ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 471 เทพสูงสุดแสดงธรรม อายุหนึ่งหมื่นปี
เซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ แข็งแกร่งนัก!
รากฐานของนิกายฉ่านช่างลึกล้ำนัก ก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวเล็ดรอดออกมาเลย ช่างมีความอดทนจริงๆ
หานเจวี๋ยมองไปที่พวกไก่คุกรัตติกาล เอ่ยถาม “พวกเจ้าถูกจับหรือ”
หานเจวี๋ยที่อยู่ภายใต้แสงเทพอันเจิดจ้าดูประหนึ่งเทพผู้สร้างโลกมาเยือน ช่างเป็นฉากที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจ
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยด้วยความขุ่นข้อง “นายท่าน มีคนจับตัวพวกเรามาอย่างไร้เหตุผล คิดจะให้พวกเรากลายเป็นทาส!”
เมื่อพวกเจียงอี้เห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น ต่างก็รู้สึกโล่งใจอย่างอดไม่อยู่
ตอนนี้ในใจของพวกเขา หานเจวี๋ยเป็นตัวตนที่เทียบเคียงกับอริยะไปแล้ว ขอเพียงเขาปรากฏตัวขึ้น อันตรายต้องถูกขจัดไปอย่างแน่นอน
“หืม จักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏหรือ ไม่ถูกสิ สมบัติวิเศษติดตัวเจ้าไม่ธรรมดาเลย!”
เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น เป็นเสียงของท่าเทียนเกอ
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เป็นแค่เซียนทองต้าหลัวตัวเล็กๆ ก็คิดจะจับตัวคนของข้าแล้วหรือ ปล่อยพวกเขาซะ แล้วข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
ท่าเทียนเกอแค่นเสียง “ท่านช่างโอหังเสียจริง ทำลายพลังวิเศษของข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
หานเจวี๋ยยกมือขึ้น ชูนิ้วกลางข้างขวา
ปราณกระบี่สายหนึ่งพลันพุ่งออกมา!
ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ!
หนึ่งดัชนีทลายสวรรค์!
ช่องรับแสงด้านบนถูกฟันขาด ความมืดมิดรอบพื้นที่มิติพังทลายลง ราวกับกระดาษต้องไฟ
พวกหานเจวี๋ยพลันร่วงหล่น จากนั้นก็ร่อนลงบนเนินเขาแห่งหนึ่ง
พวกเขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นท่าเทียนเกอยืนอยู่บนเมฆก้อนหนึ่ง
คนผู้นี้สวมชุดนักพรต คิ้วดั่งดาบโค้งพาดชี้ขึ้นด้านบน สองตาเรียวรี หน้าตาดูชั่วร้าย
ท่าเทียนเกอจ้องหานเจวี๋ยเขม็ง เอ่ยเสียงขรึม “ท่านเป็นใคร!”
[ท่าเทียนเกอเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]
5 ดาว!
แทบเข้าขั้นไม่ตายไม่เลิกราแล้ว!
เยี่ยมมาก เจ้าไม่รอดแล้ว!
หานเจวี๋ยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมาจากนิกายไหน อริยะเข้าสู่โลกไม่ได้ แล้วจะกลัวอันใดเล่า
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นใคร เกรงว่าพูดไปเจ้าจะตกใจตายเอา!”
ท่าเทียนเกอขมวดคิ้ว จี้ถาม “พูดมา…”
ร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์พลันก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะหานเจวี๋ย ร่างจำลองยังไม่ทันจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง หมัดของมันก็โจมตีไปทางท้องฟ้าแล้ว
พลังอันน่าหวาดหวั่นทำให้ท้องนภาบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ราวกับจะพังทลายลงทุกเมื่อ
ท่าเทียนเกอยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกกระแสหมัดของเทพมารขุนพลสวรรค์โจมตีเข้าตรงๆ กายสิ้นจิตมลาย
ร่างจำลองเทพมารขุนพลสวรรค์สลายไปด้วยความรวดเร็ว พวกเจียงอี้ล้วนไม่ทันตั้งตัว
ในสายตาของพวกเขา ครั้นพายุกระโชกหอบหนึ่งกวาดเข้ามา ท่าเทียนเกอก็หายไปแล้ว
เจียงอี้ขวัญผวา นึกถึงตอนที่ตนท้าทายหานเจวี๋ยในแบบจำลองการทดสอบ
หานเจวี๋ยเก็บมือ เรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจสอบ พบว่ารูปประจำตัวของท่าเทียนเกอยังอยู่ ดูเหมือนคนผู้นี้จะมีวิธีรักษาชีวิตไว้ คาดว่าเสี้ยววิญญาณคงอยู่ที่นิกายฉ่าน
หานเจวี๋ยหันกลับไปมองพวกเจียงอี้ เอ่ยว่า “รีบกลับโดยเร็วเถอะ คนเมื่อครู่นั้นประวัติที่มาไม่ธรรมดา เขายังไม่สิ้นชีพอย่างสมบูรณ์ ภายหน้าต้องมาล้างแค้นพวกเจ้าแน่ หากมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่ช่วยพวกเจ้าอีก”
หานเจวี๋ยหันหลังกระโจนเข้าสู่คลื่นวนสีดำ คลื่นวนสีดำพลันหดตัวลงจากนั้นก็เลือนหายไป
ทุกคนถึงได้สติกลับมา
ไก่คุกรัตติกาลรีบร้องขึ้นว่า “รีบกลับกันเถอะ!”
