ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 1104 เทพสังหารและอริยะทรงธรรม
บทที่ 1104 เทพสังหารและอริยะทรงธรรม
เมื่อมองเห็นเงาร่างเหล่านั้นที่ยืนอยู่ปลายขอบฟ้าทั่วสารทิศ หานเจวี๋ยที่ปลดปล่อยด้านมืดในจิตใจออกไปแล้วพลันรู้สึกเบื่อหน่าย เขาโบกมือขวาเล็กน้อย เงาร่างเหล่านั้นล้วนร่างสิ้นวิญญาณสลายไปจนหมด
ไม่ทันจะได้กรีดร้องด้วยซ้ำ!
ตัวตนทรงอำนาจชีวิตยืนยาวที่กุมอำนาจจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก่อคลื่นลมมรสุมในอาณาเขตผลาญนภาเมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยล้วนไร้ซึ่งกำลังต่อต้านขัดขืน
น่าเบื่อหลือเกิน
หานเจวี๋ยเฉยเมยไร้อารมณ์ เดินหน้าต่อไป
เขาเตรียมจะไปเยือนโลกมหามรรคต่างๆ สักรอบ ก่อเหตุสังหาร สร้างชื่อเสียงเหี้ยมโหดให้กระฉ่อนยิ่งขึ้น
[มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
เมื่อเห็นแจ้งเตือนนี้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า หานเจวี๋ยมองข้ามไป มุ่งหน้าต่อไป สังหารเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่อง
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญโกรธเกรี้ยว ไม่สนใจศักดิ์ศรีหน้าตาในฐานะผู้สร้างมรรคาอีก บังคับเคลื่อนย้ายตัวหานเจวี๋ยออกไป แต่เขากลับทำไม่สำเร็จ
“เป็นไปได้อย่างไร…”
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญหน้าเปลี่ยนสี คาดเดาฐานะของอีกฝ่ายได้ในทันใด
ผู้สร้างมรรคา!
แต่กลิ่นอายของอีกฝ่ายทำให้เขาแปลกใจ มองไม่ออกอย่างสิ้นเชิงและทำนายถึงพื้นเพของเขาไม่ได้
ความรู้สึกนี้ต่างไปจากที่เขารับรู้ได้จากเจ้านวฟ้าบุพกาล อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล มหาเทวาพ้นนิวรณ์ จอมเทวาวินาศลับเลือนพิสุทธิ์
อีกทั้งพฤติกรรมเช่นนี้…
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!
มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญตกใจกับข้อสันนิษฐานของตน หากเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการจริงๆ เช่นนั้นก็มิใช่ตัวตนที่เขาจะต่อกรได้เลย
เขามุ่งหน้าไปหาเจ้านวฟ้าบุพกาลทันที
….
ในส่วนลึกของดินแดนเวิ้งว้าง มีพฤกษาขนาดใหญ่มโหฬารต้นหนึ่งยืนต้นอยู่บนแผ่นดินผืนหนึ่งที่กำลังล่องลอยอยู่ มีกิ่งก้านสาขามากมาย ทุกกิ่งล้วนมีห้วงมิติแห่งหนึ่งเกาะอยู่ราวกับหยดน้ำ
เจ้านวฟ้าบุพกาลนั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ใต้พฤกษา มหาเทวาผลาญนภาไร้สิ้นสูญเพิ่งจากไป
หมอกสลัวทั่วร่างเจ้านวฟ้าบุพกาลสลายไปแล้ว เผยให้เห็นร่างจริง รูปร่างเขาคล้ายมนุษย์ แต่ใบหน้ากลับแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ผิวพรรณเผือดซีดไร้สีเลือด ไม่มีเครื่องหน้า บนใบหน้ามีส่วนที่ปูดนูนขึ้นมานิดๆ ดูคล้ายจะเป็นปากกับจมูก ผมยาวราวกับม่านน้ำตกแผ่สยายอยู่ด้านหลังเสื้อคลุมอย่างสบายๆ
เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ดูคล้ายคลึงกับเจ้านวฟ้าบุพกาลอย่างยิ่ง เขาจ้องมองเจ้านวฟ้าบุพกาลพลางเอ่ยถาม “ยังฝ่าทะลวงไม่ได้อีกหรือ รูปการณ์ของฟ้าบุพกาลวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ซ้ำยังมีผู้สร้างมรรคาปรากฏขึ้นมาอีกคน สถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว”
เงาร่างนี้คือเจตจำนงของเจ้าเอกทัศฟ้าบุพกาล
เจ้านวฟ้าบุพกาลถอนหายใจขณะเอ่ยไปว่า “ตบะของข้าไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย หากต้องการฝ่าทะลวงจำเป็นต้องพึ่งโอกาสวาสนาประการหนึ่ง หากว่ากันตามหลักการแล้ว เมื่อบรรลุถึงระยะสมบูรณ์ก็ฝ่าทะลวงสู่ระดับที่สูงกว่าได้เลย แต่ข้ากลับทำไม่ได้ อาจเป็นเพราะยุคสมัยไร้สิ้นสุดยังมาไม่ถึงหรือไม่ก็ไม่มีระดับที่สูงไปกว่านี้แล้ว”
เจ้าเอกทัศฟ้าบุพกาลเงียบไป
ผ่านไปนานพักใหญ่
