ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 689 นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น
เพราะเรื่องของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง บรรยากาศในตำหนักเอกภพแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งยิ่ง เหล่าอริยะต่างรู้สึกแย่อยู่ในใจ
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างแฝงความนัยลุ่มลึก “ต่อให้พวกเรายินดีช่วยเหลือปรมาจารย์ แล้วจะช่วยอย่างไรเล่า จะลากมรรคาสวรรค์ลงหลุมไปด้วยอย่างนั้นหรือ พวกเราทำได้เพียงช่วยทำให้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้น มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะเลี่ยงไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้เพิ่มขึ้นอีก”
จอมอริยะเสวียนตูก็เคยได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเช่นกัน แต่เขาให้ความสำคัญกับมรรคาสวรรค์มากกว่า
เหล่าอริยชนจำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริง
ถึงแม้ว่าสือตู๋เต้า หลี่เต้าคงและฟางเหลียงจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้อีก เมื่อไร้ซึ่งพลัง พวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติจะไปอวดอ้างศักดา
จอมอริยะเสวียนตูเบี่ยงหัวข้อสนทนา เริ่มพูดถึงความพัฒนาของมรรคาสวรรค์ในช่วงนี้ รวมถึงเรื่องที่ต้องการให้สำนักนิกายแห่งอริยะไปจัดการ
….
ยี่สิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยสิ้นสุดการใช้แบบจำลองการทดสอบ เริ่มเทศนาธรรมให้เหล่าศิษย์ในเขตเซียนร้อยคีรี
การเทศนาธรรมครั้งนี้ดำเนินอยู่หนึ่งร้อยปี เหล่าศิษย์ตระหนักรู้ได้มากมายนัก ความเข้าใจที่มีต่อมหามรรคต้นกำเนิดลึกซึ้งกว่าเดิม สาเหตุเป็นเพราะหานเจวี๋ยแข็งแกร่งขึ้น
หลังสิ้นสุดการเทศนาธรรม หานเจวี๋ยก็ออกมาจากอารามเต๋า
สิงหงเสวียนยังคงปิดด่านฝึกบำเพ็ญอยู่ นับตั้งแต่เริ่มปิดด่าน นางนั่งสมาธิมาโดยตลอดราวกับจำศีล หานเจวี๋ยถึงขนาดสงสัยว่านางถูกยึดร่างไปแล้ว แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่าจิตรับรู้ของนางยังคงอยู่
หานเจวี๋ยไม่ได้ไปรบกวนสิงหงเสวียน แต่มาที่ใต้ต้นฝูซังแทน
บางสถานที่ในภายในเขตเซียนร้อนคีรีจะคึกคักจอแจอยู่เสมอ มีเพียงใต้ต้นฝูซังเท่านั้นที่เงียบสงบยิ่งนักเสมอมา
ศิษย์สืบทอดที่มาอยู่ใต้ต้นฝูซังก็มีไม่มากแล้ว เหลือเพียงไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น เจ้าใหญ่ เจ้ารอง ส่วนศิษย์คนอื่นๆ เนื่องจากรับศิษย์แล้ว จึงพากันย้ายออกไป เสาะหาพื้นที่สักมุมหนึ่งในเขตเซียนร้อยคีรีสร้างอารามเต๋าขึ้นมา
เมื่อเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น ไก่คุกรัตติกาลก็เคลื่อนกายมาหาเขาทันที
ด้วยระดับความเร็วที่รวดเร็วยิ่ง!
แม้ว่าจะเป็นภายในระดับเซียนทองต้าหลัวเหมือนกัน ก็ยังนับว่าสุดยอดมากอยู่ดี!
ไก่คุกรัตติกาลยิ้มกว้างพลางเอ่ยว่า “นายท่าน ท่านมาได้อย่างไรขอรับ ต้องการถ่ายทอดพลังวิเศษให้พวกเราหรือ”
หานเจวี๋ยมองท่าทางหน้าไม่อายของมัน แม้ไม่ได้ตอบสนองอะไร แต่กลับรู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าง
วันเวลาล่วงเลยไป ทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลง หานเจวี๋ยเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ดูเหมือนจะมีแค่ไก่คุกรัตติกาลที่ยังคงเหมือนเดิม
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รอเจ้าสำเร็จเป็นครึ่งอริยะได้ ข้าจะมอบโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้เจ้า”
ไก่คุกรัตติกาลร้องขึ้นมา “ครึ่งอริยะหรือ เช่นนั้นต้องรออีกนานยิ่ง!”
