ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 370 แผนการจากอริยะ แนวโน้มภาพรวม
หลังจากพูดคุยกับจักรพรรดิสวรรค์จบ สุดท้ายหานเจวี๋ยก็ได้รับมรรคาโอสถสิบเม็ด สถานที่นัดรับคือห้วงอวกาศที่เคยเป็นโลกเขย่าพิภพมาก่อน
หานเจวี๋ยส่งหลิวเป้ยไปรับของ
ยามนี้ผนึกของแดนชำระบาปเก้าขุมอ่อนแอยิ่ง หลิวเป้ยสามารถฝ่าออกไปได้อย่างง่ายดาย
ด้วยนิสัยระแวดระวังของหลิวเป้ย น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากหลิวเป้ยไปแล้ว หานเจวี๋ยก็บำเพ็ญเพียรต่อไป
กระแสในครั้งนี้ทำให้เขาตระหนักถึงความน่ากลัวของชะตาลิขิต เขาจำเป็นต้องมีพลังที่แกร่งกล้ากว่านี้เพื่อใช้รับมือ
‘ต้องพูดเลยว่าศัตรูเหล่านี้ต่างร้ายกาจยิ่ง ข้าอยู่ในที่ลับแล้วยังไม่อาจเล่นงานพวกเขาให้ตายได้’
หานเจวี๋ยรำพันอยู่ในใจ เขาเลื่อมใสจู่ถูและเฮ่าเทียนอยู่เล็กน้อย
โดยเฉพาะจู่ถู ใช้ความตายเพื่อให้ร้ายจักรพรรดิสวรรค์ ใจเด็ดยิ่งนัก
นับจากนี้ เกรงว่าวังเทพคงโกลาหลแล้ว
ความโกลาหลของวังเทพและวังปีศาจอาจทำให้รูปการณ์ของแดนเซียนวุ่นวายยิ่งขึ้น
ทำนายอนาคตของจักรพรรดิสวรรค์สักหน่อยดีหรือไม่
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็มีความคิดผุดขึ้นมา
ใช่แล้ว!
เขาจะเอาแต่พิจารณาถึงมหาเคราะห์ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยให้จักรพรรดิสวรรค์ได้คว้าชัย
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ‘ข้าอยากรู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์จะสิ้นชีพอย่างไร’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าโลกพลิกหมุน จิตรับรู้ถูกดึงเข้าสู่สถานการณ์ฉากหนึ่ง
เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าตนอยู่ในตำหนักใหญ่ที่สว่างไสวหลังหนึ่ง ตำหนักพังทลาย เมื่อทอดสายตามองไป ก็สามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งนภาครามเมฆาขาวด้านนอกตำหนัก
จักรพรรดิสวรรค์ในสภาพกระเซอะกระเซิงนั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ กำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
สายตาของหานเจวี๋ยมองไปยังเงาร่างหนึ่งที่ยืนตรงปากทางเข้าตำหนัก
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เงาร่างนี้…
“จักรพรรดิสวรรค์ วังสวรรค์ควรเปลี่ยนผู้นำได้แล้ว!”
น้ำเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา เขามองเห็นคนผู้นั้นย่างเท้าเข้าตำหนักมา
หานเจวี๋ยเพ่งมอง นี่มิใช่หลงเฮ่าหรอกหรือ
ช้าก่อน!
หรือว่าเขาจะถูกเฮ่าเทียนยึดร่างแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์เงยหน้าขึ้น มองหลงเฮ่าอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ไอ้ลูกทรพี เจ้าคิดจะทำปิตุฆาตหรือ”
หลงเฮ่าในชุดดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าเคยให้โอกาสท่านแล้ว แต่ท่านเอาแต่หัวรั้นดึงดัน ตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์สมควรให้ข้าสืบทอดมิใช่หรือ ไยท่านจึงมอบมันให้ยอดแม่ทัพเทพกันเล่า”
จักรพรรดิสวรรค์กล่าว “การเป็นจักรพรรดิสวรรค์มิได้ขึ้นอยู่กับพลัง แต่ขึ้นอยู่กับบารมีและฝีมือ เจ้าใกล้ชิดกับเฮ่าเทียนเกินไป เจ้ากลายเป็นหุ่นเชิดของเขาแล้ว ในมหาเคราะห์ครั้งที่ผ่านมา แม้เจ้าจะประสบกับโชควาสนา แต่เจ้าก็สร้างศัตรูเอาไว้นับไม่ถ้วน หากเจ้าเป็นผู้นำวังสวรรค์ จะสามารถชักนำวังสวรรค์ไปสู่ความเจริญได้อย่างไร”
“เฮอะ ท่านไม่ไว้ใจข้า แต่กลับไว้ใจยอดแม่ทัพเทพ ไว้ใจท่านอาจารย์ข้า แต่ไม่ยอมไว้ใจบุตรชายของท่านเอง เพียงเพราะเกรงกลัวเฮ่าเทียน ท่านอยากประสบความสำเร็จในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ให้ได้มากกว่าเฮ่าเทียน!”
