ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 406 มรรคผลแห่งต้าหลัว เผ่ามนุษย์และนิกายเหริน
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 406 มรรคผลแห่งต้าหลัว เผ่ามนุษย์และนิกายเหริน
ดวงจิตประหลาดเกาะติดอยู่บนแผ่นหลังของหานเจวี๋ย คล้ายว่าต้องการจะผสานเข้ากับร่างกายของเขา
ตอนแรกหานเจวี๋ยรู้สึกประหม่ายิ่งนัก คิดว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องการกลืนกินเจ้านายของมัน
แต่ในไม่ช้าเขาก็พบว่ามิใช่เช่นนั้น
พอดวงจิตประหลาดเชื่อมต่อกับพลังเวทในร่างเขา พลังเวทของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด มันค่อยๆ แกร่งกล้าขึ้น
ราวกับมีคลื่นความถี่บางอย่างกำลังสั่นสะเทือน
แม้แต่มหามรรคเวียนว่ายตายเกิดภายในร่างของหานเจวี๋ยก็เริ่มสั่นไปด้วย ระดับความเร็วในการหลอมรวมเข้ากับพลังเวทเพิ่มมากขึ้น
“นี่มัน…”
หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าดวงจิตประหลาดจะมีความสามารถเช่นนี้
เขาคิดมาโดยตลอดว่าดวงจิตประหลาดเป็นมือสังหาร ไม่คิดเลยว่าจะกลายมาเป็นผู้ช่วย
หานเจวี๋ยยังคงระแวดระวังอยู่ คอยจับตามองมันต่อไป
ดวงจิตประหลาดกำลังช่วยเสริมพลังเวทของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นจริงๆ ถึงขั้นที่หลอมรวมเข้ากับมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดด้วย
นี่…มันกำลังจะช่วยให้เขากลายเป็นต้าหลัวหรือ
ดวงจิตประหลาดยังมีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ
หานเจวี๋ยสอบถามอยู่ในใจ ‘การที่มันทำเช่นนี้จะทำร้ายข้าหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำนเนินการต่อ!
[ไม่]
หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้แต่คำว่าชั่วขณะก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ!
ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่หานเจวี๋ยก็ยังคงมีสติ จับตามองมันอย่างจริงจัง
เวลาไหลผ่านไปอย่างต่อเนื่อง
ครึ่งปีผ่านไป
ดวงจิตประหลาดผสานเข้าสู่ร่างของหานเจวี๋ยอย่างสมบูรณ์แล้ว กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
ถึงแม้จะผสานรวมเป็นหนึ่งแล้ว แต่หานเจวี๋ยยังคงรับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงจิตประหลาดได้ และสามารถผลักดันมันออกมาจากร่างได้ทุกเมื่อ
ดวงจิตประหลาดสร้างเส้นทางเชื่อมต่อแปลกๆ ขึ้นภายในร่างของหานเจวี๋ย ด้วยความช่วยเหลือของมัน พลังเวทของหานเจวี๋ยและมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดกำลังหลอมรวมเข้าด้วยกันด้วยความเร็วสูง
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ระดับต้าหลัวก็มีหวังแล้ว!
หานเจวี๋ยคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าช่างน่าตื่นเต้นนัก พลันบังเกิดความรู้สึกดีต่อดวงจิตประหลาดขึ้นมาในระดับ 5 ดาว
ดูเหมือนการตัดสินใจเก็บดวงจิตประหลาดเอาไว้ในคราแรกจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้ หานเจวี๋ยจึงทุ่มสมาธิไปกับการพิสูจน์ต้าหลัว ไม่สนใจเรื่องราวภายนอกอีก
….
