ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 427 ผู้ทรงพลังลึกลับ ความโศกเศร้า
“โอกาสวาสนาเช่นนั้นหรือ โอกาสอันใด”
โจวฝานขมวดคิ้วถาม เขาไม่ได้พูดคุยสนิทสนมกับจ้าวเซวียนหยวนมากนัก จึงไม่อาจไว้ใจอีกฝ่ายได้ง่ายๆ
จ้าวเซวียนหยวนกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยังไม่สามารถบอกได้ ยังมีบุตรแห่งสวรรค์ที่ไร้เทียมทานอีกหลายคนตามมาด้วย เจ้าแทบไม่มีคุณสมบัติเลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะผู้นำของข้าสั่งให้พาคนมาทั้งหมดสิบคน ข้าก็ไม่ชายตามองเจ้าหรอก”
“เจ้า…”
โจวฝานเกือบจะบันดาลโทสะเสียแล้ว คนผู้นี้ช่างจองหองยิ่งนัก
แต่โอกาสวาสนาก็ทำให้เขารู้สึกลังเลเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ เขาก็พึ่งพาโอกาสวาสนามาตลอด
เขาไม่อยากพลาดโอกาสวาสนาไปแม้สักครั้งเดียว
โจวฝานเห็นว่าจ้าวเซวียนหยวนหยิ่งยโสยิ่งนัก ดูท่าทางไม่น่าจะเป็นคนชอบโป้ปด โดยทั่วไปนั้นคนที่โกหกมักจะมีนิสัยขี้ประจบประแจง แต่ท่าทีของจ้าวเซวียนหยวนนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจไยดีแม้แต่น้อย โจวฝานจะมาหรือไม่ก็ช่าง
โจวฝานกล่าว “ได้ ข้าไปด้วย!”
จ้าวเซวียนหยวนทิ้งคำพูดไว้คำหนึ่งก่อนจากไป “เจ็ดวันให้หลัง ไปเจอกันหน้าประตูตงหวง”
โม่ฟู่โฉวกระโดดขึ้นไปบนแท่นบูชา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ “เจ้าเก่งกาจถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดยังต้องออกไปเสี่ยงภัยอีกเล่า”
โจวฝานกล่าวตอบอย่างใจเย็น “พี่โม่ เส้นทางสายนี้ไม่สามารถหยุดพักได้ ไว้ข้าได้รับโอกาสวาสนามาแล้ว ข้าจะมาแบ่งปันให้กับเจ้านะ”
โม่ฟู่โฉวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ทุกครั้งที่โจวฝานพูดเช่นนี้ เขาก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้ทุกครั้ง ดังนั้นที่โม่ฟู่โฉวพูดเช่นนี้ เพียงเพราะเขากังวลว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับอีกฝ่าย
นับตั้งแต่ที่ทั้งสองสิ้นลมจากโลกมนุษย์มาเกิดยังแดนเซียน พวกเขาผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย
ตอนนี้พวกเขาเป็นคนสำคัญที่สุดของกันและกัน ทั้งสองล้วนเท่าเทียม
โม่ฟู่โฉวทำได้เพียงรอคอยโจวฝาน เขาไม่กล้าแม้แต่จะติดตามไปด้วย เพราะกลัวว่าจะเป็นภาระให้กับอีกฝ่าย
โจวฝานถูกเขาถ่วงแข้งถ่วงขามาหลายครั้ง จนท้ายที่สุดถึงขั้นสิ้นลมในมือเขา
…
สิบปีผ่านไป
หานเจวี๋ยกำลังสาปแช่งต้าจิ่วเทียน เขาไม่ได้ทะลวงระดับมาเกือบหกร้อยปีแล้ว กระนั่นก็ไม่อาจละทิ้งภารกิจอันใหญ่หลวงได้
เขาคาดว่าในอีกไม่ถึงหนึ่งร้อยปี เขาจะสามารถไปถึงระดับเซียนทองต้าหลัวระยะกลางได้
ระยะทางระหว่างระยะกลางและระยะปลายจะห่างไกลกันมากหรือไม่นะ
และหลังจากไปถึงระยะปลายแล้ว ระยะสมบูรณ์จะยังเป็นปัญหาอีกหรือ
หลังจากระยะสมบูรณ์ ก็จะเป็นระดับครึ่งอริยะแล้ว
หานเจวี๋ยปลุกใจตัวเองไม่หยุด
อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็รุ้สึกเหมือนมีใครบางคนเรียกเขาจากอาณาเขตฟ้าบุพกาล
เขาไม่สนใจ ยังคงสาปแช่งต่อไป
สามวันถัดมา ก็มีคนเรียกหานเจวี๋ยจากอาณาเขตฟ้าบุพกาลอีกครั้ง หลังหานเจวี๋ยสาปแช่งเสร็จ จึงไปเยือนยังอาณาเขตฟ้าบุพกาล
จ้าวเซวียนหยวนและเต้าจื้อจุนปรี่เข้ามาหาเขาทันที
“สหายเต๋า!”
“สหาย ในที่สุดท่านก็มาจนได้!”
