ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 674 ผานกู่กลับชาติ
เมื่อกลับถึงอารามเต๋า หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบทันที ท้าสู้กับผานซิน!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบเป็นครั้งที่สอง
เป็นอย่างที่เขาเดาไว้ ประเด็นหลักในความแข็งแกร่งของผานซินอยู่ที่ร่างกายอมตะมิวางวาย ความอมตะมิวางวายเช่นนี้เผด็จการยิ่งกว่าการคืนชีพของมรรคาสวรรค์เสียอีก ไม่มีทางทำลายสังขารของเขาได้เลย
ส่วนขวานเบิกฟ้า ระดับความเร็วนั้นเชื่องช้ายิ่ง ไม่อาจทำร้ายหานเจวี๋ยได้เลย
ในเมื่อจอมเทพข่งเซวี่ยหลบได้ หานเจวี๋ยก็ย่อมทำได้เช่นกัน
หานเจวี๋ยสำแดงโทสะเทพอนธการ ผสานกับพลังแห่งเทพมาร ในที่สุดก็สามารถสกัดตัดเอวผานซินได้ ผลคือมีบัวเขียวดอกหนึ่งผุดขึ้นมา โอบคลุมผานซินไว้ ป้องกันการโจมตีทุกชนิด
บัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาล!
น่าสนใจอยู่บ้าง!
หานเจวี๋ยเริ่มจมจ่อมอยู่ในการต่อสู้กับผานซิน
ร้อยปีผ่านไปในชั่วพริบตา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา
สาแก่ใจดีจริงๆ!
รอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจฉายชัดอยู่บนหน้าเขาอีกครั้ง
เขามีกายดาราอนธการ ครอบครองพลังวิเศษมหามรรคมากมาย ถือครองยอดสมบัติสารพัดชนิด ต่อสู้กับผู้ที่มีระดับเหนือกว่ามาตลอด ผานซินแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะแกร่งไปกว่าเขา!
ถึงแม้เขาจะหาทางทำลายบัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาลไม่ได้ แต่เขาสามารถทำให้ผานซินบาดเจ็บได้แล้ว
หลังจากผสานร่างจำลองเทพมารฟ้าบุพกาลเข้าด้วยกัน พลังอันน่าหวาดหวั่นก็สามารถฉีกทึ้งผานซินได้ เขาพบว่าร่างกายของผานซินซับซ้อนยิ่ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีพลังมหามรรคแอบแฝงอยู่มากมาย หากเป็นผู้บำเพ็ญที่ครอบรองมหามรรคเพียงชนิดเดียว คงโจมตีเขาไม่ได้ผลจริงๆ
เหล่าอริยะมหามรรคล้วนฝึกบำเพ็ญมหามรรคเพียงวิถีเดียว แค่มหามรรควิถีเดียวก็ทำให้พวกเขาต้องฝึกบำเพ็ญทำความเข้าใจอยู่นานโขแล้ว อีกทั้งระหว่างมหามรรคก็ต่อต้านกันเองด้วย
ไม่มีผู้ใดทำแบบหานเจวี๋ยได้!
หานเจวี๋ยไขข้อสงสัยให้ตัวเองได้แล้ว
ผานซินแม้ไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นที่ต้านทานกลุ่มอริยะมหามรรคได้ แต่เหล่าอริยะมหามรรคก็ทำร้ายเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะนอกจากจะมีสังขารที่แข็งแกร่งแล้ว เขายังมีบัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาลอีกด้วย ในขณะเดียวกัน เนื่องจากตบะของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป ผานซินจึงไม่อาจทำร้ายอริยะมหามรรคได้
คาดว่าพอโจมตีไม่ได้ผลไปนานเข้า เหล่าอริยะมหามรรคถึงได้ยอมปล่อยผานซิน
การต่อสู้กับผานซินทำให้หานเจวี๋ยเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้
ผานซินสามารถเอาชนะอริยะเสรีระยะสมบูรณ์อย่างจอมเทพข่งเซวี่ยได้ ส่วนเขาก็สามารถต่อสู้เสมอกับผานซินได้ ก็แปลว่าหานเจวี๋ยไร้พ่ายในระดับเสรีแล้วมิใช่หรือ
ถูกต้อง!
สู้ได้เสมอกัน!
