ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 594 บรรพชนเต๋าปรากฏ
“ท่านใส่ใจดาวโลกมากหรือ”
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรถามด้วยความสงสัย ในมุมมองของเขา ดาวโลกธรรมดาสามัญ เป็นเพียงฝุ่นละอองกลุ่มหนึ่งในแดนเซียนพิภพ ไม่คู่ควรให้กล่าวถึงเลย
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เปล่าเลย ดาวโลกมีความพิเศษอันใดเล่า เจ้าน่าจะรู้ดี นอกจากประวัติศาสตร์ ก็ไม่มีความผิดปกติอื่นใด ”
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรพยักหน้ารับ เขาก็เคยทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ดาวโลกมาแล้ว ในอดีตเคยเป็นแหล่งอารยธรรมหลักของแดนเซียนพิภพ น่าเสียดาย นั่นเป็นเพียงอดีตเท่านั้น
นับตั้งแต่เจิ้นหยวนจือออกจากแดนเซียนพิภพ เทพมารฟ้าบุพกาลลึกลับก็บุกเข้ามา แดนเซียนพิภพได้แปรเปลี่ยนเป็นดินแดนรกร้าง
หานเจวี๋ยซักถามรายละเอียดบางส่วนเกี่ยวกับผู้กลับชาติมาเกิด
ผู้กลับชาติมาเกิดที่จักรพรรดิเซียนวัฏจักรรับเข้ามามิได้มาจากช่วงเวลาเดียวกัน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตของแดนเซียนพิภพที่มาจากต่างเส้นเวลากัน แต่จุดหนึ่งที่ต้องระวังคือไม่สามารถปรากฏสิ่งมีชีวิตที่มีรากฐานเดียวกันถึงสองคนได้ หมายความว่าถ้าเลือกคนผู้นี้แล้ว ก็ไม่สามารถเลือกคนผู้เดียวกันนี้จากเส้นเวลาอื่นได้อีก
ด้วยความสามารถของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร การข้ามมิติเวลาไม่เป็นปัญหาเลย
และสำหรับผู้ทรงพลังอย่างหานเจวี๋ย ไม่ต้องกลัวเรื่องจะมีคนข้ามมิติเวลาไปหาตนในอดีตเลย เนื่องจากพวกเขาสามารถรับรู้ได้ทันที
ผ่านไปหลายชั่วยาม แดนความฝันถึงได้สิ้นสุดลง
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรลืมตาขึ้น เขานั่งอยู่ในตำหนักใหญ่มืดสลัวแห่งหนึ่ง ข้างกายมีเทวรูปสูงใหญ่สององค์ตั้งอยู่
คนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้าเขา กล่าวว่า “นายท่าน มีเผ่าพันธุ์บางกลุ่มในแดนเซียนพิภพเริ่มค้นพบการมีอยู่ของพวกเราแล้วขอรับ เริ่มแสดงความเป็นอริออกมาแล้ว”
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ได้โอกาสเพิ่มภารกิจใหม่ให้เหล่าผู้กลับชาติมาเกิดพอดี ข้าจะปล่อยสมบัติวิเศษชุดใหม่ เจ้าออกไปปลุกปั่นกระแสเสีย”
“อีกเรื่องหนึ่ง คัดเลือกจอมเทพออกมาสิบสองคน ต่อจากนี้ให้จอมเทพทั้งสิบสองคนดูแลจัดการมิติวัฏจักร ข้ายังต้องฝึกบำเพ็ญ จะถอยหลบไปอยู่เบื้องหลัง”
คนชุดดำได้ฟังก็รีบตอบรับทันที
จักรพรรดิเซียนวัฏจักรให้เขาถอยออกไป ทันทีที่เขาหันหลังกลับ ดวงตาคนชุดดำฉายแววตื่นเต้น
เขาจะได้เลื่อนขั้นแล้ว!
….
เวลาผันผ่าน ดำเนินมาหนึ่งพันปีแล้ว
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สิ้นสุดการฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
สดชื่น!