เมื่อเห็นหน้าคนทั้งสอง หานเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “จะขอความช่วยเหลือจากข้าอีกแล้วหรือ”
เต้าจื้อจุนกล่าว “สหาย ท่านช่วยข้ามานับครั้งไม่ถ้วน บุญคุณของท่านข้าไม่มีวันลืม หากวันหน้าท่านต้องการความช่วยเหลือ ข้าล้วนแต่ยินดีช่วยเหลือทั้งสิ้น ไม่ว่าท่านจะเป็นเรื่องใดก็ตาม!”
จ้าวเซวียนหยวนพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะก้มหน้าหลบตา
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ให้ข้าช่วยอย่างไร”
เต้าจื้อจุนกล่าว “ช่วยส่งข้อความจากข้าไปถึงจักรพรรดิสวรรค์ฟางที ว่าเราติดอยู่กลางทะเลเลือดไร้สิ้นสุด และค้นพบแผนร้ายครั้งใหญ่ที่เป็นภัยต่อหมื่นแดนใต้หล้าแล้ว”
หานเจวี๋ยกล่าว “บอกไปแล้วข้าจะได้อะไร คำสอนมรรคครั้งก่อนเล่า”
เต้าจื้อจุนกล่าวอย่างจนใจ “คำสอนมรรคนั้นล้ำลึกเกินไป จนตอนนี้เราก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้ จะต้องได้เจอกันต่อหน้าเสียก่อน ข้าถึงจะดูให้ท่านได้ ตอนนี้ยังไม่อาจรับปากได้”
“เช่นนี้ดีกว่า หากท่านช่วยพวกเรา เราจะมอบยอดสมบัติชิ้นหนึ่งให้กับท่าน สมบัติชิ้นนี้คือแผ่นหยก ลึกลับเกินบรรยาย จิตรับรู้ของเราไม่อาจทะลวงผ่านผนึกควบคุมภายในของมันได้ หากมอบมันให้ท่าน ไม่แน่ท่านอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานเจวี๋ยก็พูดได้เพียง “ได้ ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ครั้งหน้าไม่มีข้อยกเว้นอีก”
เต้าจื้อจุนกล่าวยิ้มๆ “ทำไมเล่า อย่างไรเสียท่านก็ไม่ได้เสี่ยงอันตราย ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับผลกรรม ทั้งยังได้ผลประโยชน์เต็มๆ แบบนี้ยังไม่ดีอีกหรือ พวกเราเองก็ต่อสู้ช่วงชิงโอกาสวาสนาอย่างไร้ยางอายเช่นกัน”
จ้าวเซวียนหยวนกล่าวเสริม “ครั้งไม่ได้มีแต่พวกเรา บุตรแห่งสวรรค์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์จำนวนมากก็ถูกกดขี่เช่นกัน เรื่องราวชักจะบานปลายใหญ่โตเสียแล้ว”
หานเจวี๋ยชำเลืองมองจ้าวเซวียนหยวนครั้งหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านติดตามเขาเอง เหตุใดไม่หัดเรียนรู้จากคนดีๆ หากแต่ไปเอาแบบอย่างจากคนที่ไม่เอาไหน ข้าว่าท่านควรจะมาเป็นลูกศิษย์ของข้าดีกว่า ข้าจะสั่งสอนท่านอย่างดี”
เจ้าเซวียนหยวรู้สึกกระอักกระอ่วน จึงแสร้งกระแอมไอก่อนจะกล่าว “สหายเต๋าช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง”
เมื่อเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ย เขาก็รู้สึกลนลานไม่น้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่าหานเจวี๋ยนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าเต้าจื้อจุนเสียด้วยซ้ำ
เต้าจื้อจุนทรงพลังถึงเพียงนั้น ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหานเจวี๋ย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเต้าจื้อจุนไม่รู้แม้แต่ตัวตนที่แท้จริงของหานเจวี๋ยด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้เต้าจื้อจุนเคยได้ยินจักรพรรดิสวรรค์เอ่ยถึงหานเจวี๋ยมาบ้าง จักรพรรดิสวรรค์นั้นปกป้องหานเจวี๋ยอย่างที่สุด ไม่ยอมเผยข้อมูลใดออกมาเลยแม้แต่นิด แสดงให้เห็นว่าตัวตนของหานเจวี๋ยนั้นสูงส่งมากทีเดียว
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พอจบเรื่องแล้วพวกท่านก็ส่งยอดสมบัตินั่นให้จักรพรรดิสวรรค์ฟางเถิด”
หานเจวี๋ยโบกมือ และตัดการเชื่อมต่อทันที
เมื่อกลับมายังถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็หยิบป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ออกมาติดต่อหาฟางเหลียง และถ่ายทอดสิ่งที่เต้าจื้อจุนฝากฝังมาอย่างรวดเร็ว
ฟางเหลียงตอบรับทันที และไม่ว่าทะเลเลือดไร้สิ้นสุดจะอยู่ที่ใด วังสวรรค์ก็จะหาวิธีค้นหาจนพบในที่สุด
หานเจวี๋ยวางป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ลง และปล่อยดวงจิตประหลาดออกมา
ดวงจิตประหลาดโถมตัวเข้าสู่อ้อมแขนของเขา ถูไถเขาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความรักใคร่เต็มเปี่ยม
หานเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ต่อไปอย่าเป็นเหมือนสองคนนี้เด็ดขาดล่ะ ไร้ความสามารถแล้วยังเที่ยวหาเรื่องใส่ตัวไปทั่ว”
ดวงจิตประหลาดเอียงหัว คล้ายกับครุ่นคิดว่าหานเจวี๋ยกำลังพูดอะไร
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ
…
ณ ทะเลเลือดไร้สิ้นสุด น้ำทะเลล้วนเป็นสีเลือดทุกอณู
ที่ก้นทะเล มีโดมแสงขนาดใหญ่ครอบอยู่ ข้างในมีคนนั่งสมาธิอยู่หลายสิบคน
เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน โจวฝานก็อยู่ในนั้นด้วย
จู่ๆ จ้าวเซวียนหยวนก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ทุกท่าน พวกเราหาคนมาช่วยได้แล้ว วังสวรรค์จะรีบมาช่วยพวกเราโดยเร็ว”
บุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม “จิตรับรู้ไม่อาจฝ่าเขตอาคมออกไปได้ไม่ใช่หรือ”
เต้าจื้อจุนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่าลืมสิ พวกเรามีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล ซึ่งคุณสมบัติกายดังกล่าวก็มีอยู่ในตัวของคนผู้นี้ด้วยเช่นกัน พวกเจ้าวางใจเถิด คนที่ข้าฝากฝังนั้นพึ่งพาได้เป็นที่สุด”
บุตรแห่งสวรรค์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกคนเอ่ยถามต่อ “พวกเราเป็นบุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์นะ วังสวรรค์จะ…”
เต้าจื้อจุนกล่าว “จักรพรรดิสวรรค์ฟางเองก็เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ สงครามระหว่างเทพเซียนและเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นสงครามช่วงชิงโชคชะตา พวกเจ้าล้วนแต่เป็นเบี้ยตัวหนึ่ง เขาไม่มีทางหมายหัวพวกเจ้าแน่”
เหล่าบุตรแห่งสวรรค์เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ยินดังนั้น ก็แค่นหัวเราะออกมา แต่อย่างไรเสีย คำพูดดังกล่าวก็ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
โจวฝานพยักหน้า เขาไว้ใจฟางเหลียงเป็นอย่างมาก
เขาเอ่ยถามต่ออย่างอยากรู้อยากเห็น “คนที่พวกเจ้าฝากฝังนั้นเป็นผู้ใดกัน”
จ้าวเซวียนหยวนส่ายหน้าพร้อมกล่าว “คนผู้นั้นเป็นถึงผู้อาวุโส ไม่ใช่คนที่พวกเจ้ารู้จักหรอก”
โจวฝานแอบก่นด่าในใจ ‘เจ้าจะเก๊กขรึมหามารดาเจ้าหรืออย่างไร! ก่อนหน้านี้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีโอกาสวาสนาครั้งใหญ่ สุดท้ายก็มาติดแหง็กอยู่ที่นี่กันหมด’
เต้าจื้อจุนหลับตาแล้วกล่าว “พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญต่อไปเถอะ ยังมีการต่อสู้รออยู่ข้างหน้า”
บุตรแห่งสวรรค์ทั้งหลายมองหน้ากันไปมาอย่างอดไม่ได้
…
เวลาผ่านไปอีกสิบปี
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งต้าจิ่วเทียน และอ่านจดหมายไปพลางๆ
ทันใดนั้นเขาก็เห็นจดหมายสองฉบับ
[เต้าจื้อจุนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ กายเนื้อสิ้นสูญ เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ]
[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ กายเนื้อสิ้นสูญ ดวงวิญญาณถูกทรมาน ก่อเกิดมารในใจ]
‘น่าอเนจอนาถถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ฟางเหลียงไม่ได้ส่งคนไปช่วยพวกนั้นหรอกหรือ
หานเจวี๋ยทำได้เพียงไว้อาลัยแก่พวกเขา
อย่างไรเสียสิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว เขาไม่อาจผลาญอายุขัยของตนเพื่อทั้งสองคนนี้ได้
โจวฝานต้องรอดไปได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับเต้าจื้อจุน ดูอย่างไรก็ราวกับว่าจะสามารถจบสิ้นได้ตลอดเวลา
น่าเสียดายที่หานเจวี๋ยยังไม่เคยได้เห็นท่าทางวางอำนาจของเต้าจื้อจุนหลังจากที่แกร่งกล้าขึ้นเลย
บุตรแห่งสวรรค์อย่างเต้าจื้อจุน หากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาต้องกลายเป็นผู้ทรงพลังค้ำฟ้าระดับจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยนอย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะยังมีความหวังถึงขั้นที่จะพิสูจน์มรรคได้อีกด้วย
………………………………………………..