ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 449 ตัวแปรแห่งมหามรรค เทพมารอนธการ!
เมื่อเห็นฉิวซีไหลมาขอเข้าฝันตน ปฏิกิริยาแรกของหานเจวี๋ยคือเมินเฉย
แต่พอคิดว่าสำนักพุทธถูกทำลาย การที่ฉิวซีไหลมาหาเขาในตอนนี้น่าจะมิใช่เพื่อผลประโยชน์ของสำนักพุทธ แต่คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับซูฉี
ค่าความประทับใจยังไม่ลดลง ยังพอรับได้
ถ้าหากเขาเมินเฉยคำขอไป คนผู้นี้อาจจะโมโหจนพาลไปล้างแค้นที่ซูฉีหรือไม่
หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์ของตนพร้อมกับยอมรับการขอเข้าฝันของฉิวซีไหล
สถานที่ยังคงเป็นภายในห้องโถงใหญ่งดงามตระการตาแห่งนั้น ฉิวซีไหลยังคงอยู่ในท่าทางสูงส่งราวกับพระพุทธรูปทองคำหมื่นจั้ง อยู่เหนือสรรพสิ่ง หยามเหยียดทุกๆ อย่าง
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสต้องการพบข้าด้วยเรื่องใด”
ฉิวซีไหลเอ่ยขึ้นว่า “อยากเป็นบรรพชนพุทธหรือไม่”
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มเหนือศีรษะของหานเจวี๋ย
บิดาเอ็งเถอะ!
สำนักพุทธล่มสลายแล้ว จะให้ข้าไปเป็นบรรพชนพุทธอย่างนั้นหรือ
ฉิวซีไหลเอ่ยต่อไปว่า “สำนักพุทธแห่งแดนเซียนล่มสลายลงแล้ว ดวงชะตากระจัดกระจาย หลังสิ้นสุดมหาเคราะห์ ข้าจะแต่งตั้งสามบรรพชนพุทธขึ้นเป็นการส่วนตัว และก่อตั้งสำนักพุทธขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นับว่าเป็นการหลีกเลี่ยงจากมหาเคราะห์อีกด้วย”
ตัวเองถูกคนอื่นวางแผนเล่นงานชัดๆ แต่กลับพูดราวกับว่าได้วางแผนเอาไว้แล้ว…
หานเจวี๋ยแสร้งเอ่ยถามด้วยท่าทางตกใจ “สำนักพุทธล่มสลายลงได้อย่างไร”
“เพียงสลายโชคชะตาไปเท่านั้น เหล่าพุทธองค์ยังคงอยู่ ทำเช่นนี้จะสามารถลดการสูญเสียจากมหาเคราะห์ได้”
“ท่านเป็นผู้ใดกันแน่…”
“อริยะแห่งสำนักพุทธ ฉิวซีไหล”
“อริยะ!”
หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นหวาดผวา
ฉิวซีไหลแค่นเสียงเอ่ยวาจา “ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว เจ้าคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าข้าคืออริยะ ใช่หรือไม่!”
หานเจวี๋ยยิ้มอย่างจนปัญญาชั่วครู่หนึ่ง กล่าวตอบ “ฐานะของบรรพชนพุทธยิ่งใหญ่เกินไป เกรงว่าข้าจะไม่อาจรับผิดชอบไหว ข้าเพียงอยากบำเพ็ญให้ดี ไม่ต้องการดูแลจัดการสำนักพุทธ”
“หากเจ้าไม่ยินดีก็ไม่เป็นไร ข้าจะให้บรรพชนพุทธภควัตดูแลสำนักพุทธแทน”
ฟังมาถึงตรงนี้ หานเจวี๋ยก็ทราบแน่แล้วว่าฉิวซีไหลตัดสินใจจะรั้งตัวเขาไว้
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ตอนนี้สถานการณ์ในแดนเซียนเป็นอย่างไร มหาเคราะห์จะสิ้นสุดลงยามไหน”
“อริยะเล่นเกมเดิมพัน สรรพสิ่งดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เมื่อมีอริยะดับสูญ มหาเคราะห์ก็จะสลายไป”
น้ำเสียงของฉิวซีไหลช่างเฉยเมยยิ่งนัก ราวกับไม่ใส่ใจกับเรื่องการดับสูญของอริยะเลยแม้แต่น้อย
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ศึกระหว่างอริยะดำเนินไปจนถึงขั้นนี้แล้วหรือ
อริยะท่านใดกันที่จะดับสูญ
ลางสังหรณ์ของหานเจวี๋ยบอกเขาว่า มีโอกาสสูงที่จะเป็นฝูซีเทียน
ฝูซีเทียนมีหนี่ว์วาเป็นผู้ช่วยเพียงคนเดียว ส่วนอริยะท่านอื่นล้วนร่วมมือกัน
“หลังจากมหาเคราะห์สิ้นสุดลงก็กลับแดนเซียนเสียเถอะ เมื่อระเบียบมรรคาสวรรค์ฟื้นฟูแล้ว อริยะจะไม่สามารถลงมือกับสิ่งมีชีวิตในแดนเซียนโดยตรงได้ มิเช่นนั้นจะเผชิญการสะท้อนกลับจากมรรคาสวรรค์” ฉิวซีไหลเอ่ยต่อไป
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ
ตัวเขาเองก็วางแผนไว้เช่นนี้เช่นกัน
“มรรคาสวรรค์มีมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต แต่ตอนนี้มิใช่แค่มรรคาสวรรค์เท่านั้น เหนือมรรคาสวรรค์ยังมีมหามรรคอยู่ มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะมาเยือนหลังจากมหาเคราะห์ทั้งหลายผ่านพ้นไป แดนต้องห้ามอันธการจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป อีกไม่นานเจ้าก็จะไม่สามารถหลบเลี่ยงเคราะห์ได้ ทำได้เพียงเข้าสู่เคราะห์ เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ สำนักพุทธสามารถเป็นกำลังให้เจ้าได้”
หลังจากหานเจวี๋ยได้ฟัง ก็เงยหน้าขึ้นมองฉิวซีไหล เอ่ยถามออกไป “เหตุใดอริยะเช่นท่านถึงให้ความสำคัญกับข้าเช่นนี้”
ฉิวซีไหลกล่าวตอบ “มิใช่ให้ความสำคัญต่อเจ้า แต่ให้ความสำคัญต่อการคัดเลือกของบรรพชนเต๋า เจ้าคือตัวแปรที่บรรพชนเต๋ากำหนดเอาไว้ เจ้าเป็นตัวแทนของสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ เช่นเดียวกับมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิดของตน
สิ่งที่เรียกว่าตัวแปร สิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ นี่มิใช่การกล่าวถึงพระผู้มาโปรดหรอกหรือ
เหตุใดหลังจากบรรพชนเต๋าหายตัวไปแล้วถึงได้ทิ้งคำพูดที่บ่งชี้ถึงตัวเขาเอาไว้เช่นนี้เล่า
ฉิวซีไหลเอ่ยขึ้นว่า “ซูฉีเป็นศิษย์ของเจ้า เขาถูกอริยะท่านอื่นหลอกใช้ หากมิเห็นแก่หน้าเจ้า ข้าคงสังหารเขาทิ้งทันที มหาเคราะห์ในครานี้ ข้าพยายามจะปกป้องคุ้มครองสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีกุศลกรรมเชื่อมโยงกับเจ้าไว้ ถือเป็นการแสดงความจริงใจของข้า”
หานเจวี๋ยได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “แม้จะไม่ทราบว่าซูฉีกระทำสิ่งใดลงไป แต่ขอบพระคุณอย่างยิ่ง หลังจากมหาเคราะห์ครั้งนี้สิ้นสุดลง หากสำนักพุทธประสบกับความยุ่งยากและข้าสามารถช่วยเหลือได้ ข้าจะต้องให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
มีฉิวซีไหลคอยช่วยเหลือ เช่นนั้นซูฉี จักรพรรดิสวรรค์และพวกเซวียนฉิงจวินก็อยู่รอดจากมหาเคราะห์ครานี้แล้ว
“อืม”
ฉิวซีไหลส่งเสียงตอบรับ แดนฝันพลันสลายไป สิ้นสุดการเข้าฝัน
[ความประทับใจที่ฉิวซีไหลมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]
เมื่อกลับสู่ถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยสอบถามในทันที ‘คำมั่นที่ฉิวซีไหลมอบให้ข้า มาจากใจจริงหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสี่พันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[มาจากใจจริง เว้นแต่ท่านจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา]
หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
อริยะแห่งสำนักพุทธไม่ได้เจ้าอารมณ์หรือหน้าไหว้หลังหลอกอย่างที่เขาจินตนาการไว้เลย
‘ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดฉิวซีไหลถึงดีต่อข้าเช่นนี้’ หานเจวี๋ยทำการวิวัฒนาการต่อ
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
หนึ่งล้านล้านปี!
นี่ฐานะของเขาสูงส่งกว่าปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอีกอย่างนั้นหรือ
เขาเกี่ยวข้องกับบรรพชนเต๋าจริงๆ สินะ
อย่างไรก็ตามอายุขัยหนึ่งล้านล้านปีสำหรับหานเจวี๋ยแล้วไม่อาจนับเป็นอะไรได้ เพียงรู้สึกปวดใจเล็กน้อยเท่านั้น
ดำเนินการต่อ!
ถ้าไม่ทราบแน่ชัด หานเจวี๋ยก็คงไม่อาจวางใจ
เขาไม่อยากถูกใช้เป็นตัวหมาก
จากนั้น หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
….