เจ้าเอกทัศฟ้าบุพกาลเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากไม่มีระดับที่สูงไปกว่านี้แล้ว เจ้าจะจัดการสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้อย่างไร ผู้สร้างมรรคาไม่อาจเข่นฆ่ากันเองได้”
“เช่นนั้นก็ทำได้เพียงใช้ประโยชน์จากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ใช้อำนาจเข้าสะกดควบคุม หากว่าแม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจฝ่าทะลวงได้ อริยะสวรรค์ผู้นั้นก็ไม่มีทางทะลวงได้ เขาเยาว์วัยเกินไป ผู้สร้างมรรคารายอื่นก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ตัวตนที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นภัยคุกคามคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการรวมถึงอาณาเขตเต๋าของอริยะสวรรค์ เจ้าแดนต้องห้ามอันธการกล้าเพียงสาปแช่งเท่านั้น แปลว่ามีพลังไม่มากพอ ส่วนอาณาเขตเต๋าของอริยะสวรรค์สามารถสกัดการสอดส่องของข้าได้ อีกทั้งข้าไม่อาจบุกเข้าไปได้ ไฉนจึงมีตัวตนเช่นนี้อยู่ได้ ข้าไม่เข้าใจเลย”
เจ้านวฟ้าบุพกาลเอ่ยเสียงขรึม เขาได้เห็นช่วงเวลาที่หานเจวี๋ยข้ามผ่านจากยุคฟ้าบุพกาลที่แปดกลับชาติมาเกิดในฟ้าบุพกาลยุคปัจจุบัน จึงแน่ใจว่าหานเจวี๋ยไม่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ลึกล้ำไปกว่านี้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าอาณาเขตเต๋าคือยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง ไม่ได้มาจากพลังของตัวหานเจวี๋ยเอง
เช่นเดียวกันกับที่อริยะคิดว่ามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอดีตชาติอันโดดเด่น ไม่มีทางที่จะถือกำเนิดขึ้นมาก็สามารถพิสูจน์มรรคได้เลย
เจ้าเอกทัศฟ้าบุพกาลไม่พูดมากอีก เขาเพียงเลือกเชื่อในตัวเจ้านวฟ้าบุพกาล
สิ่งที่แม้แต่เจ้านวฟ้าบุพกาลยังมองไม่ออก เขาย่อมยากที่จะเข้าใจได้
….
ณ อนธการ
สิงหงเสวียนเหยียบเมฆาทะยานมุ่งหน้าไป ความเร็วไม่นับว่ารวดเร็วนัก ร่อนลงหน้าตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง
ป้ายเหนือประตูตำหนักสลักอักษรไว้ ตำหนักฤดูงาม
“สาวน้อยตัวแสบ ออกมารับความตายเดี๋ยวนี้!”
สิงหงเสวียนตะโกนกร้าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง เพิ่งสิ้นเสียง เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นรอยกายนาง ปิดล้อมนางเอาไว้
เงาร่างเหล่านี้คือองครักษ์ของเทพธิดาหมิงจี้ ส่วนเหล่าผู้บำเพ็ญอนธการที่อยู่ใต้สังกัดหานฮวงล้วนไม่กล้าเข้ามาขวาง ถึงปล่อยให้นางเข้ามาถึงที่นี่ได้
“ช้าก่อน”
เสียงของเทพธิดาหมิงจี้แว่วลอยมา ห้ามปรามเหล่าองครักษ์ที่กำลังจะลงมือ
ประตูตำหนักฤดูงามเปิดออก เทพธิดาหมิงจี้ผู้สง่างามทรงอำนาจเดินออกมา
เหล่าองครักษ์ถอยเปิดทางให้ สองสตรีเผชิญหน้ากัน
เทพธิดาหมิงจี้เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าก็สมควรจะเรียกขานท่านว่าท่านแม่ ยามนี้ข้าแต่งงานกับท่านพี่แล้ว นับเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว ท่านแม่ ท่านยังถือสาหาความอีกหรือ”
สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องการสังหารข้ามิใช่หรือ ตอนนี้มาเรียกท่านแม่ เจ้าไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนบ้างหรือไร”
“เช่นนั้นท่านต้องการอะไร”
“ข้าก็ต้องการสังหารเจ้าอย่างไรเล่า”
“ฮ่าๆ ท่านมีฝีมือเท่านี้น่ะหรือ ไปเสียเถิด เห็นแก่หน้าของท่านพี่ ข้าจะไม่เอาความเรื่องนี้”
“เรื่องวิวาห์ต้องได้รับความเห็นชอบจากบุพการี พวกเจ้าได้รับความเห็นชอบจากพวกเราแล้วหรือ”
“ท่าน…ท่านก้าวก่ายบงการท่านพี่ของข้าได้หรือ”
“ก้าวก่ายไม่ได้ แต่ข้าจัดการเจ้าได้”
พอได้ยินเช่นนี้ เทพธิดาหมิงจี้พลันบันดาลโทสะ ตวาดออกไป “เช่นนั้นเจ้าก็ลองเข้ามาจัดการข้าดูสิ!”