อันที่จริงคุณสมบัติของมันยอดเยี่ยมมาก แต่เมื่อเทียบกันดูในระดับครึ่งอริยะแล้วนับว่าสามัญยิ่ง อยู่ในเขตเซียนร้อยคีรี มันสามารถบำเพ็ญได้ แต่ก็ต้องใช้เวลายาวนานเหลือเกินจึงจะบรรลุครึ่งอริยะ
หานเจวี๋ยไม่สนใจมัน เดินมาหยุดหน้าต้นฝูซัง เขาเริ่มตรวจสอบวังวนมิติที่เชื่อมโยงกับต้นฝูซัง
เวลาผ่านไปนานปานนี้ จำนวนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดเลย มีโลกอยู่เพียงไม่กี่ร้อยใบเท่านั้น ทั้งหมดล้วนอ่อนแอกว่ามรรคาสวรรค์
มีอริยะคอยเฝ้าพิทักษ์ จึงยังไม่มีศัตรูบุกเข้ามาโจมตีต้นฝูซังได้
ต้นฝูซังสั่นไหวนิดๆ ส่งเสียงแว่วเข้าหูหานเจวี๋ย “นายท่าน ข้าจะแปลงกายได้ตอนไหน”
การแปลงกายกลายเป็นความยึดติดของมันไปแล้ว
หานเจวี๋ยโคจรพลังเวทของตน ลองช่วยส่งเสริมการแปลงกายของต้นฝูซัง
อาณาเขตเต๋าในปัจจุบันนี้มิจำเป็นต้องพึ่งพาพลังวิญญาณจากต้นฝูซังอีก เพราะแค่พลังวิญญาณจากอาณาเขตเต๋าเปี่ยมล้นอย่างยิ่งแล้ว
จากนั้น หานเจวี๋ยก็พบว่าตนไม่สามารถช่วยต้นฝูซังแปลงกายได้ เขาสังหารต้นฝูซังจนร่างสิ้นจิตสลายลงได้อย่างง่ายดาย ทว่าทำให้มันแปลงกายไม่ได้
น่าแปลก
อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยสามารถดึงปัญญาจิตของต้นฝูซังออกมาได้ จากนั้นค่อยใช้พลังของเทพมารกำเนิดวิญญาณสร้างวิญญาณให้มัน
เมื่อมีวิญญาณ ก็สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลได้
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “รากเหง้าของเจ้ายึดตรึงเจ้าไว้ ไม่สามารถแปลงกายได้”
ต้นฝูซังเงียบไป
“เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไรหรือ”
ต้นฝูซังถามด้วยความตื่นเต้น
หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากแยกจากต้นฝูซัง ข้าสามารถสร้างสังขารใหม่ร่างหนึ่งให้แก่เจ้าได้ เจ้ายินดีหรือไม่”
เมื่อต้นฝูซังได้ยินก็เงียบไปอีกครั้ง
หากคิดดูอย่างใจเขาใจเรา ถ้าหานเจวี๋ยเป็นมัน ก็คงรู้สึกลังเลเช่นกัน
“ไม่จำเป็นต้องร้อนรน ต่อให้อยากเปลี่ยนสังขาร เจ้าก็ต้องบำเพ็ญให้ถึงระดับครึ่งอริยะก่อน ยามปกติอย่าเอาแต่ทำตัวนิ่งทื่ออยู่ตลอด จงมานะฝึกบำเพ็ญจะได้แปลงกายในเร็ววัน” หานเจวี๋ยเอ่ยเตือนมัน
ต้นฝูซังเป็นพฤกษากำเนิดฟ้า คุณสมบัติย่อมไม่ต่ำชั้น แต่เจ้าสิ่งนี้ชอบทำตัวนิ่งทื่อ เหมือนเป็นต้นไม้ที่ไม่มีสติปัญญา
เมื่อต้นฝูซังได้ฟังก็รีบกล่าวว่า “ขอบพระคุณนายท่าน ข้าจะมานะฝึกบำเพ็ญแน่นอน”
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็มีความหวังเพิ่มขึ้นมาหนึ่งทางแล้ว
หานเจวี๋ยไม่สนใจมันอีก สอดส่องดูวังวนมิติเหล่านั้นต่อไป
ผ่านไปหลายชั่วยาม หานเจวี๋ยถึงได้จากไป
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเดินเข้ามาหยุดข้างกายไก่คุกรัตติกาล กระซิบว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าดูเหมือนนายท่านจะทะลวงขั้นอีกแล้ว”
ไก่คุกรัตติกาลกลอกตาใส่มัน เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ”
“แต่ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งฝ่าทะลวงยากขึ้นเท่านั้น”
“เจ้าหมาตัวเหม็นอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร ถ้าเจ้ารู้ดีนัก เจ้าจะยังเป็นแค่หมาตัวหนึ่งหรือ เพราะอะไรนายท่านถึงได้เป็นนายท่าน ส่วนเจ้าเป็นหมา เจ้าน่าจะรู้แก่ใจดีกระมัง”
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเงียบไป มันมองไก่คุกรัตติกาล กัดฟันกรอด
เจ้าไก่เน่าตัวนี้ก็รู้จักรังแกมันแล้ว!