หลังผ่านแบบจำลองการทดสอบมานับหมื่นครั้ง หานเจวี๋ยหาทางทำให้ผานซินโจมตีไม่โดนตนได้แล้ว ถึงขั้นที่ไม่เฉียดชายเสื้อคลุมเลยด้วยซ้ำ
แต่หากคิดจะฆ่าผานซิน กลับยากยิ่งนัก
อย่างแรกคือต้องหาทางทำลายพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของบัวขจีสามสิบหกฟ้าบุพกาลให้ได้เสียก่อน
หานเจวี๋ยก้มมองบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรที่ตนนั่งอยู่ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้
เอามาเทียบกันไม่ได้จริงๆ เทียบแล้วจะทำให้คนโมโหแทบตายเอา
เป็นแท่นบัวเหมือนกัน ไฉนของผู้อื่นถึงแข็งแกร่งปานนั้นกันเล่า
หานเจวี๋ยส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน เริ่มยืดเส้นยืดสาย พร้อมกับแผ่มหามรรคต้นกำเนิดครอบคลุมออกไป ทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหมดในเขตเซียนร้อยคีรีเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค เสียงเทศนามหามรรคแว่วสะท้อนอยู่ในหูพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ความคิดอัศจรรย์บรรเจิดผุดขึ้นในสมอง โจมตีกำแพงอุปสรรคที่พวกเขาพานพบในเส้นทางบำเพ็ญ
หานเจวี๋ยถือโอกาสในขณะที่ว่างอยู่ เริ่มสอดส่องไปทั่วแดนเซียน
ในละแวกเขตเซียนร้อยคีรีมีเมืองหลายแห่งก่อตั้งขึ้นมาแล้ว อยู่ภายใต้การดูแลของหลี่เสวียนเอ้าและหานตั้วเทียน จำนวนศิษย์ในนามของสำนักซ่อนเร้นเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว
หลี่เสวียนเอ้าอาศัยชื่อเสียงของอริยะสวรรค์เกรียงไกรเปี่ยมกุศล ทวงคืนดินแดนสามเมืองกลับมาอย่างง่ายดาย
สำนักซ่อนเร้นพัฒนาไปได้ไม่เลวเลย!
ส่วนในแดนเซียน เผ่ามนุษย์แผ่รัศมีความเป็นเผ่าพันธุ์มรรคาสวรรค์ขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว หานเจวี๋ยพบว่ามิใช่แค่ในแดนเซียนเท่านั้น ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์ในแดนเซียนพิภพก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ดวงชะตาของเผ่ามนุษย์ในสองดินแดนกำลังผสานเข้าหากัน
หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย จากนั้นก็ยิ้มออกมา
เจ้าเด็กหลงเฮ่าคนนี้ก้าวหน้าขึ้นมาก ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อน รู้จักใช้สมองแล้ว
หานเจวี๋ยสอดส่องหานอวี้ต่ออีกเล็กน้อย ยังคงค้างอยู่ในระดับปฐมเทพขั้นหก
ระดับต้าหลัวทะลวงยากจริงๆ มีความเป็นไปได้ที่จะค้างอยู่ในระดับเทพถึงเก้าส่วน
ตั้งแต่ผานซินกลับมา ดวงชะตามรรคาสวรรค์อยู่ในสภาวะเพิ่มพูนอย่างฉับพลันมาตลอด แม้แต่พื้นที่ของมรรคาสวรรค์ก็ขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ร้ายกายจริงๆ
หานเจวี๋ยคล้ายจะนึกอะไรได้ เรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจดูรูประจำตัวของผานซิน
[ผานซิน: ระดับเบิกฟ้าเสรีระยะปลาย ผานกู่กลับชาติถือกำเนิด เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกในยุคเบิกฟ้า ประสบมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตมาอย่างโชกโชน ชอบท่องโลกมนุษย์ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกเจ้าแห่งมหาเคราะห์โบราณพบตัว จึงลักลอบแฝงตัวในแม่น้ำมรรคกระบี่ เกิดความสนใจในตัวท่าน เนื่องจากนิสัยเฉพาะตัวของท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หืม…
ระดับเบิกฟ้าเสรีระยะปลาย!
ครั้งก่อนที่ตรวจดู เขายังเป็นแค่เซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าอยู่เลย พลังเพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง
ช้าก่อน!
หานเจวี๋ยสังเกตเห็นจุดหนึ่ง ก่อนหน้านี้ผานซินมีสถานะเป็นชนรุ่นหลังของผานกู่ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นผานกู่กลับชาติไปได้
ผิดปกติ!
