ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 201 ภูมิหลังของวังสวรรค์ ศัตรูแข็งแกร่งมาโจมตี
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 201 ภูมิหลังของวังสวรรค์ ศัตรูแข็งแกร่งมาโจมตี
หานเจวี๋ยมองเงาร่างตรงหน้าจั้งกูซิงร่างนั้นอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นเงาแสงสีเงินเงาหนึ่ง มองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจน
แต่หานเจวี๋ยเป็นถึงเซียนลึกล้ำวัฏจักร พอส่งพลังจิตออกไปตรวจดูก็มองทะลุเห็นใบหน้าของคนผู้นี้อย่างชัดเจน
คนผู้นั้นสวมชุดสีแดงทั้งร่าง มีกระบี่วิเศษห้อยอยู่ที่เอว ใบหน้าหล่อเหลา มีลักษณะของการลำพองตนปรากฏบนใบหน้า เขาเองก็กำลังมองสังเกตหานเจวี๋ยอยู่
‘ระดับเซียนแท้ไท่อี่ระยะปลายที่มีอายุสามพันปี?
คุณสมบัติเช่นนี้ดูแคลนไม่ได้จริงๆ’
หานเจวี๋ยแอบชื่นชมอยู่ในใจ
เขากุมมือคารวะกล่าวว่า “ข้าน้อยหานเจวี๋ย คารวะสหายเต๋า”
เงาแสงสีเงินประสานมือคารวะกล่าวว่า “วังเทพ จู้เจี้ยน”
‘จู้เจี้ยน?
ช่างเป็นชื่อที่ดีเสียจริง!’
หานเจวี๋ยไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไร้ความรู้สึกกับเขา
จั้งกูซิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ประเดี๋ยวก็จะถึงงานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนของวังสวรรค์แล้ว ด้วยคุณสมบัติของเจ้า วังสวรรค์ไม่ชวนเจ้าไปหรือ”
หานเจวี๋ยกล่าว “ข้ากลัวความยุ่งยาก คร้านที่จะไป ฝึกฝนอยู่ในบ้านจะดีกว่า”
จู้เจี้ยนยิ้มกล่าว “เป็นเช่นนี้จริงๆ งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนครั้งนี้ จักรพรรดิเทพกระบี่ของวังเทพเราจะต้องโดดเด่นไม่เป็นรองใคร บุตรแห่งสวรรค์ของวังสวรรค์คงไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้”
‘จริงๆ เลย!
งานชุมนุมใหญ่ท้อเซียนในครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นงานชุมนุม แต่วังเทพกลับถือโอกาสโอ้อวด’
ทว่าหานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้กังวลเกินไป
จักรพรรดิสวรรค์กล้าเชื้อเชิญวังเทพมาได้ จะต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโส ข้าขอลาก่อน”
จู้เจี้ยนคารวะจั้งกูซิง จากนั้นก็หันกายจากไป
ดูจากท่าทีเช่นนี้แล้ว ตำแหน่งของจั้งกูซิงในวังเทพคงสูงมากสินะ แม้ว่าจะออกมาแล้วแต่ยังสามารถทำให้บุตรแห่งสวรรค์ของวังเทพเคารพนับถือได้
หานเจวี๋ยคิดเพียงเท่านี้
สำหรับท่าทีของจู้เจี้ยนเขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติมาก
ในเมื่อไม่มีความสนใจที่จะผูกสัมพันธ์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องผูก จู้เจี้ยนเองก็ไม่ได้ล่วงเกินหานเจวี๋ย
หลังจากจู้เจี้ยนหายไปแล้ว จั้งกูซิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คนหนุ่มของวังเทพก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า มักจะเอาแต่ฝึกฝนตลอดทั้งปี ไม่เชี่ยวชาญการคบค้าสมาคม”
หานเจวี๋ยพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยได้อย่างไร”
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านทราบความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิสวรรค์กับยอดแม่ทัพเทพหรือไม่”
“สัมผัสได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ เรื่องที่ว่าจักรพรรดิสวรรค์กับยอดแม่ทัพเทพไม่ถูกกันมีอยู่จริงๆ ยอดแม่ทัพเทพรู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา หลังจากเติบโตขึ้นแล้ว ไม่พอใจกับการตัดสินใจของจักรพรรดิสวรรค์อยู่หลายเรื่อง ประกอบกับมีคุณูปการสูงกว่านาย ทำให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆ คาดเดาไปต่างๆ นานา แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำเล่าลือ ยอดแม่ทัพเทพยังคงอยู่ใต้อาณัติของวังสวรรค์”