มันสำนึกเสียใจยิ่งกว่าเดิม สมัยก่อนไม่ควรออกไปข้างนอกเลย
หากตอนนั้นไม่ออกไป มันก็คงไม่ตามหลังไก่คุกรัตติกาลเช่นนี้
พอช้าไปหนึ่งก้าว ก็ยากจะไล่ตามทันไปตลอดกาล
ถึงขั้นที่ช่องว่างขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
ยิ่งคิดสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากหานเจวี๋ยกลับมาถึงอารามเต๋า ก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
เขาบรรลุถึงระดับเบิกฟ้าเสรีระยะสมบูรณ์แล้ว จากนี้ควรคิดหาทางพิสูจน์มหามรรคแล้ว
เขาเริ่มทำความเข้าใจมหามรรควัฏจักรอนธการอันเป็นวิชายุทธ์ระดับมหามรรคของตน
มหามรรคต้นกำเนิดเป็นเพียงมหามรรค ถ้าต้องการฝึกบำเพ็ญเพื่อพิสูจน์มหามรรค จำเป็นต้องพึ่งพาวิถีบำเพ็ญแบบพิเศษ
ในเมื่อเป็นวิชายุทธ์ระดับมหามรรค จะต้องมีวิธีพิสูจน์มหามรรคแน่นอน
เมื่อเวลาผ่านไป หานเจวี๋ยก็ทำความเข้าใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
อริยะมหามรรคก็มีความแตกต่างในแบบของตนเช่นกัน สรุปความได้ว่า แบ่งออกเป็นสองวิถี ประเภทหนึ่งคืออริยะมหามรรคทั่วไป อีกประเภทคือนักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น
นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้นมิได้สูงส่งกว่าอริยะมหามรรค แต่เป็นหมวดหมู่ในอริยะมหามรรค ครอบครองมหามรรคอย่างสมบูรณ์
อริยะมหามรรคธรรมดาเพียงแต่ใช้พลังแห่งมหามรรคได้เท่านั้น
หานเจวี๋ยผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดแล้ว สามารถสำเร็จเป็นอริยะทั้งสองประเภทได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา
อริยะมหามรรคธรรมดาก็มีข้อดีเช่นกัน สามารถเชื่อมต่อกับมหามรรคได้ มหามรรคไม่สิ้นสูญ อริยะมหามรรคก็ไม่สิ้นชีพ
แต่นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้นจะต่างกันไป ถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่า มีอิสระกว่า แต่หากสิ้นชีพลง มหามรรคจะหลุดพ้นจากการควบคุมและไม่ติดตามร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขา
ตัวเลือกทั้งสองประเภท ต่างมีข้อดีและข้อเสีย กล่าวโดยสรุปคือ อริยะมหามรรคธรรมดาปลอดภัยกว่า แต่ก็แทบจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ส่วนนักพรตเต๋าผู้หลุดพ้นมีหวังจะได้ก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นไปมากกว่า
หานเจวี๋ยย่อมต้องการกลายเป็นนักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น ไม่มีทางยอมถูกมหามรรคผูกมัด
หลังจากตัดสินใจได้ หานเจวี๋ยก็เริ่มฝึกบำเพ็ญ
ต้องใช้เวลายาวนานในการทะลวงระดับ ตอนนี้ยังคำนวณอย่างแน่ชัดไม่ได้ แต่เขาคาดการณ์ว่าน่าจะยาวนานยิ่ง
ระดับอริยะมหามรรคไหนเลยจะพิสูจน์ได้ง่ายๆ เช่นนั้น!
….
ในส่วนลึกของความมืดมิด ทิวเขาขนาดใหญ่มหึมาลูกหนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ ในส่วนลึกของหุบเขาแห่งหนึ่ง มีกลิ่นอายแกร่งกล้าสิบสองสายรวมตัวกัน กลิ่นอายเสมือนควัน สั่นคลอนถึงขุนเขา
ในบรรดานั้นมีเงาร่างของจักรพรรดินีผืนพิภพรวมอยู่ด้วย
จักรพรรดินีผืนพิภพมิได้ดูสูงส่งบริสุทธิ์มากดั่งเช่นในอดีตอีกแล้ว มีงูเหลือมใหญ่ยักษ์สองตัวเลื้อยพันเอว แต่งหน้าแปลกประหลาดชั่วร้าย บุคลิกดูป่าเถื่อนมากขึ้น
พวกเขาก็คือสิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวท!
ผู้นำคือตี้เจียง ร่างกายกำยำบึกบึนที่สุด ยืนอยู่หน้าเทวรูปใหญ่ยักษ์ตนหนึ่ง ไม่ทราบว่ากำลังสวดอธิษฐานอันใด
บรรพชนเผ่าจอมเวทรายหนึ่งที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมร่างอดถามขึ้นมาไม่ได้ “พี่ใหญ่ เรียบร้อยดีหรือไม่! จะลงมือได้ยามไหน!”
………………………………………………………………