ภายในพระราชวังอันงดงามแห่งหนึ่ง อริยะมรรคาสวรรค์เก้าท่านนั่งเรียงกัน หานเจวี๋ยจำอริยะมิ่งจีได้ จึงพอจะสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาทั้งเก้าได้ไม่ยาก
เบื้องหน้าเขามีนักพรตชราที่มีรูปร่างสูงใหญ่อย่างยิ่งอยู่คนหนึ่ง หานเจวี๋ยเงยหน้ามอง ทว่าก็ไม่อาจมองไม่เห็นศีรษะของอีกฝ่ายได้ สูงส่งเกินไปจริงๆ
ตัวเขาเป็นถึงเซียนทองต้าหลัว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจข้ามไปถึงระดับที่สูงได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องระดับพลังอยู่
บรรพชนเต๋าในตำนานอย่างนั้นหรือ
“มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ใกล้จะเปิดฉากแล้ว เทพมารอนธการจะเข้ารุกราน”
น้ำเสียงดังกังวานแว่วขึ้นมา ทำให้จิตใจคนบังเกิดความรู้สึกยำเกรง
เทพมารอนธการ?
หานเจวี๋ยพลันใจเต้นแรง
คงมิใช่ว่าตัวเขาก็คือเทพมารอนธการหรอกกระมัง?
ฉิวซีไหลเอ่ยถามเป็นคนแรก “บรรพชนเต๋า เทพมารอนธการคือสิ่งใด”
บรรพชนเต๋ากล่าวตอบ “พวกเจ้าทราบเพียงว่าผานกู่แบ่งแยกฟ้าก่อมรรคาสวรรค์ แต่ฟ้ายามบุพกาลถือกำเนิดขึ้นก่อนการแบ่งแยกฟ้าดิน ฟ้าบุพกาลคือต้นกำเนิดสรรพสิ่ง ส่วนอนธการคือจุดจบของสรรพสิ่ง ต่อจากฟ้าบุพกาลคืออนธการ มาก่อนฟ้าบุพกาลก็คืออนธการ ทั้งสองสิ่งไม่แบ่งแยกก่อนหรือหลัง คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ เทพมารฟ้าบุพกาลก่อเกิดมรรคา เทพมารอนธการก็ทำลายมรรคา
เทพมารอนธการปรากฏ มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เปิดฉากขึ้น อริยชนล้วนดับสูญ ทุกสิ่งหวนคืนสู่จุดเริ่มต้น”
เมื่อวาจานี้ถูกกล่าวออกมา เหล่าอริยะต่างก็มองหน้ากัน
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
คราวนี้ เขาไม่อาจเปิดเผยฐานะเทพมารอนธการของตนได้แล้ว มิเช่นนั้นคงต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก
อย่างไรเสียเขาไม่มีความคิดที่จะกวาดล้างเหล่าอริยะเลย
บรรพชนเต๋าอาศัยการคาดคะเน หรือว่าบรรพชนเต๋าเคยวิวัฒนาการดูอนาคตมาก่อนกันแน่
เจ้าสำนักเผ่าสวรรค์เอ่ยถาม “ขอบังอาจถามบรรพชนเต๋า เทพมารอนธการมีกี่ท่าน”
“ไม่ทราบ” คำตอบของบรรพชนเต๋าเรียบง่ายยิ่ง
อริยะอีกท่านเอ่ยถาม “เทพมารอนธการเกิดแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่ทราบ”
“แม้แต่ท่านเองก็ไม่สามารถจัดการเทพมารอนธการได้หรือ”
“ข้าไร้ซึ่งตัวตน กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมรรคาสวรรค์แล้ว นับจากนี้ไม่มีบรรพชนเต๋าอีกต่อไป มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าทำได้เพียงปล่อยให้พวกเจ้าไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง”
เหล่าอริยะต่างมีสีหน้าแตกตื่น
บรรพชนเต๋าเอ่ยต่อว่า “มรรคาสวรรค์ปรากฏตัวแปร ตัวแปรที่แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจมองให้กระจ่างได้ และอาจจะเป็นตัวแปรในมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน”
สิ้นประโยค ภาพลวงตาวิวัฒนาการก็พังทลายลง
จิตนึกคิดของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง จิตใจเขากระสับกระส่ายอย่างยิ่ง
คำพูดของบรรพชนเต๋า ผลักดันให้หานเจวี๋ยต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง
เทพมารอนธการคือเขา ตัวแปรก็คือเขา
บรรพชนเต๋าเล่นอะไรอยู่กันแน่
‘ข้าอยากรู้ว่าบรรพชนเต๋าทราบหรือไม่ว่าข้าคือเทพมารอนธการ’ หานเจวี๋ยถามอยู่ในใจ
[ไม่สามารถวิวัฒนาการได้เนื่องจากเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่อยู่เหนือขีดจำกัดของระบบในขณะนี้]
ไม่ได้หรือ
ถ้าเช่นนั้นแล้วภาพเมื่อครู่นี้ล่ะ…
[การวิวัฒนาการเมื่อสักครู่คือขีดจำกัดของระบบในขณะนี้]
หานเจวี๋ยเห็นข้อความแจ้งเตือนแถวนี้ปรากฏขึ้นมา ความคิดของเขาก็พลันตกเข้าสู่ภวังค์
………………………………………………………………