ณ แดนเซียน ภายในตำหนักศิลาเก่าแก่โบราณหลังหนึ่ง หลี่เต้าคง หลี่เสวียนเอ้าและหวงจี๋เฮ่าสืบเท้าเข้าไปภายในตำหนัก สองข้างทางมีรูปสลักหินตั้งเรียงรายอยู่ นั่นคือจักรพรรดิในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ละคนต่างน่าเกรงขามไม่ธรรมดา
หวงจี๋เฮ่าเดินตามมาอยู่ด้านหลังสุด เขากวาดตามองรอบข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลี่เสวียนเอ้ากดเสียงต่ำเอ่ยถาม “ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ให้เกียรติพวกเราเลย”
หลี่เต้าคงเอ่ยด้วนสีหน้าเรียบเฉย “ไม่เป็นไร ให้พวกเขาดูไปเถิด จะได้ถือโอกาสหยั่งเชิงวัดความสามารถของตนไปด้วย”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปพร้อมกัน เดินมาจนถึงด้านหน้าศิลาจารึกขนาดมหึมาก้อนหนึ่ง
ศิลาจารึกก้อนนี้สูงถึงพันจั้ง บนศิลาสลักลวดลายสีแดงเอาไว้สารพัด คล้ายว่าจะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของเผ่ามนุษย์ไว้ เพียงกวาดตามองแวบเดียว ก็สามารถรับรู้ถึงยิ่งใหญ่เกรียงไกร ประหนี่งมหากาพย์
หลี่เต้าคงหยุดเดิน หลี่เสวียนเอ้าและหวงจี๋เฮ่าก็หยุดด้วยเช่นกัน
ศิลาจารึกส่องแสงออกมา มีเงาร่างก้าวออกมาจากศิลาจารึกทีละร่างๆ
ผู้นำกลุ่มเป็นชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่ง ขนคิ้วงอกยาวจนบดบังตาทั้งสอง เขาหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “คารวะสองปรมาจารย์เซียนแห่งนิกายเหริน”
หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงอย่างเย็นชาเอ่ยติง “ไม่ออกมาต้อนรับพวกเราด้วยตัวเอง ซ้ำยังแอบสอดส่องถ้ำมอง คิดว่าพวกเราจะจับสังเกตไม่ได้หรือ หวาดกลัวพวกเราหรืออย่างไร”
“ย่อมต้องกริ่งเกรงเป็นธรรมดา พวกท่านทั้งสองสั่นคลอนปวงสวรรค์หมื่นโลกาได้ ปุถุชนอย่างพวกเราจะไม่กริ่งเกรงได้อย่างไร”
“เฮอะ!”
หลี่เสวียนเอ้ามีสีหน้าอ่อนลง
หลี่เต้าคงเอ่ยขึ้นมา “เผ่ามนุษย์ควรร่วมมือกับนิกายเหรินเพื่อต่อกรกับจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน”
ชายชราผมขาวเอ่ยถาม “นิกายฉ่านและนิกายเจี๋ยเล่า”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในความสามารถของพวกหลี่เต้าคง
นั่นคือจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน ผู้ทรงพลังยุคบรรพกาลที่สะกดข่มแดนเซียนได้เมื่อไม่นานมานี้เชียวนะ!
หลี่เต้าคงระทืบเท้าขวาทีหนึ่ง กระบี่เล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากอากาศปรากฏขึ้นด้านหลังเขา สองแสงสีม่วงเจิดจ้าจนตาพร่า ไอกระบี่อันน่าพรั่นพรึงแผ่ออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน รูปสลักจักรพรรดิมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ภายในตำหนักเริ่มสั่นไหว รวมไปถึงศิลาจารึกสูงพันจั้งที่อยู่ด้านหน้าด้วย
กลุ่มผู้ทรงพลังจากเผ่ามนุษย์เกิดความประทับใจแล้ว
‘ไอกระบี่ช่างน่าพรั่นพรึงนัก!’
‘ไม่แปลกเลยที่เขาจะได้เป็นศิษย์คนโตของนิกายเหริน!’
‘เห็นทีว่าข่าวลือจะเป็นความจริง จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนก็จัดการเขาไม่ได้เช่นกัน’
‘กระบี่เล่มนั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ พลังเวทของข้าควบคุมไม่อยู่แล้ว ถูกมันดึงดูดเข้าไปแล้ว!’
‘กลิ่นอายนี้…เขาเพิ่งแตะถึงระดับต้าหลัวจริงๆ หรือ’
ผู้ทรงพลังเผ่ามนุษย์สื่อสารกันผ่านกระแสจิต ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกตกตะลึงกันยิ่งนัก
ชายชราผมขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เผ่ามนุษย์ยินดีให้ความร่วมมือกับนิกายเหริน”
หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงด้วยความดูแคลน
พลิกสีหน้าเก่งจริงๆ!
อาจารย์ลุงมีความอดทนกว่าอาจารย์ของเขามากนัก!
ยิ่งได้ใกล้ชิดติดตามหลี่เต้าคงมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกนับถือหลี่เต้าคงมากขึ้นเท่านั้น
อาจารย์ของหลี่เสวียนเอ้านั้นไม่ได้เรื่อง หวาดเกรงผู้แข็งแกร่งข่มเหงผู้อ่อนแอ หนำซ้ำยังพูดมาก หากไม่มีหลี่เต้าคงคอยช่วยเหลือก็ไม่รู้ว่าหลี่เสวียนเอ้าจะตายไปกี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว
“จักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนต้องการสังหารล้างบางสรรพสิ่ง เผ่ามนุษย์สามารถช่วยกระจายข้อมูลนี้ออกไปได้” หลี่เต้าคงกล่าวต่อ
ชายชราผมขาวถามด้วยความแปลกใจ “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ”
หลี่เต้าคงตอบอย่างสงบนิ่ง “จริงหรือเท็จแล้วอย่างไรเล่า”
ชายชราผมขาวนิ่งเงียบไป
….