น้ำเสียงของหลงเฮ่าเต็มไปด้วยความริษยาและไม่ยินยอม
เมื่อหานเจวี๋ยฟังมาจนถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
บัดซบ!
เจ้าเด็กคนนี้เดินทางผิดแล้วสินะ
แต่พอมาคิดดูดีๆ การที่หลงเฮ่าอยากเป็นจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่นับว่าเกินไปนัก
หากแต่ผู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ยกบัลลังก์ให้กลับมิใช่หลงเฮ่า แต่เป็นลูกน้องในปกครองแทน หลงเฮ่าเองก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจจริงๆ
แต่ยอดแม่ทัพเทพมีคุณูปการมากมาย เรียกได้ว่าเป็นคนสนิทมากความสามารถของจักรพรรดิสวรรค์ หากจะให้เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิสวรรค์ก็สามารถทำได้เช่นกัน ผู้ใดบอกกันเล่าว่าตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์จะต้องสืบทอดทางสายเลือดเท่านั้น
สำหรับตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ หานเจวี๋ยไม่ไปต่อแถวรอรับด้วยอยู่แล้ว
แต่การที่หลงเฮ่าต้องการทำปิตุฆาตเพราะเหตุนี้ นั่นก็เกินไปหน่อยจริงๆ
หลงเฮ่าเดินเข้าไปหาจักรพรรดิสวรรค์ทีละก้าวๆ พลางเอ่ยเสียงเย็น “เสด็จพ่อ ข้าจะพูดกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย หากมิมีความช่วยเหลือจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ วังสวรรค์คงพินาศไปในมหาเคราะห์ครั้งก่อนแล้ว ท่านไม่เหมาะสมกับตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์จริงๆ เพราะท่านไม่แข็งแกร่งพอ!”
เขาซัดฝ่ามือใส่จักรพรรดิสวรรค์อย่างรุนแรง พลังเวทที่ซัดโถมออกไปกลายเป็นมังกรทองตัวหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว มันเข้ารัดพันจักรพรรดิสวรรค์และตรึงเขาไว้ราวกับโซ่ตรวน
มังกรทองอ้าปาก เริ่มดูดกลืนวิญญาณของจักรพรรดิสวรรค์
จักรพรรดิสวรรค์ไม่ดิ้นรนขัดขืน เขาไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านแล้ว
เขาค่อยๆ หลับตาลง ถอนหายใจพลางกล่าวขึ้นว่า “อันสิ่งที่เรียกว่ามรรคาสวรรค์ ก็เป็นเพียงตัวหมากที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น รอจนเจ้าได้เป็นจักรพรรดิสวรรค์แล้ว เจ้าจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”
ฉากสถานการณ์พังทลายลง
หมายความว่าจักรพรรดิสวรรค์สิ้นชีพด้วยน้ำมือของหลงเฮ่า
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง
เขาพอจะจับทางได้เล็กน้อยแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวว่าในมหาเคราะห์ครั้งก่อนหลงเฮ่าสร้างศัตรูเอาไว้นับไม่ถ้วน ก็หมายความว่าวังสวรรค์และจักรพรรดิสวรรค์จะรอดจากมหาเคราะห์ครั้งนี้ไปได้!
เช่นนั้นก็ดี!
หานเจวี๋ยเผยรอยยิ้มออกมา
รอดพ้นมหาเคราะห์ครานี้ไปได้ก็ดี ดูเหมือนทิศทางของมหาเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งแล้ว
แผนร้ายฉากนี้ของจู่ถู ช่างร้ายกาจจริงๆ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้
ไม่ถูกสิ
เป็นข้าต่างหากที่ร้ายกาจ!
หานเจวี๋ยแอบรู้สึกภูมิใจกับตัวเอง
หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ เมื่อถึงเวลาค่อยขัดขวางไม่ให้หลงเฮ่ากระทำการปิตุฆาตต่อจักรพรรดิสวรรค์
ทันใดนั้นหานเจวี๋ยพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์จะไว้วางใจในตัวเขาอย่างไร้เงื่อนไข เกื้อกูลเขาสารพัด แต่กลับเข้มงวดกับบุตรชายของตนอย่างยิ่ง นี่เป็นเพราะเหตุใดกันแน่
‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดจักรพรรดิสวรรค์จึงดีต่อข้าถึงเพียงนี้’ หานเจวี๋ยเอ่ยถามต่อในใจ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
สองพันล้านปีหรือ
หานเจวี๋ยสะดุ้งแล้ว
ที่ผ่านมาสูงสุดก็แค่พันล้านปีเท่านั้น!
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
มีตัวตนที่เหนือกว่าจู่ถูเกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องราวด้วยหรือ!