หานเจวี๋ยจำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการดู ‘เหตุใดผานซินจึงกลายเป็นผานกู่กลับชาติ’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ตรวจพบว่าร่างกายของผานซินแฝงเร้นด้วยบ่วงกรรมที่อยู่เหนือกว่าขีดจำกัดของระบบในขณะนี้ กำลังกัดเซาะวิญญาณเขาไปทีละนิด จนกว่ากระบวนการกลับชาติถือกำเนิดจะสิ้นสุดลง]
หานเจวี๋ยเงียบไป
จู่ๆ เขาก็รู้สึกสงสารผานซินขึ้นมา
ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังเป็นเบี้ยตัวหนึ่งอยู่ดี!
เป็นไปได้ว่าผานซินจะมิได้ตระหนักถึงจุดนี้เลย ยังจมจ่อมสุขสันต์อยู่กับความแข็งแกร่ง ถอนตัวไม่ขึ้น
‘กระบวนการนี้ใช้เวลานานแค่ไหน’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนห้าหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่สามารถอนุมานผลลัพธ์อย่างแม่นยำได้ ด้วยระดับความเร็วในการเปลี่ยนแปลงวิญญาณของเขาในขณะนี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านปี]
ร้อยล้านปี…
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ความเร็วระดับนี้นับว่ารวดเร็วมากแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันธการวางแผนรุกรานมรรคาสสรรค์ ยังต้องใช้เวลาหลายพันปี ไปจนถึงหลักหมื่นปี
หานเจวี๋ยก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าอีกร้อยล้านปีข้างหน้าตนจะมีตบะระดับใด
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นแข่งกับเวลา
หากว่าผานกู่มาเยือนมรรคาสวรรค์ เช่นนั้นก็ไม่ปลอดภัยแล้ว
‘ผานกู่…บรรพชนเต๋า…พวกเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่’
หานเจวี๋ยจมอยู่ในห้วงความคิด สองคนนี้เป็นตัวตนที่อยู่เหนือธรรมชาติ คิดหาทางฟื้นคืนชีพสารพัดวิธี ช่างน่าแปลกใจจริงๆ
ดูเหมือนมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะมิได้เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ถึงขั้นที่อาจจะเกี่ยวข้องกับยอดผู้แข็งแกร่งทั้งหมดตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน
หานเจวี๋ยคิดไม่ตก ดังนั้นจึงไม่คิดต่ออีก
….
ท่ามกลางความมืด นักพรตเต๋าชราคนหนึ่งย่างเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า ทุกก้าวที่เหยียบย่างล้วนมีดอกบัวปรากฏขึ้น ห้วงมิติไหวกระเพื่อม
นั่นคือปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสีหน้าราบเรียบ สายตาจดจ้องไปข้างหน้า
ไม่ทราบว่าเดินมานานเท่าใด จู่ๆ เขาก็หยุดนิ่ง ด้านหน้ายังคงเป็นความมืดมิด ไร้ซึ่งสิ่งใด
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเปิดปากเอ่ย “เหตุใดถึงแปรสภาพสู่มหามรรคเล่า นี่มิใช่วิสัยของเจ้าเลยมิใช่หรือ”
พอเอ่ยจบ น้ำเสียงขุ่นข้องพลันแว่วขึ้น “ลัญจกรสรวง บอกความจริงข้ามา เจ้าคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการใช่หรือไม่”
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ!
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเจ้าหรือ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เจ้าไปทำอะไรไว้ หรือเจ้าพุ่งเป้าไปที่ผู้ใด”
น้ำเสียงขุ่นข้องดังขึ้นอีกครั้ง “ฮึ่ม ยังจะเสแสร้งอีกหรือ ข้าเพียงจับกุมคนของวังสวรรค์เท่านั้น”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงนับนิ้วทำนาย แสดงสีหน้ากระจ่างแจ้งในทันใด จากนั้นดวงตาของเขาพลันฉายแววซับซ้อน
“เป็นเขาจริงๆ…”
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงหันหลัง สะบัดแขนเสื้อจากไป
“ลัญจกรสรวง เจ้าบีบคั้นให้ข้าต้องกลับสู่มหามรรค เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถควบคุมอำนาจของมหามรรคแห่งกรรมแต่เพียงผู้เดียวได้หรือ เจ้าไม่อาจหนีออกจากกระดานหมากแห่งฟ้าบุพกาลได้ สุดท้ายเจ้าก็เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเหมือนกัน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะดิ้นรนไปได้อีกนานแค่ไหน!”
ในน้ำเสียงขุ่นข้องเปี่ยมด้วยเจตนาถากถาง
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไม่ได้หันกลับไป และไม่ได้เอ่ยตอบ แผ่นหลังที่โชกโชนมากประสบการณ์ ทว่าเด็ดขาดยิ่ง
………………………………………………………………