ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1085 เจวี๋ยอี้
บทที่ 1085 เจวี๋ยอี้
เมื่อเผชิญหน้ากับการขอเข้าฝันของเจ้านวฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยค่อนข้างลังเล
เขารู้ดีว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลมาทวงตัวคน
‘ตอนนี้ข้าสามารถสยบเจ้านวฟ้าบุพกาลได้เหมือนที่สยบจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์หรือไม่’
หานเจวี๋ยถามในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่ได้]
‘ข้าสามารถเอาชนะเจ้านวฟ้าบุพกาลได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าล้านล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ได้]
หานเจวี๋ยไม่รู้สึกดีใจเลย เขาคิดเช่นนี้แต่แรกแล้ว แต่กันไว้ดีกว่าแก้ดังนั้นจึงหาข้อยืนยันอีกเล็กน้อย
[เจ้านวฟ้าบุพกาลต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
มาอีกแล้ว!
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเลือกยอมรับ
ในแดนความฝัน ยังคงเป็นฉากดินแดนเวิ้งว้าง
หานเจวี๋ยมองเห็นเจ้านวฟ้าบุพกาลแล้ว ยังคงลึกลับมากเช่นเดิม ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการสาปแช่งและจิตมารเลย
เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยถาม “จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์เล่า ปล่อยตัวเขาซะ”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ข้าประลองกับเขา ถูกชะตาแต่แรกพบจึงเชิญมาเป็นแขกที่อาณาเขตเต๋า”
หากเจ้าแน่จริงก็บุกเข้ามาในอาณาเขตเต๋าของข้าสิ!
เขาเชื่อว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลก็เคยคิดจะบุกเข้ามาในอาณาเขตเต๋ามาก่อน เพียงแต่บุกเข้ามาไม่ได้
“เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยเขาออกมาก่อน ข้ามีธุระกับเขา” เจ้านวฟ้าบุพกาลบีบบังคับ
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ไม่ได้ ผ่านไปอีกสักระยะค่อยว่ากัน”
วูม!
แดนความฝันตกอยู่ในความเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เลย
หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่ากระแสพลังของเจ้านวฟ้าบุพกาลเริ่มปั่นป่วนแล้ว ดูเหมือนการปรากฏตัวขึ้นของจิตมารจะทำให้เขาไม่สุขุมเยือกเย็นเช่นในกาลก่อน
หานเจวี๋ยก็ไม่ร้อนใจเช่นกัน เลือกจะกดดันเจ้านวฟ้าบุพกาลกลับ
ในแง่ของแรงกดดัน เจ้านวฟ้าบุพกาลน่าจะทรงพลังที่สุด เพราะเขาเริ่มจะคุมพลังของตนไม่อยู่แล้ว
เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้ รอเขาออกมาแล้วค่อยให้เขามาพบข้า”
แดนความฝันพังทลายลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สีหน้าลุ่มลึกขึ้นมา
ดูเหมือนเจ้านวฟ้าบุพกาลจะยังไม่สูญเสียสติสัมปชัญญะไป
คาดว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลคงกำลังรอคอยให้ยุคสมัยไร้สิ้นสุดมาถึงอยู่ บังคับพิสูจน์เทพผู้สร้างแล้วค่อยลงมือ
หานเจวี๋ยก็จัดการเขาได้ยากเช่นกัน เขาไม่สามารถสังหารเจ้านวฟ้าบุพกาลได้ ถึงขั้นที่ไม่สามารถสะกดข่มเจ้านวฟ้าบุพกาลได้ หากทั้งสองเปิดฉากต่อสู้กันจะยืดเยื้อไม่มีสิ้นสุด จะต้องคอยระแวงกันและกันอยู่ตลอด สงบใจฝึกบำเพ็ญไม่ได้ทั้งคู่
สถานการณ์ตอนนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว
จากนั้นก็ต้องรอดูว่าใครจะทะลวงระดับได้ก่อน
หานเจวี๋ยค่อยๆ หลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อไป
ส่วนจอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ถูกผนึกเอาไว้ในปฐมยุคไร้สิ้นสูญ รอถูกสยบทาส
….