สิงหงเสวียนพลันกระตุ้นความคิด เส้นผมของเทพธิดาหมิงจี้กลายเป็นผมหงอกอย่างรวดเร็ว ผิวพรรณเริ่มแห้งเหี่ยว ความสดใสมีชีวิตชีวาเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้า…”
เทพธิดาหมิงจี้เบิกตากว้าง นางโคจรพลังเวท ต้องการสกัดกั้นอาการผิดปกติของร่างกาย แต่กลับขวางไว้ไม่อยู่
องครักษ์รอบกายต่างก็ตกใจเช่นกัน เทพธิดาหมิงจี้เป็นถึงอริยะมหามรรค ไฉนจึงพลาดท่าได้ง่ายๆ เล่า
พวกเขามองเห็นไม่ชัดเจนเลยว่าสิงหงเสวียนลงมืออย่างไรกันแน่
สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มได้ใจ “เมื่อเจ้าสูญเสียความงามอันยั่งยืนไปแล้ว ดูสิว่าฮวงเอ๋อร์จะยังชอบเจ้าอยู่หรือไม่”
พูดจบนางก็หันหลังจากไป
“จับกุมนางไว้!”
เทพธิดาหมิงจี้กรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่ง เหล่าองครักษ์พากันสำแดงพลังวิเศษ พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้จึงคิดจะสะกดข่มสิงหงเสวียนจากระยะไกล
ผลคือพวกเขาเพิ่งลงมือจู่ๆ ก็กลายเป็นหมอกควันสลายหายไป ร่างสิ้นวิญญาณสลาย
สิงหงเสวียนไม่เอ่ยวาจาใดๆ จากไปอย่างสง่างาม
เมื่อเทพธิดาหมิงจี้เห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงันไป
ในการต่อสู้ที่มรรคาสวรรค์ครั้งก่อน สิงหงเสวียนไม่ได้น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ถึงขั้นที่น่าหวาดหวั่นกว่าสามีของนางเสียอีก เป็นความน่ากลัวที่ลึกล้ำยากจะหยั่งได้ มองออกไม่กระจ่าง
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้
….
ณ อาณาเขตผลาญนภา หานเจวี๋ยเตร็ดเตร่วนเวียน สังหารสิ่งมีชีวิตที่ขวางหูขวางตาไปไม่รู้มากน้อยเพียงใดแล้ว เขาพลันเบื่อหน่ายขึ้นมา
เก็บงำจิตใจด้านมืดของตน เริ่มแสดงเมตตาออกมา
ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกท่องไปทั่วอาณาเขตผลาญนภาอีกครั้ง เมื่อพบเห็นเรื่องราวอยุติธรรมเขาล้วนจะให้ความช่วยเหลือทั้งสิ้น เขาไม่ได้ไล่สังหารยอดมหามรรคหรือสิ่งมีชีวิตสามัญอีก ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้กระทำผิดก็จะสั่งสอนและตักเตือนเท่านั้น
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
ระยะเวลาหลายล้านปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การกระทำของหานเจวี๋ยผ่านการเล่าลือปากต่อปากในหมู่สรรพสิ่ง เขาถูกสรรพสิ่งยกย่องให้เป็นอริยะทรงธรรม
ส่วนตำนานเทพสังหารผลาญนภาก็เริ่มเลือนรางไปแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าไปทวงแค้นกับเทพสังหารผลาญนภา พฤติกรรมของเทพสังหารผลาญนภาและอริยะทรงธรรมนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อผ่านไปนานเข้า หานเจวี๋ยได้รับความเคารพเทิดทูนจากสรรพสิ่งผลาญนภา ตามดินแดนต่างๆ ล้วนมีรูปสลักของเขาตั้งอยู่
หานเจวี๋ยมาเยือนตำหนักที่ร่างแยกของมหาเทวาผลาญนภาพำนักอยู่
ร่างแยกของมหาเทวาผลาญนภามีพลังในระดับค่าตัวมูลค่าเกือบแปดแสนล้านล้านปี อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนคนก่อนหน้านั้นถูกหานเจวี๋ยทำลายไปแล้ว มหาเทวาผลาญนภาจำเป็นต้องผดุงสถานการณ์ไว้จึงสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่
ร่างนี้ก็ยังคงมีนามว่าอู๋เลี่ยงเมี่ยจุน
“ตอนนี้เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้ากระทำต่อผลาญนภา สมควรถูกสังหารหรือถูกแซ่ซ้องกันเล่า” เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้นในหูของอู๋เลี่ยงเมี่ยจุน อู๋เลี่ยงเมี่ยจุนที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ
ทันทีที่เห็นหานเจวี๋ย เขาตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา