ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 529 อันดับหนึ่งรองลงมาจากอริยะ เคราะห์สรรพสิ่ง
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 529 อันดับหนึ่งรองลงมาจากอริยะ เคราะห์สรรพสิ่ง
เผชิญหน้ากับหกอริยะสูงส่งเหนือปวงชน หลี่เต้าคงกลับไม่หวั่นเกรง ท่าทางสงบนิ่ง แววตาเยือกเย็น
“คุกเข่าหรือ น่าขัน!”
ใบหน้าหลี่เต้าคงปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน เอ่ยว่า “หากมอบเวลาให้ข้าอีกหนึ่งมหาเคราะห์ ข้าสามารถปลิดชีพพวกเจ้าได้ในกระบี่เดียว!
อริยะหรือ อริยะที่แท้จริงสูญสิ้นไปนานแล้ว อริยะอย่างพวกเจ้าเพียงสวมหัวโขนอริยะไว้ ทำทุกวิถีทางเพื่อสนองต่อความต้องการของตน
สำนักซ่อนเร้นของข้ามิได้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือพวกเจ้า เพียงยากจะต้านศัตรูมหาศาลได้เท่านั้น!
ข้า หลี่เต้าคง ก็ไม่ยอมสิ้นชีพด้วยน้ำมือพวกเจ้าเช่นกัน พวกเจ้าไม่คู่ควร!”
เมื่อหลี่เต้าคงกล่าวจบ แสงเจิดจ้าพลันระเบิดออกมาจากร่าง
ฉากสถานการณ์สลายลงตรงนี้
จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยกลับสู่ความเป็นจริง คิ้วของเขาขมวดแน่น
น่าอนาถปานนี้เชียวหรือ
มรรคาสวรรค์จ้องเล่นงานสำนักซ่อนเร้นใช่หรือไม่
ดูจากคำพูดของหลี่เต้าคง น่าจะเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยก็ทำนายพบว่ามรรคาสวรรค์หลอกใช้ฉิวซีไหลมาเล่นงานตน
หานเจวี๋ยถามในใจเงียบๆ ‘หากข้าสาปแช่งมรรคาสวรรค์โดยตรง จะเป็นอย่างไร’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เสี่ยงเผชิญการสะท้อนกลับของมรรคาสวรรค์ได้ง่ายๆ หากสาปแช่งสำเร็จ ทุกสิ่งภายใต้มรรคาสวรรค์จะล่มสลายทั้งหมด]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ทำลายล้างทุกอย่างในมรรคาสวรรค์ นั่นออกจะเกินไปหน่อย หากไม่บีบคั้นจวนตัว ก็ช่างเถอะ
‘เห็นทีว่าจำเป็นต้องแย่งชิงดวงชะตา ควบคุมมรรคาสวรรค์เสียแล้ว’
หานเจวี๋ยตัดสินใจแล้ว ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
‘ยังเหลือเวลาอีกเท่าไรกว่าจะถึงช่วงเวลาที่วิวัฒนาการได้เมื่อครู่’ หานเจวี๋ยถาม
[อีกสามพันล้านปีให้หลัง]
ครั้งนี้ระบบไม่ได้หักอายุขัย
เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาอีกนานหานเจวี๋ยก็พลันโล่งใจ
ยังไม่สาย!
ในเมื่อทราบผลลัพธ์แล้ว เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้!
หนักแน่นไว้ก่อน!
รอให้สำนักซ่อนเร้นมีครึ่งอริยะคนอื่นปรากฏขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ส่งหลี่เต้าคงไปช่วยเหลือทางเผ่าสวรรค์แค่คนเดียว หานเจวี๋ยรู้สึกไม่วางใจ
ต่อให้หลี่เต้าคงแข็งแกร่งแค่ไหน ก็มิใช่อริยะ หากเผชิญกับการปิดล้อมโจมตีจากครึ่งอริยะ อาจจะเสียเปรียบบ้างไม่มากก็น้อย
หานเจวี๋ยหลับตา ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ณ ชั้นฟ้าที่สิบสาม ขณะที่มหาจักรพรรดิเฉินกำลังจะเหินสู่ด้านบนต่อ เงาร่างหนึ่งพลันบึ่งทะยานเข้ามาหา
มหาจักรพรรดิเฉินเหลือบมอง ขมวดคิ้วนิดๆ
ผู้มาคือสือตู๋เต้าผู้มีรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกับจ้าวอวิ๋น เตี่ยนเหวยและซือหม่าอี้
สือตู๋เต้าสวมชุดดำปักลายมังกร บุคลิกองอาจ แววตาคมกริบ
เขาหยุดลงตรงหน้ามหาจักรพรรดิเฉิน “พิจารณาดูแล้วหรือยัง”
มหาจักรพรรดิเฉินกล่าวอย่างสงบ “วิถีไร้พ่ายของเจ้ามีผู้ติดตามมากน้อยเพียงใด”
สือตู๋เต้าตอบ “สามพันคนแล้ว ต่างคนต่างมีพลังวิเศษ เพียงพอจะถล่มสำนักดวงชะตาใดๆ สักแห่งในโลกได้”
“กล่าวอีกอย่างคือ สู้สำนักดวงชะตาที่ร่วมมือกันตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปไม่ได้กระมัง”
การย้อนถามของมหาจักรพรรดิเฉิน เมื่อสือตู๋เต้าได้ฟังก็ขมวดคิ้ว
