ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 374 นิกายเจี๋ยเข้าสู่เก้าขุมนรก วังสวรรค์เผ่าปีศาจ
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 374 นิกายเจี๋ยเข้าสู่เก้าขุมนรก วังสวรรค์เผ่าปีศาจ
‘ข้าอยากรู้ว่าในมหาเคราะห์ครั้งนี้ สิงหงเสวียนจะตายหรือไม่’
หานเจวี๋ยสาปแช่งพลางนึกคำถามไปด้วยเงียบๆ
สิงหงเสวียนนับเป็นผู้บำเพ็ญคนแรกที่หานเจวี๋ยได้รู้จัก นอกเหนือไปจากผู้เฒ่าเถี่ย แต่ก่อนนางมักจะมอบทรัพยากรให้หานเจวี๋ยเป็นประจำ น้ำใจในส่วนนี้เขาจดจำไว้ในใจมาโดยตลอด
แม้ว่าภายหลังจะมียอดสตรีที่งดงามกว่าสิงหงเสวียนปรากฏตัวขึ้น ทว่าในใจของหานเจวี๋ย สถานะของนางไม่เคยถูกสั่นคลอนเลย
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสิบล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
แค่สิบล้านเท่านั้น ค่าตัวของภรรยาคนนี้น้อยมากจริงๆ
อักษรสองคำเด้งขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ต้องตาย]
หานเจวี๋ยร้องในใจว่าแย่แล้ว
เขาถามต่อไป ‘ข้าอยากรู้ว่านางต้องตายด้วยน้ำมือผู้ใด’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสิบล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยวิงเวียนพร่าเลือน เขามาโผล่ในภาพลวงตาวิวัฒนาการแล้ว
เขาลืมตาขึ้น พบว่าตนอยู่ในตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่างดงามหลังหนึ่ง สิงหงเสวียนในชุดภูษาทองปักลายหงส์และมังกรนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
หลังจากกลับชาติมาเกิดรูปโฉมของนางก็งดงามยิ่งกว่าเดิม หว่างคิ้วแฝงความเย็นชา มีบารมีอันน่าเกรงขามอย่างหนึ่งของผู้เป็นจักรพรรดิ เส้นผมสีดำเกล้าเป็นมวย ทั้งปากทั้งตาล้วนทาสีแดง สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ประตูตำหนัก
มองเห็นสตรีนางหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา
นี่มิใช่อู้เต้าเจี้ยนหรอกหรือ
ไม่ถูกสิ!
ไท่ซู่เทียน!
ไท่ซู่เทียนสวมชุดดำ ในมือถือกระบี่หยกเขียวเล่มหนึ่งไว้ เดินเข้าตำหนักมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
สิงหงเสวียนเปิดปากถาม “นี่คือความประสงค์ของเขาหรือ”
ไท่ซู่เทียนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าเข้าสู่เคราะห์ เขาต้องการตัดกรรม เจ้าจะต่อต้านความประสงค์ของเขาหรือ”
สิงหงเสวียนขมวดคิ้ว ดวงตาเผยแววตาเศร้าหมองออกมา
นางสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กล่าวว่า “ที่ข้ามีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเขา หากเขาประสงค์ให้ข้าตาย ข้าก็จะตาย”
นางหลับตาลง เอ่ยสั้นๆ “มาเถอะ”
ไท่ซู่เทียนยกกระบี่ขึ้น แสงกระบี่ส่องวาบ ฉากเบื้องหน้าหานเจวี๋ยพังทลายลง
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง เขาขมวดคิ้วแน่น
ไท่ซู่เทียนสวมรอยเป็นอู้เต้าเจี้ยน แปลงสาส์นไปสังหารสิงหงเสวียนอย่างนั้นหรือ
มารดามันเถอะ!
โชคดีที่เขาวิวัฒนาการดูล่วงหน้า มิเช่นนั้นโศกนาฏกรรมน้ำเน่าเช่นนี้ต้องตกอยู่ที่ตัวเขาแน่นอน
ไม่ได้การแล้ว!
ไท่ซู่เทียนคนนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว!
หานเจวี๋ยตัดสินใจนำไท่ซู่เทียนมาใส่ไว้ในบัญชีรายชื่อคนที่ต้องสาปแช่งในทุกสิบปี
‘เห็นทีว่าถึงข้าจะไม่เข้าสู่เคราะห์ เคราะห์ก็เข้าครอบงำคนรอบกายข้าอยู่ดี’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เขารู้สึกกดดันมากจริงๆ
ถึงจะไม่เข้าสู่เคราะห์ แต่ก็ต้องต่อสู้กับสวรรค์
หรือนี่จะเป็นความอับจนหนทางของผู้แข็งแกร่ง?
หานเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง สาปแช่งต่อไป
หนึ่งเดือนผ่านไป เขาสาปแช่งศัตรูทั้งหมดเสร็จแล้ว จากนั้นก็เริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบสองปี
แดนชำระบาปเก้าขุมที่ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ตอนนี้ความโกลาหลได้มาเยือนแล้ว จู่ๆ ก็มีรอยแยกขนาดใหญ่ที่ถูกฉีกกระชากให้เปิดออกในมุมหนึ่งของพื้นที่อันมืดดำ มีเงาร่างเหาะเข้ามาทีละร่างๆ ในบรรดานั้นมีหลายคนที่แบกเกาะขนาดใหญ่ไว้ เสียงดังกึกก้องกัมปนาท ตระการตาอย่างยิ่ง
หานเจวี๋ยรู้สึกตื่นตระหนก ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้น พวกจินกังนู่และเจียงอี้ต่างก็รับรู้ถึงการมาเยือนอันยิ่งใหญ่เอิกเกริกได้
“ห้ามทุกคนออกจากเกาะนี้! อย่าได้แผ่จิตรับรู้และพลังจิตออกไป!”
หานเจวี๋ยเอ่ยสั่งการทันที เขาเองก็ไม่กล้าไปสอดแนมเช่นกัน ด้วยเกรงว่าจะเป็นการเผยตำแหน่งของตนเอง
เป็นกลุ่มอิทธิพลใดกันแน่ที่เข้ามา
หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจทันที
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[นิกายเจี๋ย]
นิกายเจี๋ย?
หัวคิ้วของหานเจวี๋ยขมวดเข้าหากัน
ในเวลาเดียวกันนี้
กลางห้วงอวกาศ หวงจุนเทียนยืนอยู่ข้างกายจิ่งเทียนกง เขากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้
จิ่งเทียนกงถือธงแดงผืนใหญ่ไว้ในมือ มีรัศมีแสงแผ่กระจายออกมา สกัดกั้นแรงกรรมให้เหล่าศิษย์ของนิกายเจี๋ย
เขากล่าวชมเชย “จุนเทียน แผนการของเจ้าไม่เลวเลย แดนชำระบาปเก้าขุมว่างอยู่จริงๆ นิกายเจี๋ยน่าจะใช้ชีวิตที่นี่อย่างปลอดภัยได้”
หวงจุนเทียนเอ่ยด้วยความนอบน้อม “เป็นรองเจ้านิกายที่เก่งกาจ ทั้งยังมียอดสมบัติที่สกัดกั้นแรงกรรมได้ มิเช่นนั้นแผนนี้ของข้าก็คงเปล่าประโยชน์เสียแล้ว”
จิ่งเทียนกงหัวเราะดังลั่นอยู่สองสามครา
ศิษย์ของนิกายเจี๋ยเข้าสู่แดนชำระบาปเก้าขุมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปลึกเกินไปนัก ทั้งหมดเริ่มจัดวางเกาะต่างๆ กันแล้ว บรรดาผู้อาวุโสของนิกายเจี๋ยกระจายตัวออกไปตามทิศต่างๆ เริ่มกางอาณาเขตค่ายกล
ทันใดนั้นจิ่งเทียนกงก็เอ่ยถามว่า “จุนเทียน เจ้าคิดว่านิกายเจี๋ยจะปราชัยในมหาเคราะห์ครั้งนี้หรือไม่”
หวงจุนเทียนกล่าวตอบ “นิกายเจี๋ยเป็นนิกายของท่านอริยะ จะปราชัยได้อย่างไรกัน เพียงแต่ข้าคิดว่ารอจนถึงมหาเคราะห์ครั้งถัดไปจะมีความมั่นคงมากกว่า ปัจจุบันนี้มีเจ้าแห่งศาสตร์ที่ลึกลับไม่เป็นที่รู้จักอยู่ วังสวรรค์มีอิทธิพลล้นฟ้า นิกายเจี๋ยไม่ควรก้าวเข้าสู่เคราะห์”
จิ่งเทียนกงพยักหน้า จี้ถามต่อ “เจ้าคิดเห็นอย่างไรต่อเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ”
เอาอีกแล้ว!
หวงจุนเทียนสบถอยู่ในใจ
ใครบ้างจะไม่รู้ว่าจิ่งเทียนกงนับถือในตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอย่างยิ่ง คุยฟุ้งกับคนอื่นไปทั่ว
คนแบบนี้ เจ้านิกายกล้าให้เขามาเป็นรองเจ้านิกายได้อย่างไร
หวงจุนเทียนไม่เข้าใจเลย รู้สึกว่านิกายเจี๋ยจะบนหรือล่างล้วนไม่ฉลาดกันทั้งนั้น
“เจ้าแดนต้องห้ามอันธการพลังวิเศษแผ่ไพศาล สังหารผู้กล้าในฟ้าดินได้โดยไม่เผยร่องรอย กล่าวได้ว่าเป็นความยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพานพบมาก่อนทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบถึงเจตนาของเขา นิกายเจี๋ยจะต้องรับมืออย่างระมัดระวัง” หวงจุนเทียนพูดด้วยความจริงจัง
จิ่งเทียนกงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าว่า เจ้าแดนต้องห้ามอันธการจะหลบซ่อนอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุมด้วยหรือไม่”
สีหน้าของหวงจุนเทียนไม่น่ามองขึ้นมาในทันใด
ถ้าหากเจ้าแห่งศาสตร์พำนักอยู่ที่นี่จริง แบบนั้นมิแย่หรอกหรือ
เขายังอยากบำเพ็ญเพียรให้ดีๆ อยู่นะ!