ดาวเคราะห์สีแดงขนาดใหญ่มโหฬารดวงหนึ่งลอยอยู่ในอวกาศอย่างโดดเดี่ยว หมอกแดงลึกลับปกคลุมอยู่รอบข้าง
ภายในดาวเคราะห์
ผืนดินรกร้าง ทว่ามีทะเลสาบน้อยใหญ่มากมายกระจายเป็นหย่อมๆ ผิวทะเลสาบเป็นชั้นน้ำแข็ง ดูแตกต่างจากผืนดินที่ดูราวกับถูกเผาจนไหม้เกรียมอย่างลิบลับ
เด็กชายเผ่ามนุษย์ที่เปลือยเปล่าคนหนึ่งคลานสี่ขาอยู่บนพื้น ท่าทางคล้ายลิงยิ่งนัก บนร่างมีเพียงผ้าเตี่ยวที่ทำขึ้นจากหนังสัตว์ผูกเอวอยู่ ผมเขาสยายรุงรัง ใบหน้าเปื้อนมอมแมม แววตาขุ่นมัวราวกับปกคลุมด้วยฝุ่น
ภายใต้นภากว้าง เด็กชายเผ่ามนุษย์ดูเล็กกระจ้อยร่อยนัก เสมือนมดตัวหนึ่งที่มุ่งหน้าไปอย่างไร้จุดหมาย เดียวดายอ้างว้าง
ไม่รู้ว่าต้องมุ่งหน้าไปอีกนานแค่ไหน เด็กชายเผ่ามนุษย์เหนื่อยแล้ว เขาหยุดลงที่ริมทะเลสาบขนาดเล็กแห่งนั้น เริ่มใช้ลิ้นเลียผิวทะเลสาบที่จับตัวแข็ง ไม่นานนักลิ้นเขาก็แนบติดอยู่กับผิวน้ำแข็ง เขาชักลิ้นกลับตามสัญชาตญาณ ดึงจนเลือดออก เขากลิ้งถอยหลังไปด้วยความเจ็บปวด
เลือดหยดลงบนผิวน้ำแข็ง ละลายเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่ จากนั้นผิวทะเลสาบก็เริ่มหลอมละลาย
ไอน้ำระเหยตัวขึ้นมา เด็กชายเผ่ามนุษย์ไม่ได้สนใจเหตุการณ์นี้เลย เขากำลังกุมปากไว้ เจ็บจนกลิ้งเกลือกไปกับพื้น
รอจนความเจ็บปวดของเขาทุเลาลง เขาถึงค่อยๆ หันกลับมา ผลคือได้เห็นฉากที่ทำให้เขาตกตะลึง
คลื่นทะเลสาบส่องระยิบระยับ สายลมพิสุทธิ์แผ่วเบาโชยปะทะหน้า ทำให้เขาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
เด็กชายเผ่ามนุษย์พุ่งตัวเข้าไปทันที หมอบอยู่ริมทะเลสาบ ก้มดื่มน้ำอย่างหิวกระหาย เส้นผมเปียกโชกไปหมด
เวลานี้เอง เสียงหนึ่งแว่วเข้ามา “เจ้าเดินเท้ามาถึงที่นี่ ปรารถนาสิ่งใดเล่า”
เด็กชายเผ่ามนุษย์เงยหน้าขึ้นทันที เห็นเพียงว่ามีชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้าง กำลังลูบเคราแย้มยิ้มอยู่
เป็นหานโยวหัวหน้าเผ่าเอกา ตอนนี้เขาผสานรวมกับดวงชะตาปฐมยุคอย่างสมบูรณ์แล้ว กลายเป็นสิ่งมีชีวิตปฐมยุค
เด็กชายเผ่ามนุษย์ร้องอู้ๆ อ้าๆ วาดมือวาดไม้ ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
หานโยวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอยากแสวงมรรค อยากเหาะเหินดำดินได้อย่างนั้นหรือ”
เด็กชายชาวมนุษย์พยักหน้าหงึกๆ สุดชีวิต
หานโยวมองพินิจเขา เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ไม่คิดเลยว่าโลกปฐมยุคจะสามารถให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตอย่างเจ้าได้แล้ว ข้าจะมอบฐานะเผ่ามนุษย์ให้เจ้า เจ้าจะกลายเป็นบรรพบุรุษแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์”
บรรพบุรุษหรือ
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ไม่เข้าใจ แต่รู้สึกได้ว่าเป็นเรื่องดีจึงดีอกดีใจยิ่งนัก เริ่มเดินวนรอบตัวหานโยว ยกมือเกาหูเกาหัวเป็นระยะ ดึงขากางเกงหรือเข็มขัดเขาเป็นครั้งคราว
หานโยวสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าสู่หน้าผากของเด็กชาย
เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นิ่งงั้น
ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้สติกลับมา มองไปที่หานโยวแล้วเอ่ยถาม “ท่านเก่งกาจมากหรือไม่ สามารถเหาะเหินเดินอากาศแยกฟ้าผ่าปฐพีได้หรือไม่”