เจียงอี้พยักหน้า เขาก็ไม่กล้าผยองจองหองเช่นในอดีตอีก รู้ซึ้งแล้วว่าการเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด
การปรากฏตัวขึ้นของท่าเทียนเกอ บ่งชี้ให้เห็นว่าสำนักดวงชะตาเริ่มเคลื่อนไหว จัดวางตัวหมากในแดนเซียนแล้ว
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยไม่ได้รับแจ้งเตือนความเกลียดชังจากผู้ทรงพลังนิกายฉ่านคนอื่นๆ
แต่ก็ไม่อาจด่วนวางใจได้
หากนิกายฉ่านทั้งสำนักล้วนอยากจัดการเขา เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงทำลายนิกายฉ่านเสีย
ภายในสถานการณ์ที่ไม่มีอริยะคอยช่วยเหลือ ต่อให้ทั้งนิกายฉ่านบุกมาพร้อมกันก็ไม่มีทางฝ่าแนวป้องกันของอาณาเขตเต๋าได้
หานเจวี๋ยเริ่มฝึกบำเพ็ญ
หนึ่งปีผ่านไป
เขายังคงไม่ได้รับแจ้งเตือนความแค้นจากผู้ทรงพลังจากนิกายฉ่าน ดูเหมือนท่าเทียนเกอจะไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
อริยะแห่งนิกายฉ่านไม่มีทางแยแสเรื่องนี้
หานเจวี๋ยวางใจได้หมดจด ตั้งใจฝึกบำเพ็ญต่อ
เวลาผ่านไปว่องไวราวติดปีก
ผ่านไปแปดสิบหกปีแล้ว
พวกเจียงอี้กลับมาแล้ว ไม่ขาดหายไปสักคน ทั้งหมดล้วนบรรลุระดับจักรพรรดิเซียนกันแล้ว
การกลับมาของพวกเขาดึงดูดให้ศิษย์คนอื่นๆ เข้ามาหาและถามไถ่ด้วยความอยากรู้
พวกเขาไม่ปิดบังเรื่องที่ได้รับความช่วยเหลือจากหานเจวี๋ยเลย โดยเฉพาะไก่คุกรัตติกาล คุยโม้วางโตยิ่งว่าหานเจวี๋ยสังหารท่าเทียนเกอได้ในชั่วพริบตา โอ้อวดว่าหนึ่งหมัดของเขาทำลายฟ้าดิน ทำให้เกิดหายนะสิ้นโลกได้
หานเจวี๋ยกลับพึงพอใจกับท่าทีของพวกเขายิ่งนัก กล่าวว่าหลังจากกลับมา เห็นได้ชัดว่ามรรคจิตของพวกเขาได้รับการบ่มเพาะ รู้จักให้ความสำคัญกับการหลีกเลี่ยงภัยอันตราย
หลายเดือนผ่านไป
มีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ข้าคือเทพสูงสุดหนานจี๋อริยะแห่งนิกายฉ่าน อีกร้อยปีให้หลัง วังเลิศทักษิณเหนือชั้นฟ้าที่สามสิบสามจะมีการแสดงธรรม สรรพสิ่งต่างมาสดับฟังกันได้!”
หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการแสดงธรรมของปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเมื่อครั้งอดีต ต้องกล่าวเลยว่าการแสดงธรรมของอริยะยังคงมีแรงดึงดูดมหาศาลยิ่ง
เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่ไปอีกแล้ว
เขามีมหามรรคเอกอุบัติอยู่ ไม่จำเป็นต้องสดับอริยมรรคอีก
ไปแล้วอาจจะถูกอริยะสังหารก็เป็นได้
ส่วนเรื่องการส่งร่างแยกไปนั้น แต่ก่อนจักรพรรดิสวรรค์เคยกล่าวว่า นั่นเป็นการไม่ให้เกียรติอริยะอย่างยิ่ง สู้ไม่ไปเสียยังจะดีกว่า
ชาวสำนักซ่อนเร้นเริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากหานเจวี๋ย พวกเขาก็ไม่กล้าไป
มหาเคราะห์เพิ่งสิ้นสุดลงไม่นาน พลังอันน่าหวาดหวั่นของอริยะยังคงอยู่
เพราะศึกใหญ่ของอริยะ สรรพสิ่งถึงสูญสิ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าไปเล่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักซ่อนเร้นจึงไม่สนใจการแสดงธรรมของเทพสูงสุดหนานจี๋ ต่างบำเพ็ญเพียรตามวิถีของตนต่อไป
….