“หวังว่าจะมิเป็นเช่นนี้…” หวงจุนเทียนฝืนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จิ่งเทียนกงคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม ไม่พูดมากอีก สายตามองไปที่นิกายเจี๋ย
….
การมาถึงของนิกายเจี๋ยสงบลงอย่างรวดเร็ว ลูกศิษย์นิกายเจี๋ยไม่กล้าวิ่งวุ่นวานในแดนชำระบาปเก้าขุม ตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขาอยู่ไกลจากเกาะสำนักซ่อนเร้นยิ่ง ดังนั้นจึงไม่เป็นการรบกวนหานเจวี๋ยเลย
ผู้คนในสำนักซ่อนเร้นต่างอยากรู้ยิ่งนักว่าเป็นผู้ใดกันที่มาเยือน
จนปัญญาที่หานเจวี๋ยสั่งห้ามไม่ให้แผ่จิตรับรู้ออกไป พวกเขาจึงทำได้เพียงพูดคุยหารือกัน
หลังจากมั่นใจแล้วว่านิกายเจี๋ยจะไม่ส่งผลกระทบต่อตน หานเจวี๋ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ทำไมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยล่ะ…”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วขบคิด คงมิใช่ว่าต่อไปจะมีกลุ่มอิทธิพลอีกมากมายกระโดดเข้ามาหลบซ่อนตัวในแดนชำระบาปเก้าขุมกระมัง
สมควรตาย!
พวกเขาไม่กลัวแรงกรรมกันหรือไร
หานเจวี๋ยจนปัญญาแล้ว ทำได้เพียงสงบความคิดฟุ้งซ่านลง บำเพ็ญเพียรต่อไป
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
สำหรับมนุษย์ปุถุชนแล้ว หนึ่งปีช่างยาวนานนัก
สำหรับผู้บำเพ็ญที่ปิดด่านบำเพ็ญตบะ หนึ่งปั่นแสนสั้นนัก
เพียงชั่วพริบตาเวลาไหลผ่านไปห้าสิบปีแล้ว
วันนี้หานเจวี๋ยหยุดบำเพ็ญเพียร เริ่มสาปแช่งศัตรูพลางตรวจดูจดหมายไปด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ดูเหมือนแดนเวียนจะสงบสุขยิ่ง มีการต่อสู้น้อยลง ด้วยมีเหตุบังเอิญต่างๆ
ทางด้านฟางเหลียงหลังจากวิญญาณข้ามสู่บรรพกาลแล้ว ดูเหมือนจะยังไม่ได้กลับมา ไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบมาถึงหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็คร้านจะขัดขวางเช่นกัน
ในเวลานี้เอง
เสียงตะคอกเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งแว่วมา
“ข้า ตี้หล่านเทียน หัวหน้าเผ่าเทพอีกาทอง เปิดรับสมัครเผ่าพันธุ์ปีศาจในหมื่นโลกา ร่วมสถาปนาวังสวรรค์ของเผ่าปีศาจขึ้นมาอีกครั้ง วังสวรรค์เดิมทีก่อตั้งขึ้นบนเขาเทพปู้โจวโดยบรรพบุรุษของเผ่าปีศาจเรา เทพเซียนแย่งนามของพวกเราไป สังหารพวกเรา ปลิดวิญญาณพวกเรา หนี้แค้นนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!
ลูกหลานเผ่าปีศาจเอ๋ย ข้ารอคอยทุกท่านมารวมตัวกันที่ดวงตะวันแดนเซียน ประกาศศักดาของเผ่าปีศาจเราด้วยกันเถิด!”
หานเจวี๋ยตะลึงงัน
เผ่าเทพอีกาทองคำคิดจะก่อตั้งวังสวรรค์อีกแห่งขึ้นเพื่อต่อสู้กับวังสวรรค์หรือ
นี่มันเรื่องอะไรกัน
ด้านนอกถ้ำเทวา
ทุกคนในสำนักซ่อนเร้นมองไปทางเจียงอี้ สีหน้าท่าทางแตกต่างกันไป
เจียงอี้มีสีหน้าอับอาย เอ่ยอ้อมแอ้มว่า “ไยหัวหน้าเผ่าจึงถือเป็นจริงเป็นจังไปได้…ข้าก็เคยได้ยินข่าวลือมาเช่นกัน…”
จอมปีศาจคุกรัตติกาลเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “ข่าวลืออันใดกัน วังสวรรค์ก่อตั้งขึ้นโดยเผ่าปีศาจจริงๆ น่ะหรือ”
เจียงอี้แสร้งกระแอม ก่อนกล่าวว่า “เป็นนิทานที่เจ้าสำนักของพวกเจ้าเล่าให้ข้าฟัง แล้วข้าเอาไปเล่าให้คนในเผ่าฟังอีกที…”
ชาวสำนักซ่อนเร้นต่างพูดไม่ออก…
………………………………………………………………