เห็นได้ชัดยิ่งนักว่าเขาเคยพบเห็นความเก่งกาจของผู้บำเพ็ญในโลกปฐมยุคมาก่อน
หานโยวเอ่ยยิ้มๆ “ย่อมได้ ข้าสามารถสอนให้เจ้าได้”
“จริงหรือ”
“เจ้าเดินเท้ามาจนถึงที่นี่ได้ นับว่ามีเจตจำนงแน่วแน่ แต่ข้าก็หวังว่าระหว่างฝึกบำเพ็ญเจ้าจะใคร่ครวญเข้าใจถึงความหมายในการดำรงอยู่ของตนอย่างถ่องแท้เช่นกัน”
หานโยวเอ่ยอย่างจริงจัง เด็กชายคล้ายจะเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
เห็นเขาดูใสซื่อขนาดนี้ หานโยวได้แต่ถอนหายใจ
นี่คือมนุษย์คนแรกของโลกปฐมยุค
ในมรรคาสวรรค์ เผ่ามนุษย์ถูกเจ้าแม่หนี่ว์วาปั้นขึ้นมา แต่ในโลกปฐมยุค นี่คือผลผลิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากธรรมชาติ
เด็กชายเผ่ามนุษย์ไร้บิดามารดา ถูกฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นใต้ทะเลสาบผืนหนึ่ง ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินมาหลายล้านปีแล้ว กายเนื้อพิเศษกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่เขาไม่รู้ว่าต้องโคจรพลังเวทอย่างไรจึงดูคล้ายกับมนุษย์ธรรมดา
หานโยวจูงมือเด็กชายเผ่ามนุษย์ เดินมุ่งหน้าไกลออกไป
“นับจากนี้ไป เจ้ามีนามว่าเจวี๋ยอี้”
“ดีเลยๆ ข้าได้มีชื่อแล้ว”
“ต่อไปให้เรียกข้าว่าอาจารย์”
“อาจารย์!”
“ศิษย์คนดี”
“อาจารย์ ท่านจะพาข้าไปที่ใด ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะเหาะได้”
“ต่อไปก็จะรู้เอง”
….
สิบล้านปีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น มองปฐมยุคไร้สิ้นสูญที่อยู่ด้านหน้า
จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์ยังไม่ถูกสยบทาส สมกับเป็นตัวตนระดับผู้สร้างมรรคาระยะกลาง
แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาก็รอไหวอยู่แล้ว
หานเจวี๋ยเริ่มตรวจดูจดหมาย
หลายล้านปีที่ผ่านมา หลี่เต้าคง จ้าวซวงเฉวียนและจี้เซียนเสินใช้ชีวิตโลดโผนเป็นพิเศษ
กับสองคนแรกหานเจวี๋ยพอจะเข้าใจได้ แต่จี้เซียนเสินกลับทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
ไม่ทันรู้ตัวจี้เซียนเสินก็บรรลุยอดมหามรรคแล้ว เขาเดินทางข้ามกาลเวลาและแม่น้ำดวงชะตาอยู่ตลอด ดูดซับพลังห้วงกาลเวลา ยังไม่เคยหวนกลับสู่ฟ้าบุพกาลเลย
จี้เซียนเสินดำดิ่งอยู่กับการย้อนอดีตข้ามอนาคต เขาเคยไปท้าสู้กับเหล่าจื่อในอดีต ผลคือถูกเหล่าจื่อตัดข้ามกาลเวลา เกือบจะถูกสังหารแล้ว
ส่วนที่ว่าเหตุใดถึงไม่ได้สังหาร คาดว่าคงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าหานเจวี๋ย นับจากนั้นจี้เซียนเสินจึงไม่กล้าไปยุ่งเรื่องในอดีตอีกเลย อย่างมากก็แค่ไปดูดซับพลังเท่านั้น
ส่วนในอนาคต จี้เซียนเสินยิ่งไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวาย
ด้วยประสบการณ์ของจี้เซียนเสิน หานเจวี๋ยยังคงมีความคาดหวังนัก
เขาก็อยากเห็นว่าในหมู่ศิษย์ของตนจะมีตัวตนที่พึ่งพาเพียงกำลังของตนจนผงาดขึ้นมาอยู่หรือไม่
ถึงแม้พลังวิญญาณในอาณาเขตเต๋าจะมีเหลือเฟือ แต่หลังจากบรรลุระดับยอดมหามรรค การบำเพ็ญจะขึ้นอยู่กับโชควาสนาของตน มิใช่เพียรบำเพ็ญแล้วจะบรรลุได้
หานเจวี๋ยจับสัมผัสพลังเวทของจี้เซียนเสินดูเล็กน้อย ใกล้จะไล่ตามเต้าจื้อจุนทันแล้ว