ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 688 เคราะห์ของปรมาจารย์
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายกวาดตามองเทพเซียนทั้งหมดในคุก เอ่ยเสียงขรึม “อวี้ผูถีดับสูญแล้ว รีบตามเราออกไป!”
พอพูดจบ เขาก็หมุนกายออกไป เหาะมุ่งสู่ส่วนลึกของความมืดมิด เหล่าเทพเซียนรีบตามหลังไปทันที
หานทั่วติดตามไปด้วยความรู้สึกสับสนเต็มหัวใจ
เป็นผู้ใดกันแน่!
ช่วยเหลือพวกเขามาหลายต่อหลายครั้งนัก!
เขานึกถึงหานเจวี๋ย แต่ก็ไม่กล้าฟันธงแน่ชัด
อี๋เทียนกลับไม่ได้คิดมากมายปานนั้น เข้าไปอยู่ข้างๆ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เอ่ยถามตรงๆ “ฝ่าบาท ผู้ใดจัดการอวี้ผูถีหรือพ่ะย่ะค่ะ ใช่ที่พึ่งของท่านหรือไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายปรายตามองเขา แค่นเสียงกล่าว “อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม!”
“แหะๆ”
อี๋เทียนหัวเราะ สีหน้าท่าทางเหมือนจะกล่าวว่าข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว
หากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแสร้งทำเป็นไม่รู้ เช่นนั้นคงจะทำให้เขาลังเล แต่พอเห็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมีท่าทางเคร่งขรึมเช่นนี้ เขาคิดว่าตนเดาถูกแล้ว
แบบนี้ก็เข้าเค้าแล้ว!
วังสวรรค์สามารถเริ่มต้นจากศูนย์ในแดนต้องห้ามอันธการ ซ้ำยังยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เช่นนี้ อาศัยเพียงจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายคนเดียว ไม่มีทางเป็นไปได้
ต้องมีที่พึ่งชั้นยอดอยู่แน่นอน!
หานทั่วสังเกตสีหน้าของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย แอบรู้สึกโล่งใจกับตัวเอง
ดูเหมือนจะมิใช่ท่านพ่อของเขา คงเป็นคนอื่น อันที่จริงทุกครั้งที่พวกเขาถูกจับตัวไปล้วนเป็นเพราะจักรพรรดิสวรรค์ก็ถูกสะกดเช่นกัน ส่วนพวกเขาเป็นเพียงตัวแถมเท่านั้น
นอกจากไม่อยากเชื่อว่าหานเจวี๋ยจะแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้ว ยังเป็นเพราะหานทั่วไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้แก่หานเจวี๋ยด้วย
เขาคิดมาโดยตลอดว่าสามารถรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว หากความช่วยเหลือในทุกๆ ครั้งล้วนมาจากหานเจวี๋ย เช่นนั้นเขาคงละอายใจไปจนตายจริงๆ
หานทั่วสังเกตสภาพร่างกายตน เขาถูกอวี้ผูถีลบเจตจำนงบางส่วนไป แต่เขาก็คิดไม่ออกว่าที่แท้แล้วเป็นเรื่องใดกันแน่ รู้สึกอยู่เสมอว่าเหมือนจะหลงลืมอะไรไป มีบางอย่างขาดหายไป
ความรู้สึกนี้น่าอึดอัดยิ่ง ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดนัก
อวี้ผูถีตายไปแล้ว เขาทำได้เพียงกล่าวโทษตัวเอง
ยังอ่อนแอเกินไป!
หากว่าเขาแข็งแกร่งเช่นเดียวกับท่านพ่อของเขา ไหนเลยจะตกเป็นรองอยู่เสมอ
….
หนึ่งร้อยปีผ่านไป
หานเจวี๋ยเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารเพิ่มอีกห้าสิบตน เขาครอบครองร่างจำลองเทพมารทั้งหมดสามร้อยเก้าสิบเก้าตน
เท่ากับได้ครอบครองพลังมหามรรคสามร้อยเก้าสิบเก้าวิถีแล้ว
แน่นอน หากเทียบกับมหามรรคที่แท้จริงยังคงอยู่ห่างไกลนัก
ในบรรดาร่างจำลองชุดใหม่ทั้งห้าสิบตน มีพลังเทพมารที่ค่อนข้างร้ายกาจอยู่เช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็สามารถทำให้หานเจวี๋ยตกตะลึงได้
ยกตัวอย่างเช่นเทพมารสับเปลี่ยน สามารถเลือกสลับตัวกับสิ่งมีชีวิตชนิดใดก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหน ตราบเท่าที่เทพมารสับเปลี่ยนจดจำร่างต้นดั้งเดิมและกลิ่นอายได้
เทพมารเลือนลับ ยิ่งมีอำนาจเผด็จการกว่า หานเจวี๋ยสงสัยอย่างยิ่งว่าพลังวิเศษทำลายมรรคาของบรรพชนเต๋าจะเรียนรู้มาจากเทพมารเลือนลับ เทพมารตนนี้มีพลังตามชื่อ สามารถทำให้ตัวตนทั้งหมดเลือนลับหายไปได้ เว้นแต่จะเป็นตัวตนที่เกี่ยวข้องกับพลังต้นกำเนิดที่อยู่เหนือกว่าเหล่าเทพมาร ถึงไม่สามารถบังคับทำให้เลือนลับได้
อย่างไรก็ตามพลังวิเศษทำลายมรรคาไม่ต้องสิ้นเปลืองสิ่งใดเลย แต่ยามที่สำแดงพลังแห่งเทพมารเลือนลับจะสิ้นเปลืองพลังวิเศษของตน กล่าวก็คือ ยิ่งเทพมารเลือนลับแข็งแกร่งมากเท่าไร ขอบเขตความเสียหายก็จะกว้างขึ้นเท่านั้น หากว่าเขาเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด เช่นนั้นก็สามารถทำให้ทุกสิ่งเลือนหายไปได้ ถึงขั้นที่ทำให้ฟ้าบุพกาลหายไปได้เลย!
