ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 651 ลี้ภัย คัดเลือกเทพมาร
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสองแสนปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย
[ตรวจสอบพบว่าสื่อหยวนหงเหมิงถูกมรรคาสวรรค์ขับไล่ ไม่สามารถเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้ อีกทั้งสื่อหยวนหงเหมิงก็ไม่มีเจตนาร้ายต่อมรรคาสวรรค์]
ไม่มีเจตนาร้ายหรือ
เช่นนั้นเขามาทำไม
หานเจวี๋ยวิวัฒนาการต่อ ถูกหักอายุขัยอีกสองแสนปี
[เขากำลังซ่อนตัวจากตัวตนแข็งแกร่งบางอย่าง รายละเอียดเป็นมาอย่างไร ระบบไม่สามารถวิวัฒนาการได้]
ที่แท้ก็ลี้ภัยมา
หานเจวี๋ยลังเลว่าจะติดต่อกับสื่อหยวนหงเหมิงดีหรือไม่ หากคนผู้นี้กลายพันธุ์สำเร็จ ก็นับเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับหานเจวี๋ย
ไม่ได้
เช่นนี้ก็เท่ากับเปิดเผยว่าเขาคือเทพมารอนธการมิใช่หรือ
ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็มิได้มุ่งร้ายต่อมรรคาสวรรค์ ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย
หลังจากตัดสินใจได้ หานเจวี๋ยก็ถอนสายตากลับมา
การปรากฏตัวของสื่อหยวนหงเหมิงทำให้หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงอันตราย ต้องเร่งความเร็วในการชุบเลี้ยงเทพมารฟ้าบุพกาลเสียแล้ว
หานเจวี๋ยเรียกต้าซั่นเทียนมาที่อารามเต๋า
ตบะของต้าซั่นเทียนเป็นระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์แล้ว เหมาะจะเปลี่ยนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลยิ่ง หานเจวี๋ยไม่ได้คิดจะมอบปราณม่วงมหามรรคให้เขาอยู่พอดี
หลังจากคารวะหานเจวี๋ยเสร็จ ต้าซั่นเทียนข่มความตื่นเต้นเอาไว้
มาอยู่ที่เขตเซียนร้อยคีรีได้ระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดหานเจวี๋ยก็เรียกพบเขาแบบส่วนตัว
จะให้พิสูจน์มรรคแล้วหรือ
หัวใจของต้าซั่นเทียนที่ผ่านกาลเวลามายาวนานโชกโชนเริ่มสั่นไหวขึ้นมา
ประโยคที่หานเจวี๋ยกล่าวคือ “ต้าซั่นเทียน เป้าหมายของเจ้าคืออริยะ หรือสูงกว่านั้น”
ต้าซั่นเทียนตะลึงงัน
แม้จะเป็นผู้ทรงพลังแห่งแดนเซียน แต่ต้าซั่นเทียนกลับไม่ทราบเกี่ยวกับแดนเทพหวนปัจฉิมรวมถึงผู้เลิศล้ำที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาลเลย
แม้จะเคยไปเยือนแดนเทพหวนปัจฉิม แต่เขาก็ไม่เคยข้องเกี่ยวกับตัวตนระดับนั้น
ต้าซั่นเทียนถามอย่างระมัดระวัง “ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ”
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง ทางแรกคือพิสูจน์มรรคกลายเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ แต่ก็สิ้นสุดลงเท่านี้ ทางเลือกที่สองคือข้าจะมอบสายเลือดอันเลิศล้ำให้เจ้า ช่วยให้เจ้าได้ครอบครองคุณสมบัติที่เหนือล้ำกว่าอริยะ”
“นอกมรรคาสวรรค์ยังมีดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลอยู่ คิดว่าสถานะของข้าได้มาอย่างไรเล่า หากข้าเป็นเพียงอริยะทั่วๆ ไป อริยะตนอื่นไหนเลยจะปล่อยให้สำนักซ่อนเร้นมีช่องพัฒนาตัว เหตุผลก็เพียงเพราะข้าก้าวข้ามอริยะมรรคาสวรรค์ไปแล้ว ยามนี้ต่อให้อริยชนปรองดองกันล้วนแต่สู้ข้าไม่ได้!”