แม้ว่าจะบรรลุระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์แล้ว หานเจวี๋ยก็ยังคงเปี่ยมด้วยความคาดหวังต่อการฝึกบำเพ็ญ
ในแดนเซียน เขากลายเป็นตัวตนที่ไร้พ่ายแล้วอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าแดนเซียนจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
หานเจวี๋ยลุกขึ้น ขยับยืดเส้นยืดสาย
ดวงจิตประหลาดพลันลอยเข้ามา
เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ดวงจิตประหลาดมาก่อกวนหานเจวี๋ยน้อยครั้งยิ่ง มันเองก็ไปเสาะหาสถานที่ฝึกบำเพ็ญด้วยตัวเองเช่นกัน ตบะของมันผูกโยงกับหานเจวี๋ย ยิ่งหานเจวี๋ยแข็งแกร่งมากเท่าไร มันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้มันก็มีพลังระดับอริยะเช่นกัน แต่ยังห่างชั้นกับหานเจวี๋ย และไม่มีสถานะอริยะ
หานเจวี๋ยเหลือบมองมันแวบหนึ่ง สอบถามผ่านสายตาว่ามีธุระอะไร
ดวงจิตประหลาดโบกไม้โบกมือ สื่อสารด้วยท่าทาง
หานเจวี๋ยรับรู้ผ่านทางกระแสจิตว่าดวงจิตประหลาดสัมผัสถึงตัวตนของดวงจิตอัปมงคลได้ ซึ่งเข้าสู่แดนเซียนแล้ว
ดวงจิตอัปมงคล แปรผันมาจากวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในแดนต้องห้ามอันธการ ผ่านการหล่อเลี้ยงมาเนิ่นนานไม่อาจนับถึงจะกำเนิดเป็นดวงจิตอัปมงคลสักดวง
หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจ เหตุใดดวงจิตอัปมงคลถึงเข้าสู่แดนเซียนได้ มรรคาสวรรค์ไม่ขัดขวางหรือ
คล้ายว่าเขาจะนึกอะไรได้ เงยหน้ามองขึ้นไปทันที
มองเห็นว่า ณ ชั้นฟ้าที่เก้า เมฆาม่วงแผ่ปกคลุม อำนาจสวรรค์อันยิ่งใหญ่กำลังควบกลั่นรวมตัว ใจกลางอำนาจแห่งสวรรค์มีร่างหนึ่งยืนอยู่
ฟางเหลียง!
กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นว่างเปล่า แปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำไม่อาจหยั่งได้
แม้แต่หานเจวี๋ยก็ไม่อาจมองทะลุตัวตนของเขาได้ ตบะของเขาบรรลุถึงระดับครึ่งอริยะแล้ว แต่อริยะอย่างหานเจวี๋ยกลับมองกลิ่นอายและรากฐานวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ออก
หานเจวี๋ยเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมา ตรวจดูรูปประจำตัวของฟางเหลียง
สถานะของฟางเหลียงเปลี่ยนเป็นบรรพชนเต๋าแล้ว!
หรือจะเป็นเพราะฟางเหลียงกลายเป็นบรรพชนเต๋า มรรคาสวรรค์จึงปั่นป่วน ถึงทำให้ดวงจิตอัปมงคลสบโอกาส
ฟางเหลียงกลายเป็นบรรพชนเต๋า เหตุใดอริยะรายอื่นถึงไม่มีความเคลื่อนไหว
หานเจวี๋ยเข้าฝันฉิวซีไหล
ในแดนความฝัน หานเจวี๋ยเอ่ยข้อสงสัยนี้ออกไปโดยตรง
ฉิวซีไหลถูกคุกสวรรค์อนธการสยบทาสแล้ว ย่อมจงรักภักดีต่อเขา
ฉิวซีไหลเอ่ยด้วยสีหน้าแปลกพิกล “ฟางเหลียงคือศิษย์ของท่านมิใช่หรือขอรับ เหล่าอริยะไหนเลยจะกล้าเล่นงาน ผู้ใดจะกล้าออกความเห็นเล่า”
หานเจวี๋ยตะลึงงัน เพราะสาเหตุนี้หรอกหรือ
พอลองไตร่ตรองดูก็ถูกแล้ว
ไม่มีอริยะหน้าไหนกล้าล่วงเกินหานเจวี๋ย รวมถึงจอมอริยะเสวียนตูด้วย ทั้งหมดเผชิญหน้ากับหานเจวี๋ยด้วยความสุภาพ ในมุมมองของพวกเขา ความเปลี่ยนแปลงของฟางเหลียงอาจเป็นความประสงค์ของหานเจวี๋ย
“ฝูซีเทียนเคยมาถามข้า คาดว่าคงได้ยินข่าวลือมา นับตั้งแต่นั้นมา เหล่าอริยะต่างก็เมินเฉยต่อฟางเหลียง จะว่าไป เหตุใดฟางเหลียงถึงสามารถดูดซับดวงชะตามรรคาสวรรค์ได้เล่า” ฉิวซีไหลถามด้วยความฉงน
หานเจวี๋ยถึงได้รับรู้ว่าเหล่าอริยะต่างนึกว่าฟางเหลียงเพียงแค่ดูดซับดวงชะตามรรคาสวรรค์อยู่ ไม่รู้ว่าเขากำลังจะกลายเป็นบรรพชนเต๋า
หานเจวี๋ยเล่าให้ฉิวซีไหลฟังตามตรงโดยไม่ปิดบัง
พอได้ฟัง ฉิวซีไหลก็เบิกตากว้าง
“แย่แล้ว!”
