยควบคุมอยู่ ส่วนความทรงจำในส่วนนี้ข้าจะลบออกไปด้วย รอให้เจ้าประสบความสำเร็จกลับมาแล้วค่อยคืนให้เจ้า”
ซูฉีผงะไปเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของหานเจวี๋ยได้ในชั่วพริบตาจึงเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหาขอรับ ให้ศิษย์ได้เผชิญความลำบากบ้างก็ดี จะได้ระลึกถึงความรู้สึกในอดีต ทำให้ศิษย์ตื่นตัวขึ้นมา”
ท่าทางที่เปี่ยมด้วยความฮึกเหิมของซูฉีทำให้หานเจวี๋ยชื่นชมนัก
ไม่เลวเลย
“เจ้าฝึกบำเพ็ญไปสักระยะก่อนเถอะ ข้าจะส่งร่างแยกมาคอยชี้แนะเจ้าโดยเฉพาะ อีกหมื่นปีให้หลังค่อยออกเดินทาง”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างใช้ความคิด ซูฉีย่อมไม่คัดค้าน สำหรับเขาระยะเวลาหมื่นปีไม่นานเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยจึงทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งให้อยู่กับซูฉี ใช้พลังปฐมยุคของตนไว้คอยหนุนพลังมหามรรคแห่งเทพมารมรณะ ต้องการกระตุ้นให้ดาวนำเคราะห์ในอดีตหวนตื่นขึ้นมา
ส่วนร่างจริงหลังจากกลับไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม หานเจวี๋ยก็เริ่มตรวจดูจดหมาย
ยังคงโกลาหลเช่นเดียวกับที่ผ่านมา หลังสิ้นสุดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลก็ไม่ได้ก่อให้เกิดมรสุมที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้น ความสนใจของสรรพสิ่งยังจดจ่ออยู่กับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าผานกู่และหงจวินเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้ว เขามองเห็นว่าดวงชะตาของสองคนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลฉับพลัน
ดูเหมือนทั้งสองก็คิดจะฝ่าเคราะห์เช่นกัน
หลังจากตรวจดูจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อไป
หมื่นปีต่อมา ซูฉีที่ถูกร่างแยกของหานเจวี๋ยลบความทรงจำแล้วออกจากมรรคาสวรรค์มุ่งหน้าไปยังวังจักรพรรดิมหาโชค
ซูฉีเพียงลืมเลือนไปว่าโชคร้ายของตนถูกหานเจวี๋ยบังคับกระตุ้นขึ้นมาจนเสียการควบคุม ตอนนี้ยังคงเสถียรอยู่มั่นคงอยู่ แต่ขอเพียงเผชิญศึกใหญ่ร้ายแรง ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ก็จะเสียการควบคุมไปอย่างง่ายดาย ไม่อาจยับยั้งไว้ได้อีก
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะหานเจวี๋ยหวังจะกลบเกลื่อนให้มิดชิด เพราะหากเสียการควบคุมโชคร้ายแล้วมุ่งหน้าไปที่พ้นนิวรณ์เลยจะดูจงใจเกินไป
หากปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อนเช่นนั้นก็ยังพอว่ากันได้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่ในฟ้าบุพกาลเท่านั้น ในพ้นนิวรณ์ก็เกิดเคราะห์ใหญ่ขึ้นเช่นกัน เกิดความวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ผู้แข็งแกร่งที่ถูกบีบคั้นจนบ้าคลั่งมีอยู่นับไม่ถ้วน มีกระบวนการวิวัฒนาการไปเช่นนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไป
สิบล้านปีผ่านไปเร็วยิ่ง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขามีอายุหนึ่งร้อยแปดสิบล้านปีแล้ว ได้รับสวรรค์ประทานโชคมาหนึ่งครั้งตามปกติ
เขาทอดสายตามองทะลุฟ้าบุพกาล ผ่านร้อยแตกร้าวขนาดใหญ่ในฟ้าบุพกาลไปสอดส่องพ้นนิวรณ์ พบว่าซูฉีบรรลุสู่ยอดมหามรรคแล้ว โชคร้ายปะทุขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เกิดชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นในพ้นนิวรณ์ตั้งแต่หลายล้านปีก่อน ว่ากันตามจริงเป็นชื่อเสียงในทางเลวร้าย
หลังจากเข้าร่วมวังจักรพรรดิมหาโชค ซูฉีรับศิษย์ไว้คนหนึ่ง ต่อมายามออกไปทำศึกด้านนอกศิษย์คนนั้นสิ้นชีพอย่างน่าอนาถ ทำให้ซูฉีโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดจากนั้นโชคร้ายก็ระเบิดขึ้นมา หลังจากรับรู้ได้ว่าไม่สามารถยับยั้งโชคร้ายของตนไว้ได้อีกต่อไปเขาก็ออกจากวังจักรพรรดิมหาโชค เริ่มออกท่องพ้นนิวรณ์ด้วยตัวคนเดียว ทุกแห่งที่สัญจรผ่านล้วนมีโชคร้ายเข้าครอบงำ ดวงดาวแห้งแล้งพลังวิญญาณเหือดหาย สิ่งมีชีวิตยากจะรับไหว
หานหลิงและหานฮวงพยายามหาทางช่วยเหลือเขา แต่พลังของพวกเขาไหนเลยจะเทียบกับพลังปฐมยุคของหานเจวี๋ยได้
ถึงแม้ความทรงจำบางส่วนของซูฉีจะขาดหายไป แต่ก็ตระหนักได้ตามสัญชาตญาณว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของผู้เป็นอาจารย์ ดังนั้นจึงไม่ได้ขอเข้าฝันหานเจวี๋ยเลย เขายังไม่เผชิญกับสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังสุดขีด ตัวเขาในปัจจุบันนี้มิใช่ตัวเบี้ยที่คนอื่นจะบงการได้เหมือนในอดีตแล้ว ด้วยตบะระดับยอดมหามรรคย่อมสามารถออกท่องอวกาศได้แน่นอน
‘ทำผลงานได้ไม่เลวเลย’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เขามองเห็นร่างแยกของมหาเทวาพ้นนิวรณ์อยู่ภายในพ้นนิวรณ์ด้วย กำลังเผยแพร่มรรควิถีไปทั่วสารทิศ
ดูเหมือนมหาเทวาพ้นนิวรณ์จะไม่แยแสซูฉีเลย
ท่านเจวี๋ยเริ่มทำนายดู พบว่าคนผู้นี้ก็จัดวางตัวเบี้ยไว้ในฟ้าบุพกาล ผลาญนภาและอวิชชาไม่น้อยเลยเช่นกัน กลยุทธ์คล้ายคลึงกับหานเจวี๋ย ต้องการสร้างความวุ่นวายให้ผู้สร้างมรรคารายอื่นเช่นกัน
ไม่ใช่แค่มหาเทวาพ้นนิวรณ์เท่านั้น เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเองก็เดินเกมเช่นนี้
พวกเจ้าเล่ห์ ถึงจะเป็นพันธมิตรกันแล้วก็ยังเล่นเล่ห์เช่นนี้อยู่ดี
หรือว่าข้าจะเป็นต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าอวี้ยวนผู้สืบทอดเจตจำนงเจ้าเอกทัศฟ้าบุพกาลออกจากวังจักรพรรดิมหาโชคแล้ว เขาถูกคนตามไล่ล่า จับผลัดจับผลูทะลุผ่านเข้าสู่ยมโลกแห่งโลกปฐมยุคพอดี
นอกจากอวี้ยวนแล้วก็ผู้บำเพ็ญจากโลกมหามรรคอื่นๆ เข้าสู่โลกปฐมยุคเช่นกัน
ถึงแม้โลกปฐมยุคจะพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า แต่ปราณปฐมยุคสามารถสะกดตบะของผู้รุกรานจากภายนอกได้ ดังนั้นคนพวกนี้ที่แทรกซึมเข้าไปจึงไม่อาจก่อความวุ่นวายได้ในขณะนี้ ล้วนทำตัวรู้กฎเกณฑ์ยิ่ง ซ่อนตัวฝึกบำเพ็ญอยู่ตามหลืบมุมต่างๆ
พวกเขาไม่ทราบว่าตนคือตัวเบี้ย หลงนึกไปว่านี่คือโอกาสวาสนาของตน
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ว่าจะโยนพวกเขาออกไปดีหรือไม่ แต่พอลองไตร่ตรองดูอีกที ทำเช่นนี้จะล่วงเกินเหล่าผู้สร้างมรรคารวมถึงเจ้านวฟ้าบุพกาลด้วย อีกอย่างตัวเบี้ยเหล่านี้ก็ไม่อาจคุกคามโลกปฐมยุคได้อยู่แล้ว หานเจวี๋ยสามารถกำจัดพวกเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ
‘รากฐานของโลกปฐมยุคคงไม่ได้ทำให้พวกเขาเกิดความหวาดระแวงขึ้นมากระมัง’
หานเจวี๋ยคิดด้วยความฉงน
โลกปฐมยุคของเขาหาได้ธรรมดาไม่
หากใคร่ครวญดูให้ดีก็น่าจะสังเกตเห็นได้ มิเช่นนั้นคงไม่ส่งตัวเบี้ยมามากมายขนาดนี้
‘ไม่ได้การแล้วจริงๆ ต่อไปต้องสาปแช่งคนสักหน่อยแล้ว ส่วนข้าก็จะแสร้งทำเป็นถูกสาปแช่งด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาจะได้ไม่มีเวลามาสนใจข้า’
ดวงตาหานเจวี๋ยเปล่งประกาย
หากมีศัตรูร่วมที่แข็งแกร่งกว่าถึงจะทำให้กลุ่มพันธมิตรเป็นปึกแผ่น
หานเจวี๋ยไปเข้าฝันมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญก่อน บอกว่าตนถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดรอยปริร้าวในโลกปฐมยุคเล็กน้อย เพื่อให้อยู่ในภาพเดียวกันกับฟ้าบุพกาล
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเอ่ยปลอบเขาเล็กน้อย ให้เขาสงบจิตสงบใจไว้
หลังสิ้นสุดแดนความฝัน หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าหลัก นำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญ
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญอ่อนแอเกินไปแล้ว
หานเจวี๋ยเสียอายุขัยไปเพียงหนึ่งล้านล้านล้านปีก็ทำให้มรรคจิตของมหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเกิดความเสียหายได้
เขาสาปแช่งเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลต่อ สาปแช่งจนมรรคจิตของเขาได้รับความเสียหายเช่นกัน จากนั้นถึงได้เก็บหนังสือแห่งความโชคร้ายไป
หลายพันปีต่อมา มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเรียกพวกเขาไปรวมตัว
ยังคงเป็นห้วงมิติลึกลับแห่งนั้น
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญถามเสียงเครียด “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการลงมือกับพวกเราแล้ว มีใครถูกสาปแช่งหรือไม่”
เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกล่าวว่า “ข้าถูกสาปแช่งแล้ว”
มหาเทวาพ้นนิวรณ์เอ่ยต่อว่า “ข้าก็เช่นกัน”
เช่นกันกับแม่เจ้าสิ เสแสร้งเก่งโดยแท้ ผู้เฒ่าหาได้สาปแช่งเจ้าไม่!
หานเจวี๋ยค่อนแคะอยู่ในใจ สีหน้าเขาดูน่าเกลียดมากเช่นกัน ทว่าก็ไม่ปริปากเลยสักคำ