จั้งกูซิงตอบกลับ “หากเจ้าเข้าร่วมวังสวรรค์จริงๆ ก็อย่าไปคาดเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งสองจะแตกแยกหรือร่วมมือกันมีเพียงพวกเขาทั้งสองที่รู้ สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ก็คือยอดแม่ทัพเทพฟังคำสั่งจักรพรรดิสวรรค์”
หานเจวี๋ยพยักหน้า เขาเองก็คิดเช่นนี้
จิตใจของจักรพรรดิไม่อาจคาดเดาไปเองได้
ทั้งสองยังพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยก็บอกลาและจากไป
หนึ่งปีให้หลัง หานเจวี๋ยมาที่นี่หลายครั้ง
จั้งกูซิงอดทอดถอนใจไม่ได้
‘ตกลงผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้พิทักษ์แม่น้ำมรรคกระบี่
เหตุใดถึงรู้สึกว่าหานเจวี๋ยเห็นที่นี่เป็นบ้านไปเสียแล้ว’
……
ใช้เวลาไปหนึ่งปี หลังจากยกระดับมรรคกระบี่ของตนเองจนถึงขั้นสูงสุดแล้ว หานเจวี๋ยก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
เขาพบว่ามรรคกระบี่เทียมฟ้าไม่อาจทำความเข้าใจให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ได้แล้ว
มรรคกระบี่นี่ถึงขีดสุดแล้ว หานเจวี๋ยไม่อาจจินตนาการได้ว่าผู้ที่คิดค้นมันขึ้นมาจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด
หานเจวี๋ยนำท้อเซียนออกมา รับประทานหนึ่งลูก
เมื่อเนื้อของมันเข้าสู่ร่างกายก็ละลายเป็นไอเซียนมหาศาลทันที หานเจวี๋ยรีบเคลื่อนย้ายลมปราณทำการกลั่นทันที
หลายวันต่อมา ท้อเซียนถูกย่อยจนหมด
พลังของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นฉับพลัน เหนือกว่าการมุมานะฝึกฝนหลายสิบปี อายุขัยก็เพิ่มขึ้นอีกหมื่นปี
แต่เขายังห่างจากเซียนลึกล้ำวัฏจักรระยะกลางอีกมาก
ความยากของการทะลวงเซียนลึกล้ำนั้นยากกว่าเซียนแท้หลายสิบเท่า!
ดูท่าท้อเซียนไม่มีส่วนช่วยระดับเซียนลึกล้ำมากนัก
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ หากท้อเซียนมีอานุภาพไร้ขีดจำกัด จักรพรรดิสวรรค์อาศัยแค่ท้อเซียนก็สามารถอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิเซียนได้ หรือแต่แม้กระทั่งต้าหลัวก็ไปถึงได้
หานเจวี๋ยตัดสินใจเก็บท้อเซียนทั้งสามลูกที่เหลือไว้ก่อน หากบังเกิดผลลัพธ์มหัศจรรย์ขึ้นมาเล่า
เขาหยิบเมล็ดท้อเซียนที่กินเหลือขึ้นมา จากนั้นให้อู้เต้าเจี้ยนนำไปฝังไว้ใต้ต้นฝูซัง
หากสามารถปลูกต้นท้อเซียนขึ้นมาได้เล่า
มนุษย์ย่อมมีความฝัน!
ต่อให้จะไม่ประสบผลสำเร็จก็ไม่เป็นไร
อู้เต้าเจี้ยนทำตามที่เขาบอก
หานเจวี๋ยฝึกฝนต่อ
……
สิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยหยุดฝึกฝนกลางคัน และนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งศัตรู
ขณะที่สาปแช่งไปนั้นก็ตรวจสอบจดหมายไปด้วย
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลัง แสดงพลังวิเศษมิติหลบหนี ออกไปจากโลกมนุษย์อย่างไม่คาดคิด]
[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x289004
[จักรพรรดิปีศาจจิ้งจอกดำศัตรูของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย]
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพเซียน] x67
[หลงซั่นสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[จักรพรรดิเทพกระบี่สหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทพเซียน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย นักพรตเต๋าตันชิงอายุขัยลดลงหมื่นปี โอกาสในการเผชิญกับเคราะห์ใหญ่ของหมู่เกาะเซียนมังกรเพิ่มมากขึ้น]
……
อ่านไล่ลงมาตลอดทาง ทั้งหมดล้วนบาดเจ็บสาหัส
‘อันตรายยิ่งนัก!’
หานเจวี๋ยเห็นว่าจักรพรรดิเทพกระบี่บาดเจ็บสาหัส ตนเองก็โล่งใจไปเล็กน้อย
นี่แสดงว่าวังสวรรค์ไม่ได้ถูกวังเทพกดขี่
เขาไม่อยากให้วังสวรรค์ถูกวังเทพควบคุมในช่วงจังหวะที่สำคัญเช่นนี้
แต่เมื่อคิดดูอีกที หานเจวี๋ยกลับคิดว่าความคิดของตนเองนั้นน่าขันยิ่งนัก
นี่คือวังสวรรค์เชียวนะ!
