ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 732 ทักษะอันธการ
มิ่งตะโกนเหมือนคลุ้มคลั่งไปแล้ว เสียงดังสะท้อนอยู่ในห้วงอวกาศเหนือวังสวรรค์ เหล่าทหารสวรรค์หลายสิบล้านนายฟังแล้วพลันหนาวสะท้านอยู่ในใจ
มิ่งยังมีพรรคพวกอยู่อีกเช่นนั้นหรือ
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับบริเวณโดยรอบทันที
ไม่พบการปรากฏตัวขึ้นของมิ่งรายอื่น
ในเวลานี้เอง!
ห้วงมิติด้านหลังประตูสวรรค์ทักษิณพลันปริร้าว ปรากฏหลุมดำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งขึ้น มีเงาร่างก้าวออกมาทีละร่างๆ
[มิ่ง: ระดับมหามรรคเบิกฟ้าระยะปลาย ไม่ทราบประวัติความเป็นมา]
[มิ่ง: ระดับมหามรรคเบิกฟ้าระยะกลาง ไม่ทราบประวัติความเป็นมา]
[มิ่ง: ระดับมหามรรคเบิกฟ้าระยะต้น ไม่ทราบประวัติความเป็นมา]
[มิ่ง: ระดับมหามรรคเบิกฟ้าระยะปลาย ไม่ทราบประวัติความเป็นมา]
….
หานเจวี๋ยตรวจสอบตบะของพวกเขาทันที
มีมิ่งทั้งหมดสิบสามคน ทั้งหมดล้วนมีตบะระดับอริยะมหามรรค!
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ลอบตระหนกอยู่ในใจ กองกำลังของมิ่งยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วหรือ
แต่เขาสังเกตเห็นว่าบนร่างของมิ่งเหล่านี้มิได้มีพลังอันธการแฝงเร้นอยู่ เมื่อมากันเช่นนี้ เหล่าอริยะมหามรรคจะได้แสดงความสามารถของตนออกมากันเสียที
มิ่งเหล่านี้มีรูปร่างแตกต่างกันไป ทั้งหมดล้วนสวมอาภรณ์สีดำ ร่างกายเสมือนร่างวิญญาณ มืดมนน่าหวาดผวา
มิ่งทั้งสิบสามมุ่งหน้าตรงมายังตำหนักที่หานเจวี๋ยอยู่ อำนาจกดดันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตูม! ตูม! ตูม!
ตำหนักแต่ละหลังถูกแรงกดดันจนพังทลายลงทีละหลัง ทั้งห้วงมิติปริร้าวทลายลง ถูกแทนที่ด้วยมิติแสงสีม่วง หมอกสีม่วงมากมายนับไม่ถ้วนไหลทะลักเข้ามา จากนั้นแสงสีม่วงกลายเป็นสีขาว และก็กลายเป็นสีครามเข้มต่อ แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
ที่นี่ยังเป็นห้วงมิติแห่งเดิม ที่สีสันเปลี่ยนแปลงไปก็เพียงเพราะพลังเวทของเหล่ามิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
มิ่งทั้งสิบสามเพิ่งเดินได้ห้าก้าว เงาร่างสิบสองร่างก็ปราดเข้ามาขวางพวกเขาไว้
เป็นสิบสองบรรพชนจอมเวท
ตี้เจียงเหลียวไป สีหน้าเหี้ยมเกรียม เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่น้องเอ๋ย ก่อนหน้านี้ถูกพลังอันธการหน่วงเหนี่ยวไว้ ได้รับความลำบากอย่างยิ่ง ถึงเวลาระบายความแค้นแล้ว!”
พอพูดจบ สิบสองบรรพชนจอมเวทล้วนเผยร่างจริงแห่งบรรพชนจอมเวทออกมา แต่ละคนหน้าตาน่ากลัว มีงูเหลือมพันอยู่ที่เอว ร่างใหญ่บึกบึน
เทพสูงสุดหยวนสื่อขยับแส้ปัดธุลี เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ควรลงมือแล้วจริงๆ”
โพธิสัตว์เจียอิ๋น เจ้าแม่หนี่ว์วารวมถึงอริยะมหามรรคคนอื่นๆ ก็พากันก้าวออกมา
ก่อนหน้านี้พลังอันธการทำให้พวกเขาต้องคับข้องใจมากจริงๆ ทันทีที่สำแดงพลังเวท ก็ถูกพลังอันธการต่อต้านสลายพลังไป แล้วจะสู้ได้อย่างไร
มิ่งที่อยู่ในกำมือของหานเจวี๋ยตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “กลัวหรือยังเล่า! ตอนนี้ต่อให้พวกเจ้าร้องขอความเมตตาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย หานทั่วรวมถึงพวกโจวฝานต่างขมวดคิ้ว
มิ่งทั้งสิบสามนั้นดูไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ต่อให้เหล่าอริยะมหามรรคสกัดขวางอยู่ด้านหน้า พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ชวนให้อกสั่นขวัญผวา
ในเวลานี้เอง!
แสงสีดำสายหนึ่งพลันส่องขึ้นมาจากด้านหลังของมิ่งทั้งสิบสาม แผ่เข้าปกคลุมทั่วมิติเวิ้งว้าง
เหล่าอริยะมหามรรคทั้งหมดรวมถึงทหารสวรรค์หลายสิบล้านนายล้วนไม่ทันตั้งตัว ถูกกวาดพัดเข้าใส่โดยตรง รวมถึงหานเจวี๋ยด้วย
หานเจวี๋ยรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันสั่นพร่า รอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด ราวกับหลุดเข้าสู่แดนต้องห้ามอันธการ พวกจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายที่อยู่รอบข้างหายไปหมดแล้ว
จากนั้น ท่ามกลางความมืดมิดพลันมีดวงดาวปรากฏขึ้นพร้อมกันหลายดวง แต่งแต้มจนกลายเป็นห้วงดาราอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยมองเห็นมิ่งทั้งสิบสาม ว่ากันตามจริงแล้วคือมิ่งทั้งสิบสี่!
ด้านหลังของเหล่ามิ่ง ยังมีเงาดำอีกสายอยู่ ราวกับไอหมอกกลุ่มหนึ่ง
“นี่คือทักษะอันธการของข้า ใช้ได้กับตัวตนที่มีระดับทัดเทียมกันเท่านั้น หากเจ้ายอมศิโรราบต่อพวกเราแต่โดยดี เจ้าถึงจะหลุดพ้นจากแดนมายาแห่งนี้!”
เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งแว่วขึ้นมา
มิ่งทั้งสิบสามกระจายตัวออกไป เข้าปิดล้อมหานเจวี๋ยอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว เอ่ยถามว่า “อริยะมหามรรคคนอื่นๆ ก็เผชิญกับการปิดล้อมโจมตีแบบส่วนตัวจากพวกเจ้าหรือ”
เสียงแหบพร่าเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ถูกต้อง จะมอบโอกาสให้เจ้าสักครั้ง ยอมสยบต่อพวกเรา กลายเป็นมิ่งซะ!”
หานเจวี๋ยถามอีก “หากไม่ยอมสยบเล่า”
เงาดำร่างแล้วร่างเล่าผุดออกมาจากร่างของเขา ยืดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเงาใหญ่ยักษ์น่าหวาดหวั่นหลายต่อหลายร่าง เป็นร่างจำลองเสรีสุญญตา
“เช่นนั้นก็ตายซะ!”
“ฆ่า!”
เสียงแหบพร่าออกคำสั่ง เขาสัมผัสได้ถึงความความน่าหวาดผวาของร่างจำลองเทพมาร ออกคำสั่งด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
….
ภายในห้วงมิติดั้งเดิม
หานทั่วเห็นว่าหานเจวี๋ยนิ่งไปราวกับถูกสะกด จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้ว เขากวาดตามองออกไปรอบๆ อริยะมหามรรครายอื่นก็ไม่ขยับตัวเช่นกัน มิใช่แค่อริยะมหามรรคเท่านั้น มิ่งทั้งสิบสามก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
สถานการณ์แปลกประหลาดอย่างยิ่ง
มิ่งที่อยู่ในกำมือหานเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “นี่คือหนึ่งในความสามารถแห่งอันธการ สามารถดึงตัวศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกันเข้าไปต่อสู้ในมิติมายาเสมือนจริงแบบส่วนตัวได้ อริยะมหามรรคทั้งหมดจะเผชิญกับการปิดล้อมโจมตีอย่างโดดเดี่ยว ดับสูญไปโดยตรง พวกเจ้ายังคิดจะร่วมมือกันต่อต้านมิ่งอีกหรือไม่”
“ไร้เดียงสา!”
“ลืมบอกพวกเจ้าไปอีกเรื่อง มิ่งทุกคนล้วนมีทักษะอันธการของตนเอง!
“รอจนเหล่าอริยะมหามรรคดับสูญไปหมดแล้ว พวกเจ้าก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอดเช่นกัน!”
มิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง ราวกับได้เห็นฉากที่พวกหานทั่วคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตแล้ว
โจวฝานแสดงสีหน้าหงุดหงิด ร้องด่าว่า “อยากขยี้เขาให้ตายจริงๆ!”