สิบปีผ่านไป
พลังเวทและมหามรรคเวียนว่ายตายเกิดของหานเจวี๋ยผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์แล้ว พลังเวทใหม่เอี่ยมทั้งหมดในร่างเขาเริ่มควบรวมกันเป็นมรรคผลแห่งต้าหลัว
ขอเพียงควบรวมสำเร็จ เขาก็จะเข้าสู่ระดับต้าหลัวแล้ว!
อย่างไรก็ตามการควบรวมพลังนั้นต้องใช้เวลา พลังเวทของต้าหลัวแผ่ไพศาลไร้เทียมทาน ย่อมไม่อาจทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
โชคดีที่หานเจวี๋ยไม่ต้องคอยลงมือกำกับควบคุม มรรคผลแห่งต้าหลัวสามารถควบรวมได้ด้วยตัวเอง
หานเจวี๋ยลุกขึ้น เดินออกจากถ้ำ
“เตรียมแสดงธรรม!”
เสียงของหานเจวี๋ยดังก้องไปทั่วเกาะ ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นคึกคักขึ้นมา รวมไปถึงชาวเผ่าเอกาอีกหนึ่งหมื่นคนด้วย
เผ่าเอกาไม่สามารถสืบทายาทได้ จำนวนคนจึงมีเท่าเดิมเสมอมา คุณสมบัติของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม ถึงเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังบรรลุระดับเซียนสวรรค์ไท่อี่หมดแล้ว
หานเจวี๋ยนั่งลงใต้ต้นฝูซัง
อู้เต้าเจี้ยนก้าวไปหยุดข้างกายเขา ถามด้วยความสงสัยว่า “นายท่าน ดวงตาของท่าน…”
คนอื่นๆ ก็มองหานเจวี๋ยด้วยความแปลกใจเช่นกัน
พอหานเจวี๋ยได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าม่านตาของตนกลายเป็นสีม่วง และมิใช่แบบชั่วคราวแต่เป็นถาวร ทำให้ตัวเขาดูลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
มิใช่เพียงม่านตาเท่านั้น หว่างคิ้วของเขายังปรากฏลวดลายสีดำบางๆ หลายสายขึ้นมาอีกด้วย ลวดลายนั้นขยับไหวนิดๆ ราวกับเส้นหนวดก็มิปาน
หานเจวี๋ยอธิบาย “ก็แค่ขอบเขตพลังอย่างหนึ่งเท่านั้น พวกเขาไม่เข้าใจหรอก”
เมื่ออู้เต้าเจี้ยนได้ยินดังนั้นก็ไม่ถามมากอีก
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าลี่เหยาและถูหลิงเอ๋อร์ต่างมองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาดยิ่ง ราวกับอยากกินเขาเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
เซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ออกมาจากถ้ำเช่นกัน เมื่อพวกนางเห็นหานเจวี๋ย ต่างก็ตกอยู่ในภวังค์อย่างไม่อาจควบคุมได้
หานเจวี๋ยเริ่มแสดงธรรม
ทันทีที่เปล่งเสียงออกมา วิญญาณของทุกคนพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที จากนั้นก็เข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคาไปตามลำดับ
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับต้าหลัวอย่างสมบูรณ์ แต่มีเจตจำนงมรรคาแห่งต้าหลัวแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาแล้ว
แม้กระทั่งชาวเผ่าเอกาก็ฟังอย่างดื่มด่ำดุจเมามายเช่นกัน
ช่วงเวลาในการแสดงธรรมผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแปดปีแล้ว
มรรคผลแห่งต้าหลัวของหานเจวี๋ยยังควบรวมไม่สำเร็จ เขาวางแผนว่าจะแสดงธรรมต่อไป ในระหว่างที่แสดงธรรม จะได้ถือโอกาสสะสางทบทวนมรรคของตนไปด้วย
ในเวลานี้เอง
ตัวอักษรสามแถวเด้งขึ้นมาตรงหน้าเขา
[ตรวจสอบพบว่ามีอริยะลงมาเยือน ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง เข้าสู่เคราะห์ทันที เปิดศึกกับอริยะ ชิงชัยเพื่อโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ได้รับสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]
[สอง ยังไม่เข้าสู่เคราะห์ ตั้งใจบำเพ็ญ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น]
อริยะลงสู่โลกาอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองทันที ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น
เขาคิดในใจ ‘ข้าอยากรู้ว่าเป็นอริยะท่านใดที่ลงสู่โลกา’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
………………………………………………………………