ณ แดนเซียน เขตโพ้นทะเล บนเกาะแห่งหนึ่ง
หวงจุนเทียนยืนอยู่ริมหน้าผา สายตาเหม่อมองเส้นขอบฟ้าอันสงบราบเรียบ ใจลอยอยู่เงียบๆ
ลูกศิษย์นิกายเจี๋ยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขาพลางคุกเข่า ถามว่า “อาจารย์ อริยะห่งนิกายฉ่านจะแสดงธรรม ศิษย์นิกายเจี๋ยอย่างพวกเราเข้าร่วมได้หรือไม่ขอรับ”
หวงจุนเทียนดึงสายตากลับมา เอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “หากอยากไปก็ไปเถิด”
ศิษย์นิกายเจี๋ยพูด “ความสัมพันธ์ระหว่างนิกายเจี๋ยและนิกายฉ่าน…”
“นี่มิใช่เรื่องที่พวกเจ้าควรใส่ใจ”
หวงจุนเทียนกล่าวตัดบท น้ำเสียงไม่พอใจอย่างยิ่ง
ศิษย์นิกายเจี๋ยลอบแปลกใจ วันนี้อาจารย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรืออย่างไร
หวงจุนเทียนคล้ายจะสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติไปของตนแล้ว สีหน้าพลันโอนอ่อนลงและกล่าวว่า “หาตำแหน่งของโลกเมฆาแดงพบหรือไม่”
ศิษย์นิกายเจี๋ยตอบ “สิ่งมีชีวิตแทบทั้งหมดในโลกมนุษย์ล้วนถูกกวาดล้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลือ มรรคาสวรรค์เริ่มต้นใหม่ ไม่อาจแยกแยะได้ว่าโลกใดคือโลกเมฆาแดงขอรับ”
หวงจุนเทียนขมวดคิ้ว
เขาไม่เชื่อว่าหานเจวี๋ยจะสิ้นชีพในมหาเคราะห์
แต่เขาก็ทำนายไม่ได้ว่าหานเจวี๋ยอยู่ที่ไหน
ยามนี้หวงจุนเทียนอยากกลับไปบำเพ็ญอยู่ข้างกายหานเจวี๋ย เขาอยู่ที่นิกายเจี๋ยมานานพอแล้ว ถึงแม้เขาจะขึ้นเป็นรองเจ้านิกายแล้ว แต่กลับไม่มีอิสระอยู่บ่อยครั้ง ไม่อาจบำเพ็ญอย่างสบายใจได้
จากมุมมองของเขา แม้นิกายเจี๋ยจะรอดพ้นมหาเคราะห์ครั้งก่อนมาได้ แต่จะต้องเข้าสู่เคราะห์อีกครั้งจนสำนักล่มสลายเป็นแน่
กลุ่มคนบ้า!
วิถีแตกต่างจนไม่อาจร่วมทางกันได้!
ศิษย์นิกายเจี๋ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดท่านถึงใส่ใจโลกต้นกำเนิดของท่านขนาดนั้นเล่าขอรับ ท่านเป็นถึงรองเจ้านิกายแล้ว หากวันหน้าจะสรรค์สร้างโลกธรรมดาสักแห่งขึ้นมาอีกก็มิใช่เรื่องยากเลย”
หวงจุนเทียนเอ่ยด้วยแววตาหม่นหมอง “ศิษย์เอ๋ย เจ้าไม่เข้าใจหรอก สืบหาต่อไปเถอะ”
“ขอรับ”
ศิษย์นิกายเจี๋ยจากไปพร้อมความสงสัย
หวงจุนเทียนถอนหายใจคราหนึ่ง หันหลังกลับเข้าที่พำนักของตน
….
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าปี
เวลาดำเนินไปรวดเร็วยิ่ง วันเกิดครอบรอบอายุหนึ่งหมื่นปีของหานเจวี๋ยมาถึงแล้วโดยไม่ทันได้รู้ตัว
บรรลุครึ่งอริยะได้ในภายในหมื่นปี ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญระดับนี้หากแพร่ออกไป เกรงว่าแม้แต่อริยะก็คงตกใจอ้าปากค้างกันถ้วนหน้า
ขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่พลันมีข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้า
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุหนึ่งหมื่นปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
………………………………………………………………