น้ำเสียงหานเจวี๋ยหนักแน่นทระนง เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ต้าซั่นเทียนฟังแล้วเคลิบเคลิ้มหลงใหล เอ่ยขึ้นมา “ทางเลือกที่สองต้องแลกด้วยสิ่งใดหรือขอรับ”
หานเจวี๋ยตอบตามตรง “ความทุกข์ทรมาน ขั้นตอนเปลี่ยนถ่ายสายเลือดนั้นทุกข์ทรมานยิ่ง อีกอย่าง หลังจากนั้นข้าจะให้เจ้าเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เท่ากับจะสูญเสียอิสระไป หลังจากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่สิ้นสุดลง ข้าถึงจะปล่อยเจ้าออกมา”
มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่…
ต้าซั่นเทียนตื่นตระหนกอยู่ในใจ
ถึงแม้จะไม่ทราบว่ามหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เป็นอย่างไร แต่พอหวนนึกถึงมหันตภัยมารสวรรค์และวิกฤตการณ์เผ่าเพลิงกัลป์ ก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ามรรคาสวรรค์มิได้ปลอดภัยถึงเพียงนั้น
ต้าซั่นเทียนตกอยู่ในความสับสนยุ่งเหยิง
หานเจวี๋ยก็ไม่เร่งรัด เขาเชื่อว่าต้าซั่นเทียนจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง
หากมิใช่เพราะศิลาก่อวิญญาณหามาได้ยาก หานเจวี๋ยไหนเลยจะเลือกต้าซั่นเทียน
นี่คือโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่!
ผ่านไปนานพักใหญ่
ต้าซั่นเทียนเงยหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าเลือกทางที่สอง! เจ้าสำนักโปรดมอบสายเลือดอันเลิศล้ำให้ข้าด้วยเถิด!”
คุณสมบัติสายเลือดของเขาเป็นเลิศในมรรคาสวรรค์แล้ว แต่เขาเชื่อว่าหานเจวี๋ยไม่มีทางหลอกลวงเขา
หานเจวี๋ยโบกมือดึงตัวต้าซั่นเทียนเข้าสู่โลกอนธการ จากนั้นใช้พลังระดับเสรีทำลายสังขารของต้าซั่นเทียน ดึงวิญญาณออกมา
ต้าซั่นเทียนตกใจ แต่เขาก็มิได้ร้องโวยวาย เพียงรอคอยด้วยความกระสับกระส่าย
หานเจวี๋ยควบคุมเขามาหยุดเบื้องหน้าปราณเทพมาร เมื่อเห็นปราณเทพมารมากมายหลายกลุ่มที่อยู่เบื้องหน้า วิญญาณต้าซั่นเทียนก็สั่นระริก
เขารู้สึกคล้ายพานพบศัตรูตามธรรมชาติ ความรู้สึกวิกฤตเป็นภัยถึงชีวิตผุดขึ้นในใจเขาอย่างต่อเนื่อง
หานเจวี๋ยลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกเทพมารเงาไพศาลให้ต้าซั่นเทียน
เทพมารเงาไพศาลและเทพมารร่างแยกมีตัวตนคล้ายคลึงกัน แบ่งแยกเงาแห่งมหามรรคได้นับไม่ถ้วน เป็นหนึ่งในร่างจำลองเทพมารชุดแรกๆ ที่หานเจวี๋ยเรียนรู้
ขั้นตอนการผสานรวมนั้นทุกข์ทรมานยิ่งกว่าที่ต้าซั่นเทียนจินตนาการไว้ แต่เพื่อไม่ให้ขายหน้าต่อหน้าหานเจวี๋ย เขายังคงฝืนอดทนไว้
เพียงพริบตาเดียว เวลาผ่านไปอีกหนึ่งพันปี
หานเจวี๋ยเห็นว่าต้าซั่นเทียนน่าจะปรับตัวเข้ากับพลังของเทพมารเงาไพศาลได้แล้ว จึงไม่ใช้พลังเวทของตนปกป้องต้าซั่นเทียนอีก
เขากลับมาให้ความสนใจกับโลกความเป็นจริง เริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ
ปิดด่านยาวนานอีกหนึ่งพันปี
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หานเจวี๋ยอดบิดขี้เกียจไม่ได้
วิธีฝึกบำเพ็ญเช่นนี้กลายเป็นความเคยชินของหานเจวี๋ยไปเสียแล้ว หากไม่ฝึกบำเพ็ญให้ครบพันปี เขาจะรู้สึกอึดอัดครั่นเนื้อครั่นตัว
สองพันปีผ่านไป บริเวณรอยต่อระหว่างสองภพหยินหยางมีโลกมนุษย์ใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมากมาย เผ่าสวรรค์ก็ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในยมโลกได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
หานเจวี๋ยทอดสายตาสอดส่องแดนเซียน ตัดสินใจคัดเลือกตัวเลือกเทพมารอีกจำนวนหนึ่ง
จากที่เผ่าเพลิงกัลป์เข้าโจมตีแดนเซียนก่อนหน้านี้ หากว่ากันในแง่ของพลังด้านการต่อสู้ แดนเซียนถือว่าล้าหลังกว่า
สัญชาตญาณของหานเจวี๋ยบอกว่า
เผ่าเพลิงกัลป์มิใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยทอดสายตาไปยังโลกเขย่าพิภพ มองไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
เวลาผ่านไปแสนกว่าปี สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ยังคงอยู่ กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเขย่าพิภพ ต้องยกความดีความชอบให้พุทธะอาภรณ์ขาวที่คอยให้การสนับสนุน