สือตู๋เต้าจ้องมองมหาจักรพรรดิเฉิน เอ่ยว่า “แม้เจ้าจะเป็นจักรพรรดิมนุษย์แห่งเผ่ามนุษย์ แต่เผ่ามนุษย์ลืมเจ้าไปนานแล้ว มิสู้มาติดตามข้า หากใช้มือเดียวบังฟ้าได้ เผ่ามนุษย์ต้องหวนคืนฐานะเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์แน่นอน”
มหาจักรพรรดิเฉินส่ายหน้า กล่าวว่า “แดนเซียนมีอาณาจักรนับร้อย มรรคาสวรรค์มีโลกานับหมื่น ตัวเจ้าสือตู๋เต้ามิใช่อันดับหนึ่งในหมู่ผู้อยู่ต่ำกว่าอริยะ คิดจะดึงตัวข้าเข้าพวก เจ้าต้องประกาศศักดาให้ได้เสียก่อน เมื่อเจ้ากลายเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ผู้อยู่ต่ำกว่าอริยะ เกรงว่านอกจากข้าแล้ว เหล่าผู้ทรงพลังในโลกมนุษย์ล้วนแต่จะบ่ายหน้ามาหาเจ้าแน่”
คิ้วของสือตู๋เต้าขมวดแน่นกว่าเดิม
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ หันหลังจากไป หายลับไปจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
มหาจักรพรรดิเฉินส่ายหน้า หายไปจากชั้นฟ้าที่สิบสาม
….
สามร้อยปีต่อมา
หานเจวี๋ยแสดงธรรมเสร็จสิ้น เขตเซียนร้อยคีรีเงียบสงัดไปหมด ศิษย์นับล้านยังคงอยู่ในสภาวะตระหนักมรรค
หานเจวี๋ยเดินมาหยุดหน้าต้นฝูซัง สังเกตการเติบโตของต้นฝูซัง มิใช่แค่ต้นฝูซัง ใต้ต้นยังมีของล้ำค่าฟ้าดินอีกมากมาย ล้วนเติบโตขึ้นเป็นอย่างดี
เจ้าใหญ่ เจ้ารองและไก่คุกรัตติกาลหมอบอยู่บนกิ่งไม้ ร่างกายล้วนใหญ่โตยิ่งนัก
เมื่อไก่คุกรัตติกาลไม่อ้าปากพูด ช่างดูน่าเกรงขามจริงๆ ให้ความรู้สึกข่มขวัญยิ่ง ราศีไม่ด้อยไปกว่าอีกาทองอีกสองตัวเลย
ช่วงนี้หานเจวี๋ยพบว่าไอเซียนและปราณฟ้าประทานภายในอาณาเขตเต๋าใกล้จะตอบสนองต่อทุกคนไม่ทันแล้ว
ถึงแม้ไอเซียนของอาณาเขตเต๋าจะหนาแน่นกว่าพื้นที่ใดๆ ในมรรคาสวรรค์ แต่ขนาดของอาณาเขตเต๋าไม่อาจเทียบเคียงกับมรรคาสวรรค์ได้
ระดับเทพหลายพันคน ต้าหลัวหลายคน ยังมีผู้บำเพ็ญอีกนับล้าน อาณาเขตเต๋าค่อนข้างตามไม่ทันจริงๆ
‘นอกจากค่ายกลของอาณาเขตเต๋า ข้ายังต้องพิจารณาถึงระดับพลังวิญญาณด้วย’
หานเจวี๋ยถอนหายใจอยู่ภายในใจ
หากในอาณาเขตเต๋ามีคนเพียงจำนวนหนึ่ง ไม่มีทางต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ แต่เขาชุบเลี้ยงสิ่งมีชีวิตนับล้าน มีได้ก็ต้องมีเสีย
แต่ตอนนี้ยังพอใช้ได้ ขอเพียงจำนวนสิ่งมีชีวิตไม่เพิ่มขึ้นอีก ความเร็วในการทะลวงระดับของเหล่าศิษย์ไม่ได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น น่าจะไม่ต้องกังวลถึงปัญหาด้านพลังวิญญาณ
‘เหตุใดข้าถึงคิดเช่นนี้เล่า นี่มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ’
หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดขำออกมา
อีกไม่กี่ร้อยปี เขาก็จะอายุครบสี่หมื่นปีแล้ว
ยามที่อายุสี่หมื่นล้านปีน่าจะได้ของดีบ้าง ไม่เรียกร้องถึงการยกระดับระบบก็ได้ แต่ยกระดับอาณาเขตเต๋าสักครั้งน่าจะไม่เกินไปกระมัง
หานเจวี๋ยคุยกับระบบอยู่ในใจ
ระบบไม่ได้ตอบกลับ เป็นปกติยิ่ง เจ้าระบบนี้ไม่ได้มีสติปัญญามากนัก เวลาทั่วไปไม่ได้สื่อสารพูดคุยกับหานเจวี๋ยเลย
ถ้ามันสื่อสารกับหานเจวี๋ยบ่อยๆ จริง เขาคงตระหนกกระสับกระส่าย ราวกับมีใครอีกคนอาศัยอยู่ในร่างเขา
จากนั้น หานเจวี๋ยกลับไปที่อารามเต๋า ฝึกบำเพ็ญไปพลาง ตรวจดูจดหมายไปพลาง
[เจียงตู๋กูสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ไท่กู่หยวนเฟิ่งสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านได้รับการเข้าฝันจากบรรพชนเต๋า พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่ามาร] x13920
[จักรพรรดินีผืนพิภพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากมหาจักรพรรดิเซียวสหายของท่าน]
[หานมิ่งสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดสหายของท่าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[ผานซินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
….
เมื่อไล่อ่านลงไป บาดเจ็บสาหัสกันมากมายนัก!
เขานึกว่ามหาเคราะห์เปิดฉากขึ้นเสียแล้ว
สหายที่หายหน้าไปนานบางส่วนต่างเริ่มโผล่มาแล้ว ยกตัวอย่างเช่นจักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดและไท่กู่หยวนเฟิ่ง
ยังมีหานมิ่งด้วย…
สำหรับหานมิ่งน้องชายราคาถูกคนนี้ หานเจวี๋ยแทบจะลืมไปแล้ว ถึงอย่างไรสายสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ตัดขาดไปนานแล้ว
หานมิ่งก็รู้ความยิ่ง ไม่เคยกลับมาหาหานเจวี๋ย สร้างความยุ่งยากให้เขาเลย
เสมือนทั้งสองไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างอยู่
สิ่งที่ควรค่าพอให้กล่าวถึงคือ ค่าความประทับใจที่หานมิ่งมีต่อหานเจวี๋ยยังคงเป็นหกดาว กล่าวให้ชัดคือไม่เคยลืมหานเจวี๋ยหรือเกลียดชังเขาเลย
หากคุณสมบัติหานมิ่งไม่ย่ำแย่ ก็พอรับไว้ได้
น่าเสียดาย
หานเจวี๋ยเพียงคิดไปเรื่อยเปื่อย ไม่คิดปล่อยให้หานมิ่งกลายเป็นจุดอ่อนของตน
อย่าว่าแต่หานมิ่งเลย หากหานเจวี๋ยต้องเผชิญสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ หากไม่มีวิธีอื่น เขาจะเลือกเพียงตัวเองเสมอ
ชีวิตชาตินี้ของเขา เพียรพยายามเพื่อชีวิตยืนยาวอมตะเท่านั้น ทุกอย่างที่ได้รับมาระหว่างทางล้วนเป็นกำไร ไม่อาจหลงลืมเจตจำนงได้
ในไม่ช้า ความสนใจของหานเจวี๋ยก็ย้ายไปอยู่ที่บุคคลอื่น
เพราะเวรกรรม จึงมีการต่อสู้กันไม่สิ้นสุด
หากมีปราณม่วงอนธการสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาจริงๆ จะไม่วุ่นวายกว่าเดิมหรือ
หานเจวี๋ยค่อนข้างตั้งตารออย่างน่าประหลาด
“ข้า เทพสูงสุดหนานจี๋ อีกร้อยปีให้หลัง จะแสดงธรรม ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม สรรพสิ่งมาสดับฟังได้ทั้งสิ้น ในการสดับครั้งนี้จะเป็นการกำหนดตำแหน่งอริยะมรรคาสวรรค์!”
เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดของสำนักซ่อนเร้นสะดุ้งตื่นขึ้นมา
หานเจวี๋ยเลิกคิ้วแวบหนึ่ง
เริ่มขุดหลุมพรางดักคนอีกแล้ว!
นี่คงต้องการหลอกล่อสรรพสิ่งกระมัง
หานเจวี๋ยลังเล ฉวยโอกาสสาปแช่งเทพสูงสุดหนานจี๋ตอนแสดงธรรมสักหน่อยดีหรือไม่
ช่างเถอะ หากเทพสูงสุดหนานจี๋เป็นบ้าไป ผู้สดับฟังมรรคจะมีอันตราย ก่อบาปมหันต์เกินไป
[เจ้าแม่หนี่ว์วาต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
ข้อความแถวหนึ่งพลันเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
………………………………………………………………