มิ่งเป็นอริยะมหามรรค เพียงถูกกักขังไว้ในกำมือของหานเจวี๋ยเท่านั้น ไหนเลยจะใช่ตัวตนที่เซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าอย่างเขาจะสามารถสังหารได้
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ในใจเปี่ยมด้วยความกังวล
จำนวนของมิ่งเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้
ศึกนี้ยังคงมีความเสี่ยงมากเกินไป!
น่าตายนัก…
สร้างความเดือดร้อนให้หานเจวี๋ยเสียแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเงยหน้ามองไปทางหานเจวี๋ย อดที่จะตะลึงไม่ได้
ไม่น่าเชื่อเลยว่าหานเจวี๋ยจะเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา
มองเห็นหานเจวี๋ยยกมิ่งขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทักษะอันธการอย่างนั้นหรือ น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ!”
คนที่เหลือล้วนตะลึงงัน จากนั้นก็อดอุทานออกมาไม่ได้
“ท่านพ่อ!”
“อาจารย์ปู่!”
“อาจารย์!”
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตน
หานเจวี๋ยทำลายทักษะอันธการออกมาได้อย่างไร
มิ่งที่อยู่ในกำมือหานเจวี๋ยเบิกตากว้าง ร้องเสียงหลง “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! เหตุใดเจ้าถึงหลุดพ้นจากทักษะอันธการนี้ได้”
เสียงของเขาสั่นสะท้าน
หานเจวี๋ยเก็บเขาเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก็เดินเข้าไปหามิ่งทั้งสิบสามที่ยืนนิ่งอยู่ไกลออกไป
“สลัดให้หลุดพ้นมันยากตรงไหน ก็แค่ทำลายพวกเจ้าทั้งหมดเท่านั้น”
วาจาสบายๆ ของหานเจวี๋ยแว่วเจ้าสู่หูของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและพวกหานทั่ว พวกเขาฟังแล้วพลันนิ่งทื่อไป
หมายความว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบลมหายใจ หานเจวี๋ยสามารถสังหารมิ่งทั้งสิบสามในมิติมายาได้ด้วยตัวความเดียวเช่นนั้นหรือ
นี่…
ต่อให้เป็นพวกโจวฝานและฉู่ซื่อเหรินที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวหานเจวี๋ยก็ยังคงตกตะลึงเช่นกัน
เช่นนี้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกัน!
พวกเขาหันไปมอง เห็นว่ามีเงาดำใหญ่มหึมาหลายต่อหลายร่างผุดออกมาจากด้านหลังของหานเจวี๋ยพร้อมกัน
อี๋เทียนอดถามไม่ได้ “หานทั่ว นั่นมิใช่พลังวิเศษคู่ชีพของเจ้าหรอกหรือ ที่แท้เจ้าก็รับสืบทอดมาจากบิดา!”
หานทั่วมองร่างจำลองเทพมารที่อยู่เหนือศีรษะหานเจวี๋ยด้วยสีหน้าซับซ้อน
หนึ่งร่าง…
สองร่าง…
สี่ร่าง…
แปดร่าง…
เขารับสืบทอดมาเพียงร่างเดียวก็เพียงพอจะทำลายล้างศัตรูในระดับเดียวกันได้แล้ว ทว่าหานเจวี๋ยบิดาของเขาครอบครองร่างจำลองมากมายขนาดนี้ จะแข็งแกร่งขนาดไหนกันเล่า
รอจนกระทั่งหานเจวี๋ยไปถึงตรงหน้ามิ่งทั้งสิบสาม เหนือศีรษะก็มีร่างจำลองเทพมารหลายสิบร่างแล้ว ทั้งหมดล้วนโน้มตัวไปด้านหน้า ก้มมองมิ่งทั้งสิบสาม ราวกับยักษ์ใหญ่หลายสิบตนมารวมตัวกัน ก้มมองมดปลวกไม่กี่ตัว
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าทำได้อย่างไร”
น้ำเสียงตื่นตะลึงแว่วมาจากด้านหลังของมิ่งทั้งสิบสาม ในน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เป็นมิ่งผู้นั้นที่สำแดงทักษะอันธการออกมา เขาที่อยู่ในสภาพไอมืดดำสั่นระริกไม่หยุด ราวกับพร้อมดับมอดลงทุกเมื่อ
ทักษะอันธการของเขาตอนนี้กลับกักขังพวกพ้องตนเองเสียแล้ว
หานเจวี๋ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ร่างจำลองเทพมารหลายสิบร่างที่อยู่เหนือศีรษะต่างกำหมัดยกฝ่ามือตวัดออกไป ราวกับจะถล่มนภา!
ตูม!
แสงเจิดจ้าน่าหวาดหวั่นส่องวาบขึ้น สว่างจนทำให้ทุกคนที่มองอยู่ล้วนต้องหลับตาลง จิตรับรู้ถูกปิดกั้น
………………………………………………………………