หลังจากหานเจวี๋ยยกระดับความสามารถของตนถึงขีดสูงสุด ณ ปัจจุบันนี้แล้ว เขาก็เปิดใช้แบบจำลองการทดสอบ ปรับปรุงความสามารถในการต่อสู้
ถึงแม้เขาจะชอบพึ่งพาหนังสือแห่งความโชคร้ายลอบโจมตี แต่ก็ไม่เคยละทิ้งทักษะการต่อสู้
สักวันหนึ่งเขาจะต้องเผชิญกับการรุกรานจากศัตรูตัวเป็นๆ แน่นอน
ในเวลาเดียวกันนี้
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ เหล่าอริยชนมารวมตัวกัน
ผานซินเปิดปากเอ่ย “บุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลแล้ว แม้ว่าข้าจะยกเลิกกฎระเบียบเหล่านั้นไป แต่ก็ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตเข้าสู่เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลเลย เช่นนี้จะทำอย่างไรดี”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ผานซินก็รู้สึกกลุ้มใจนัก
เดิมที่เขานึกว่าบุกเบิกเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลแล้วจะทำให้สรรพสิ่งเคารพศรัทธาในตัวเขา ไม่คิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตจะไม่สนใจเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลเลย เขารู้สึกเหมือนชกลงบนปุยนุ่นไม่มีผิด
น่าผิดหวังนัก!
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ฟ้าบุพกาลเป็นตัวแทนของสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สรรพสิ่งจะไม่อยากมุ่งหน้าไปก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ต้องให้เหล่าศิษย์ของสำนักนิกายแห่งอริยะเป็นตัวนำร่องให้ก่อน”
ผานซินมองอริยะตนอื่นๆ
สือตู๋เต้าแค่นเสียงคราหนึ่ง
อริยะที่เหลือล้วนเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา
ผานซินรู้สึกหดหู่สุดขีด
นึกถึงตอนที่เขากลับมาคราแรก โอหังถึงเพียงใด เหล่าอริยชนล้วนไม่กล้างัดข้อกับเขา แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้…
แต่ละคนต่างก็กล้ายิ้มเยาะเขา!
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะจัดส่งศิษย์ของสำนักไร้วิถีไปยังเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล อริยะที่เหลือรอดูต่ออีกสักหน่อยเถิด”
เหล่าอริยชนพยักหน้า
หลี่เต้าคงมองเทพสูงสุดอู๋ฝ่าแวบหนึ่ง คนผู้นี้ไหวพริบดีจริงๆ ประโยคนี้เป็นการไว้หน้าผานซิน อีกทั้งหาทางลงให้เหล่าอริยชนด้วย
จุ๊ๆ
นึกถึงอดีตยามนั้น เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของมรรคาสวรรค์ ทำตัวไร้กฎเกณฑ์เหนือสวรรค์จริงๆ!
แล้วดูตอนนี้เถอะ
หลี่เต้าคงอดเลื่อมใสหานเจวี๋ยไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่าหานเจวี๋ยจะทำให้ผู้แข็งแกร่งที่หัวรั้นจองหองเช่นนี้เปลี่ยนแปลงนิสัยไปได้มากมายนัก
จอมอริยะเสวียนตูเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยขึ้นว่า “ช่วงนี้มีข่าวลือในฟ้าบุพกาล บอกว่าปรมาจารย์ถูกจับตัวไป”
เหล่าอริยชนมีสีหน้าตกตะลึง
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวง!