ฉิวซีไหลพึมพำ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
แววตาฉิวซีไหลหม่นหมอง เอ่ยว่า “ก่อนบรรพชนเต๋าจะจากไปเคยกำหนดตัวผู้สืบทอดเอาไว้ คืออดีตอริยะแห่งนิกายเหริน ทว่าถูกพวกเราวางแผนเล่นงานจนดับสูญ หลี่มู่อีที่ออกจากมรรคาสวรรค์ไปแล้วถึงจำเป็นต้องกลับมา”
หานเจวี๋ยพลันนึกขึ้นได้ว่านิกายเหรินไม่มีอริยะมรรคาสวรรค์รายอื่นแล้วจริงๆ เหลืออยู่เพียงปราณม่วงอนธการเท่านั้น
“หากว่าบรรพชนเต๋าฟื้นคืนชีพ แล้วทราบเรื่องนี้เข้า เกรงว่าพวกเราเหล่าอริยะต้องถูกตามล่าคิดบัญชี ขนาดเจ้านิกายทงเทียนผู้งามสง่าจนถึงตอนนี้ก็ยังถูกสะกดไว้ในแดนรกร้างอยู่ ไม่อาจฟื้นตัวได้อีกตลอดกาล”
ในใจของเหล่าอริยะ บรรพชนเต๋าคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นตัวตนที่พวกเขายำเกรงที่สุด
หากบรรพชนเต๋าไม่จากไป พวกเขาคงไม่กล้าต่อสู้แย่งชิง
ตอนนี้บรรพชนเต๋ากลับมาแล้ว…
หานเจวี๋ยเอ่ยปลอบ “วางใจเถอะ ฟางเหลียงเป็นเพียงร่างแยกของบรรพชนเต๋า มิใช่บรรพชนเต๋าตัวจริง”
“จริงหรือ”
“อืม”
ฉิวซีไหลโล่งอกแล้ว
หลังจากหานเจวี๋ยกำชับฉิวซีไหลไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเสร็จก็สลายแดนความฝันลง
กลับมาที่โลกความเป็นจริง หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
ดวงจิตประหลาดปรี่เข้ามาหา
“เจ้าอยากออกไปหรือ”
ดวงจิตประหลาดพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง
หานเจวี๋ยใคร่ครวญดู เอ่ยไปว่า “ให้เจ้าออกไปได้ แต่เจ้าห้ามออกจากมรรคาสรรค์ และห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากดวงจิตอัปมงคล มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ออกไปตามกฎ วันหน้าแม้แต่ข้าก็ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้”
ดวงจิตประหลาดโบกมือ สื่อว่ามันรับรอง
หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อส่งมันออกไป
เจ้าตัวนี้ขี้ระแวงยิ่ง ถ้าไม่มีความมั่นใจ ไม่มีทางมาหาหานจวี๋ยก่อน
ดวงจิตอัปมงคลดวงนั้นซวยแล้ว
จากนั้นหานเจวี๋ยก้าวออกจากอารามเต๋า เดินไปหยุดที่หน้าอารามเต๋าที่อยู่ด้านข้าง เขายกมือเคาะประตู
ประตูเปิดออกทันที สิงหงเสวียนลุกออกมาต้อนรับ
หลังจากหานเจวี๋ยเข้าไป ประตูใหญ่ก็ปิดลง
จางเจี่ยวและจิ้งจอกชาดทำเป็นมองไม่เห็นไปเสีย ต่างคนต่างฝึกบำเพ็ญต่อไป
หานเจวี๋ยเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะเล็ก รินชาให้ตัวเองพลางถามว่า “ระยะนี้การบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง”
สิงหงเสวียนนั่งลง คลี่ยิ้มปานบุปผา เอ่ยว่า “พอไหว เข้าใกล้ระดับต้าหลัวไปเรื่อยๆ แล้ว แต่ไม่ทราบเช่นกันว่ายามไหนถึงจะพิสูจน์มรรคเป็นครึ่งอริยะ และกำเนิดบุตรให้ท่านได้”
สิงหงเสวียนอาศัยการเกิดใหม่ปรับปรุงคุณสมบัติ อีกทั้งได้รับดวงชะตาจักรพรรดิมนุษย์ ฝึกบำเพ็ญมาเนิ่นนานปานนี้ จะเข้าใกล้ระดับต้าหลัวก็ไม่แปลก นางมิใช่มนุษย์ธรรมดามานานแล้ว
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ “คลอดลูกจะมีประโยชน์อะไร ระวังเถอะว่าจะบั่นทอนเอาแก่นตบะของเจ้าไปด้วย”
สิงหงเสวียนเบะปาก เอ่ยว่า “ข้าทำเช่นนี้เพราะมีทายาทไว้ให้ท่าน หากวันไหนท่านต้องการไปจากสำนักซ่อนเร้น ออกไปท่องโลกด้านนอก มีทายาทคอยดูแลสำนักซ่อนเร้นให้ท่าน บุตรแห่งสวรรค์ของสำนักซ่อนเร้นเหล่านี้แต่ละคนต่างเย่อหยิ่งจองหองกันทั้งนั้น หากวันหน้ากลายเป็นมังกรไร้หัวจะเกิดเรื่องเอาได้”
………………………………………………………………