ก่อนที่เขาจะเข้าร่วม วังสวรรค์คือภูเขาใหญ่เพียงใด กดดันจนเขาหายใจแทบไม่ออก
แต่หลังจากเข้าร่วมแล้ว เขากังวลวังสวรรค์อยู่ทั้งวัน
นี่ก็เหมือนกับหลักการที่ว่า กลายเป็นคนเลวแล้วแข็งแกร่ง กลายเป็นคนดีแล้วอ่อนแอ
มีเพียงการกลายเป็นศัตรูเท่านั้น ถึงรู้ชัดถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
“จักรพรรดิเทพกระบี่ถูกใครทำให้บาดเจ็บสาหัส?”
หานเจวี๋ยอยากรู้เป็นอย่างมาก ในจดหมายไม่ได้แจ้งว่าเป็นผู้ใด แสดงว่าไม่มีการคบค้าสมาคมกับหานเจวี๋ย ไม่ใช่ยอดแม่ทัพเทพ
วังสวรรค์ช่างเป็นเสือซุ่มมังกรซ่อนจริงๆ
ขณะที่คิดไปด้วยนั้น หานเจวี๋ยก็สาปแช่งไปด้วย
……
สองปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกฝนอยู่พลันลืมตาในบัดดล
เขาเงยหน้ามองไป สายตามองทะลุเพดานถ้ำ มองเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวบนห้วงอากาศว่างเปล่าเหนือโลกเมฆาแดง
คนผู้นี้สูงร้อยจั้ง เท้าเหยียบอยู่บนร่างมังกรที่ยาวพันจั้ง กายสวมชุดสีดำ มือทั้งสองประสานอยู่บนอก กำลังก้มมองโลกเมฆาแดงอยู่
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ‘คนผู้นี้คือใคร’
เพียงเห็นว่าชายชุดดำค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นช้าๆ กระบี่ยาวที่มีปราณโลหิตลอยเป็นเกลียวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เขาจับด้ามกระบี่ไว้แน่น
‘แย่แล้ว!’
เขารีบเคลื่อนย้ายตัวออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน ขึ้นไปอยู่เหนือโลกเมฆาแดง
ขณะที่ชายชุดดำสะบัดกระบี่นั้น หานเจวี๋ยก็ชักกระบี่ฟันขึ้นฟ้า
มรรคกระบี่เทียมฟ้า!
หนึ่งกระบี่เทียมฟ้า!
ปราณกระบี่สีดำหมุนขึ้นไปปะทะกับปราณกระบี่ของชายชุดดำ
เสียงตู้มดังขึ้น!
ปราณกระบี่ระเบิดออกไปทั่วทิศ หานเจวี๋ยกับชายชุดดำถูกพัดจนอาภรณ์โบกสะบัด
ชายชุดดำมองหานเจวี๋ย สีหน้าเผยแววประหลาดใจ
‘กะอีแค่โลกมนุษย์กลับมีเซียนลึกล้ำด้วย!’
ชายชุดดำลอบคิดเงียบๆ แววตาของเขาโหดเหี้ยมขึ้นมา และสะบัดกระบี่อีกครั้ง
หานเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ก็โมโหทันที
‘รนหาที่ตาย!’
หานเจวี๋ยยกกระบี่พิพากษาอนธการโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง สำแดงวิชาไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิออกมา
มหาสมุทรปราณกระบี่เก้าแห่งปรากฏขึ้นตรงหน้า ทั้งหมดล้วนเป็นเส้นตั้งตรงราวกับจานยักษ์เก้าใบกำลังเผชิญหน้ากับชายชุดดำ เงากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นมา
ชายชุดดำเปล่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจอยู่บ้าง จากนั้นก็รีบแสดงพลังวิเศษ มังกรใต้เท้ากลายเป็นเจดีย์ยักษ์ปกคลุมเขาไว้
ไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิระเบิดขึ้นฟ้า!
มหาสมุทรปราณกระบี่แต่ละแห่งพุ่งยิงเงากระบี่ออกมานับสิบล้าน!
เงากระบี่เกือบล้านสังหารออกไป!
หานเจวี๋ยไม่ยั้งมือ พลังเวทหกวิถีหลั่งไหลออกมา
ขณะที่เงากระบี่ในดวงตาของชายชุดดำขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในใจเขาก็อุทานด้วยความตกใจ
“แย่เล้ว!”
……………………………………….