เพียงแต่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มิใช่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในปีนั้นอีกแล้ว
สถานที่ตั้งเดิมของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์รกร้างเปล่าเปลี่ยว อยู่ห่างไกลจากหุบเขาสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในปัจจุบันนี้
หานเจวี๋ยคะนึงถึงอดีตขึ้นมา จู่ๆ ก็อยากไปเดินเล่นดูสักหน่อย
เขาแยกจิตรับรู้ส่วนหนึ่งออกมา แปลงเป็นร่างแยกกลับไปเยือนที่ตั้งเก่าของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์
ที่แห่งนี้ทิวเขาสลับเรียงราย ไม่มีสิบแปดยอดเขาแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในวันวานแล้ว ถึงขั้นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนด้วยซ้ำ
หานเจวี๋ยเดินเข้ามาในป่า แสงตะวันส่องลอดกิ่งสะท้อนลงบนร่างเขา ภาพในอดีตผุดขึ้นเบื้องหน้าเขาทีละฉาก
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยหวนนึกถึงหลี่ชิงจื่ออดีตเจ้าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ขึ้นมา
“ท่านพอใจกับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในยามนี้หรือไม่”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงหม่นหมอง
น่าเสียดาย มรรคาสวรรค์เริ่มต้นใหม่ วิญญาณหลี่ชิงจื่อสลายหายไปนานแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อีกเช่นกัน
หานเจวี๋ยไม่แผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไปตรวจสอบรอบข้าง ปิดกั้นประสาทการรับรู้ เดินเตร่ไปเรื่อยๆ ราวกับเที่ยวชมป่าเขาอยู่
ครึ่งวันผ่านไป
หานเจวี๋ยสอดม้วนตำราลับฉบับหนึ่งเข้าไปในรอยแยกก้อนหินบนยอดเขาลูกหนึ่ง เป็นวิชาวัฏจักรหกวิถี
หากมีคนได้รับม้วนตำราลับเล่มนี้ไป และเข้าตาหานเจวี๋ยได้ เช่นนั้นเขาก็มีโอกาสกลายเป็นตัวเลือกเทพมาร
….
เมื่อจิตรับรู้กลับสู่ร่าง หานเจวี๋ยกวาดตามองไปทั่วแดนเซียน
ยังคงต้องคัดเลือกจากแดนเซียนถึงจะเหมาะสมกว่า วัฏจักรการเติบโตของสิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ยาวนานเกินไป ยกตัวอย่างเช่นหยางตู๋ ยังห่างไกลจากระดับครึ่งอริยะมากนัก
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หานเจวี๋ยก็นึกถึงหานมิ่งขึ้นมา
หลังจากแยกทางกับหานทั่ว หานมิ่งปิดด่านฝึกบำเพ็ญตามลำพัง ไม่ออกมานับหมื่นปีแล้ว
หายเจวี๋ยตัดบ่วงกรรมพี่น้องกับเขาแล้ว แต่ชาตินี้หานมิ่งดีต่อหานทั่วยิ่งนัก ทำให้เขาตื้นตันอยู่บ้าง
ระดับความประทับใจที่เด็กคนนี้มีต่อหานเจวี๋ยเป็นระดับ 6 ดาวมานานแล้ว น่าจะไม่หักหลังหานเจวี๋ย
ยามนี้หานมิ่งอยู่ในระดับปฐมเทพขั้นหกแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทะลวงสู่ระดับเซียนทองต้าหลัวได้
ขีดจำกัดด้านคุณสมบัติของเขามาถึงแค่นี้ เว้นแต่จะกราบเข้าสู่สังกัดผู้ทรงพลัง
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหาเขา
หานมิ่งที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งลืมตาขึ้นทันที
“หานมิ่ง”
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้นอีกครั้ง ทำให้หานมิ่งแน่ใจว่าไม่ได้หูแว่วไป
เสียงนี้…
หานมิ่งไม่มีทางลืมลง!
หานมิ่งฝืนข่มระลอกอารมณ์มหาศาลในใจไว้ เปิดปากถาม “มีเรื่องใด”
“เข้าร่วมสำนักซ่อนเร้นเถอะ”
“ท่านต้องการข้าหรือ”
“ไม่นับว่าต้องการ เพียงอยากมอบโอกาสวาสนาให้เจ้าสักครั้ง”
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถอะ ข้าไม่อยากรบกวนท่าน ข้าติดค้างท่านมากมายพอแล้ว”
หานมิ่งส่ายหน้าเอ่ยวาจา ในอดีตเขาเคยชิงชังในความไร้เยื่อใยของหานเจวี๋ย แต่หากมิใช่เพราะหานเจวี๋ย จักรพรรดิสวรรค์ไม่มีทางให้เขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ดังนั้นเขามีเพียงความเคารพและซาบซึ้งในตัวหานเจวี๋ย ถึงขั้นที่ไม่กล้าอาจเอื้อมใฝ่สูงเลย
………………………………………………………………