ใช่อริยะหรือไม่
หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่อทันที
เขาอยากเห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจักรพรรดิสวรรค์คือผู้ใดกัน
ถึงแม้จักรพรรดิสวรรค์จะดีต่อเขายิ่งนัก แต่หานเจวี๋ยก็ยังรู้สึกหวาดระแวงอยู่ดี
จักรพรรดิสวรรค์กล่าวว่ามรรคาสวรรค์ล้วนเป็นตัวหมาก นับประสาอะไรกับตัวเขาเล่า
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยล่องลอยอีกครั้ง
เขามาถึงภายในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง
ตำหนักหลังนี้กว้างขวางอย่างยิ่ง เงียบสงัดวังเวง แตกต่างจากความโอ่อ่าตระการตาของตำหนักเอกอนันต์
จักรพรรดิสวรรค์คุกเข่าอยู่ด้านหน้าเบาะกลมอันหนึ่ง บนเบาะกลมไร้คน ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
น้ำเสียงกังวานเสียงหนึ่งแว่วขึ้นมา “มหาเคราะห์มรรคาสวรรค์เป็นเคราะห์เล็กๆ เท่านั้น เคราะห์มหามรรคาต่างหากถึงจะเป็นมหันตภัยใหญ่ วังสวรรค์หนุนนำมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์เที่ยงธรรม วังสวรรค์มิอาจเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว เทพเซียนมิอาจควบคุมสรรพสัตว์ คือความทุกข์ยากที่เทพเซียนต้องเผชิญ ความหวังของวังสวรรค์มิได้ขึ้นอยู่กับมหาเคราะห์ครั้งนี้ แต่ขึ้นอยู่กับครั้งถัดไป”
จักรพรรดิสวรรค์ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยถาม “ขึ้นอยู่กับข้าหรือขึ้นอยู่กับผู้อื่น”
“ผู้อื่น”
“ขออริยะโปรดแถลงไข”
“จะมาจากแดนมนุษย์”
“แดนมนุษย์…”
จักรพรรดิสวรรค์พึมพำกับตัวเอง คล้ายจะนึกอะไรได้ กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันใด
ฉากสถานการณ์พังทลายลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
เป็นคำชี้แนะจากอริยะจริงๆ!
จักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้ดีกับเขาเพียงคนเดียว ยังดีต่อยอดแม่ทัพเทพด้วย เพราะยอดแม่ทัพเทพก็เคยเป็นมนุษย์เช่นกัน
ไม่แปลกเลยที่จักรพรรดิสวรรค์จะไม่เลือกหลงเฮ่า
หานเจวี๋ยไม่ได้วิวัฒนาการต่อว่าอริยะท่านนั้นเป็นผู้ใด การรู้มากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี
หานเจวี๋ยมักมีความรู้สึกหวาดหวั่นต่ออริยะเสมอ เขาไม่จะอยากเข้าไปข้องแวะด้วยมากนัก
บำเพ็ญตบะต่อดีกว่า!
….
ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านพ้นไปห้าสิบปี
ตบะของหานเจวี๋ยพัฒนาไปอย่างมั่นคง ในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาให้ความสนใจกับจดหมายอยู่ตลอด
เขาแปลกใจเมื่อพบว่าหลังจากจู่ถูแกล้งตาย วังสวรรค์ก็มิได้เผชิญกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งอีกเลย เหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะสงบสุข เขาเคยสอบถามจักรพรรดิสวรรค์ ได้ความว่าวังสวรรค์เริ่มรับเอาอาณานิคมของวังเทพเอาไว้แล้ว
แผนจักจั่นทองลอกคราบในครานี้ของจู่ถู่กลับเป็นการช่วยจักรพรรดิสวรรค์ให้สมประสงค์
หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ เช่นกัน สัญชาตญาณบอกเขาอยู่เสมอว่าต่อไปจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
หากมองจากสถานการณ์ปัจจุบัน วังสวรรค์มีแนวโน้มว่าที่จะรวมแดนเซียนให้เป็นหนึ่งได้!
กลัวก็แต่เหล่าพันธมิตรของวังสวรรค์จะคิดคดขึ้นมา!
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะรู้สึกเป็นกังวล แต่เขาก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรได้อยู่ดี จึงทำได้เพียงปลุกปลอบตัวเองให้ สงบใจเพื่อบำเพ็ญเพียรต่อไป
จวบจนวันหนึ่ง
หานเจวี๋ยถูกสาปแช่งอีกครั้ง
‘จริงสินะ ยังอีกนานกว่าจะถึงจุดจบของมหาเคราะห์!’
หานเจวี๋ยสบถออกมาคำหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มวิวัฒนาการดูว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่สาปแช่งตน
ภายในถ้ำมืดมัวแห่งหนึ่ง หานเจวี๋ยมองเห็นชายชุดขาวคนหนึ่งถือหนังสือคำสาปแช่งหน้าตาธรรมดาเล่มหนึ่งอยู่
ชายชุดขาวคนนี้หน้าตาอัปลักษณ์ยิ่งนัก เขาคือราชันโลภะที่ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยเคยทำนายได้ว่าจะมาสวมรอยเป็นตัวเขาในภายภาคหน้า
………………………………………………………………