นับตั้งแต่บรรพชนเต๋าหายตัวไป ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก็รับหน้าที่ต่อจากบรรพชนเต๋า พิทักษ์ดูแลมรรคาสวรรค์ เหล่าอริยชนที่ถือกำเนิดเติบใหญ่ขึ้นมาล้วนเคยสดับฟังเทศนาธรรมจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวง ต่างมีความรู้สึกพิเศษต่อเขาทั้งสิ้น
เทพสูงสุดหนานจี๋ขมวดคิ้วพลางถาม “ถูกผู้ใดจับไป”
เหล่าอริยะที่เหลือก็จ้องมองจอมอริยะเสวียนตูเช่นกัน
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “เทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่ง เป็นตัวตนในยุคสมัยเดียวกับผานกู่ มิใช่ตัวตนที่อริยะมหามรรคจะเทียบชั้นได้ เอ่ยนามของคนผู้นี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของข้าแจ้งมา”
ฉิวซีไหลถามต่อ “เช่นนั้นพวกเราทำสิ่งใดได้บ้าง”
ตัวตนที่เหนือกว่าอริยะมหามรรค ไม่ใช่คนที่อริยะมรรคาสวรรค์อย่างพวกเขาจะจัดการได้
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ช่วงต่อจากนี้จะมีตัวตนน่าหวาดหวั่นมาเยือน ตามหาศิษย์ของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง และจับตัวไปด้วย นับจากนี้เป็นต้นไป พวกเราต้องลืมเลือนปรมาจารย์ลัญจกรสรวงไปเสีย กำจัดตำนานของเขาที่เผยแพร่อยู่ในโลก ส่วนเหล่าผู้บำเพ็ญที่เคยได้รับความเมตตาจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวง พวกเจ้าจงไปเตือนเสีย หรือไม่ก็ลบความทรงจำทิ้ง”
เหล่าอริยะมองหน้ากัน
สือตู๋เต๋าขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “แบบนี้ไม่ดีกระมัง หากวันนี้พวกเราทอดทิ้งปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หากวันหน้าพวกเราเผชิญปัญหายากลำบาก ก็คงจะถูกทอดทิ้งเช่นกัน!”
คำพูดของเขาสะกิดใจเหล่าอริยะ
เหตุผลที่เหล่าอริยะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้จนถึงตอนนี้ ก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้เคยร่วมต่อต้านแดนเทพหวนปัจฉิมที่ดูเหมือนจะไม่อาจต่อกรได้มาด้วยกัน
การจัดการของจอมอริยะเสวียนตูในยามนี้จะทำให้พวกเขากลับไปสู่สถานการณ์เดิม ทำให้พวกเขาไม่สามารถไว้ใจกันและกันได้อีก
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวด้วยความจนปัญญา “ตอนนี้แตกต่างไปจากในอดีต ศัตรูในอดีตที่ผ่านมาพวกเรายังสามารถพึ่งพาสหายเต๋าหานรับมือได้ แต่ปรมาจารย์เผชิญหน้ากับตัวตนที่แข็งแกร่งนัก แข็งแกร่งถึงขนาดที่เพียงนึกถึงนามเขาก็ร่างสิ้นมรรคาสลายได้ หากพวกเจ้าล่วงเกินตัวตนระดับนี้เข้า ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมิใช่เพียงพวกเราเหล่าอริยชนเท่านั้น แต่รวมถึงมรรคาสวรรค์ทั้งหมดด้วย
“การสละปรมาจารย์เพื่อปกป้องมรรคาสวรรค์ ก็เป็นความคิดของปรมาจารย์เองด้วย”
หลี่เต้าคงขมวดคิ้วพลางถามว่า “มีตัวตนระดับนี้อยู่จริงหรือ ปรมาจารย์ไปล่วงเกินเขาได้อย่างไร เพราะมรรคาสวรรค์หรือ เช่นนั้นเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ทำลายล้างมรรคาสวรรค์ตรงๆ เล่า”
จอมอริยะเสวียนตูส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด อาจารย์ข้าบอกว่าเป็นเพราะตัวตนนั้นสอบถามเรื่องบางอย่างจากปรมาจารย์ แต่ปรมาจารย์ไม่ยอมสารภาพ จึงล่วงเกินตัวตนนั้นเข้า ด้วยความโกรธ ตัวตนนั้นจึงต้องการกำจัดบ่วงกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ ทำให้ปรมาจารย์ไม่อาจฟื้นคืนได้อีก”
เหล่าอริยชนตกตะลึง ผานซินก็เช่นกัน
ผานซินจำความรู้สึกนั้นได้ดียิ่ง
สมัยก่อนตอนที่เขายังอ่อนแออยู่ จิ้นเสินก็เป็นฝันร้ายของเขาเช่นกัน
เมื่อเห็นเหล่าอริยชนเงียบไป ผานซินก็อดเย้ยหยันกับตนเองไม่ได้
สำเร็จเป็นอริยะแล้วอย่างไรเล่า
ก็แค่ย้ายจากเรือนจำเดิมไปอยู่ในเรือนจำที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
………………………………………………………………