ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 766 อายุหนึ่งล้านปี อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผันผ่านไปอย่างไม่อาจหวนคืน
นับจากหานอวี้รับตัวสตรีชุดเขียวไว้ เวลาก็ผ่านไปอีกพันปีแล้ว
ภายใต้การชี้แนะของหานอวี้ ตบะของสตรีชุดเขียวพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ช่วงเวลาส่วนใหญ่ หานอวี้ล้วนนั่งสมาธิอยู่ใต้พฤกษาเก่าแก่ มองสตรีชุดเขียวฝึกบำเพ็ญพลังวิเศษ วันเวลาเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกดีอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่โดดเดี่ยวเช่นที่ผ่านมาแล้ว
ในวันนี้
สตรีชุดเขียวเพิ่งฝึกบำเพ็ญพลังวิเศษเสร็จสิ้น นางเดินมานั่งลงตรงหน้าหานอวี้ ก่อนถามด้วยความอยากรู้ “ผู้อาวุโสเจ้าคะ ท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ข้าได้ยินว่าเจ้าของเขาเทพปู้โจวเป็นยอดผู้ทรงพลังของเผ่ามนุษย์ ที่เผ่ามนุษย์มีวันนี้ได้ ท่านมีคุณูปการมากมายล้นเหลือ”
หานอวี้กล่าวโดยไม่ลืมตาขึ้นมา “ล้วนเป็นคำบอกเล่าทั้งสิ้น ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญที่หลีกห่างจากโลกโลกีย์เท่านั้น”
สตรีชุดเขียวซักถามต่อ “เช่นนั้นท่านมีตบะระดับใดแล้วเจ้าคะ ระดับเทพ หรือว่าเซียนทองต้าหลัวในตำนาน”
หานอวี้ตอบว่า “รอเจ้าบรรลุถึงระดับเดียวกับข้า ย่อมจะมองตบะของข้าออก”
“ข้าสามารถบรรลุถึงระดับเดียวกันกับท่านได้หรือเจ้าคะ”
สตรีชุดเขียวเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นยินดี
หานอวี้หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ก็คงได้ แต่เกรงว่าเจ้าคงสิ้นชีพด้วยน้ำมือศัตรูไปก่อน อยู่ไม่ถึงวันนั้น”
สตรีชุดเขียวเบะปาก ผู้อาวุโสมักพูดกระทบกระเทียบนางอยู่เสมอ คิดว่านางไม่สามารถล้างแค้นได้สำเร็จ
นางถามอีกว่า “ข้าจะบรรลุถึงระดับจักรพรรดิได้เมื่อใดเจ้าคะ”
หานอวี้ตอบเนิบๆ “คาดว่าคงอีกหลายหมื่นปีกระมัง”
หลายหมื่นปี…
สตรีชุดเขียวมีสีหน้าตื่นตะลึง นางกัดฟันลุกขึ้น เดินไปเริ่มนั่งสมาธิบำเพ็ญอยู่ด้านข้าง
ยอดเขาของเขาเทพปู้โจวกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เมื่ออยู่ที่นี่ ไร้ซึ่งร่องรอยของกาลเวลา ราวกับทุกสิ่งเป็นนิรันดร์
….
สองหมื่นกว่าปีผ่านไป
ข้อความสามแถวเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุหนึ่งล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอย่างยิ่งใหญ่อีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที เผยแพร่มรรคสู่ฟ้าบุพกาล กระตุ้นให้เกิดมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน องครักษ์ระดับอริยะมหามรรคหนึ่งราย]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม หลีกห่างข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน เปิดใช้งานอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม]
หานเจวี๋ยตาลุกวาวทันที
มาแล้ว!
สมกับเป็นการครบรอบอายุหนึ่งล้านปี ระบบไม่ทำให้ผิดหวังเลย!
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองทันที
อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามสิดี รับสืบทอดทุกอย่างจากอาณาเขตเต๋าหลัก ซ้ำยังสามารถเคลื่อนย้ายส่งตัวได้ วันไหนอาณาเขตเต๋าหลักถูกทำลาย เขาก็สามารถหนีไปที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สามได้โดยตรง จะตั้งอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามไว้ในมรรคาสวรรค์ไม่ได้ จำต้องหาสถานที่ซ่อนตัวที่เหมาะสมในฟ้าบุพกาลไว้สักแห่ง ให้ไม่มีใครรู้เลยจะดีที่สุด!
หานเจวี๋ยนำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง
หินวิญญาณมรรคาสวรรค์ควรนำไปใช้กับสิ่งใดเล่า
ขวานเบิกฟ้าเป็นสมบัติเลิศมรรคาแล้ว หากแข็งแกร่งไปกว่านี้ หานเจวี๋ยจะควบคุมอยู่หรือไม่
หากใช้กับหนังสือแห่งความโชคร้าย ก็รู้สึกว่าไม่ได้ใช้งานมากนัก ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่มีเป้าหมายที่ต้องการสาปแช่งให้ตาย
ส่วนเจ้าชะตาอันธการยังต้องเก็บไว้รับเคราะห์แทนเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่
ช่างเถอะ เก็บไว้ก่อนแล้วกัน
หานเจวี๋ยนำชิ้นส่วนมหามรรคออกมา เก็บสะสมมาจนวันนี้ ในที่สุดก็ครบเก้าชิ้นอีกครั้ง
พลังวิเศษระดับมหามรรคชนิดใหม่ หานเจวี๋ยคิดไว้นานแล้ว
ถึงเวลามอบความสามารถในการต่อสู้ให้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการแล้ว!
พลังวิเศษที่เขาจะรังสรรค์ขึ้นเป็นพลังที่สามารถสังหารศัตรูผ่านความฝันได้!
ชิ้นส่วนมหามรรคเก้าชิ้นผสานรวมกันในทันใด จากนั้นหานเจวี๋ยก็เข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค
….
ณ ยอดเขาเทพปู้โจว
หานอวี้มองสตรีชุดเขียวที่ก้าวกลับมาจากเคราะห์อัสนี เอ่ยด้วยรอยยิ้มสะท้อนใจ “ในที่สุดก็บรรลุจักรพรรดิเซียน นับว่าไม่เลวเลย เร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้”
สตรีชุดเขียวเดินมาหยุดตรงหน้าเขา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณผู้อาวุโส หากไม่ได้ผู้อาวุโสช่วยผลักดัน ข้าไม่มีทางประสบความสำเร็จเช่นในวันนี้ได้”
หานอวี้แย้มยิ้ม
สตรีชุดเขียวกัดฟันถาม “ผู้อาวุโส ตัวข้าในตอนนี้สามารถไปล้างแค้นได้หรือยังเจ้าคะ”
หานอวี้หลับตาลง กล่าวว่า “ศัตรูของเจ้า เพิ่งพิสูจน์ระดับเทพไม่นานมานี้”
สตรีชุดเขียวเสมือนถูกสายฟ้าฟาด เบิกตากว้าง ร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้
ใบไม้ร่วงปลิวผ่าน ฉากในยามนี้ดูเปล่าเปลี่ยวและเหน็บหนาวอยู่บ้าง
“อีกฝ่ายเป็นบุตรแห่งสวรรค์หรือเจ้าคะ” สตรีชุดเขียวถามด้วยความขมขื่น
บุตรแห่งสวรรค์ เป็นตัวตนที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยนี้
บุตรแห่งสวรรค์มีมากมายนับไม่ถ้วน นี่คือยุครุ่งเรืองยุคหนึ่ง
และเพราะความรุ่งเรืองของบุตรแห่งสวรรค์ สรรพสิ่งจึงมีความอดทนต่อบุตรแห่งสวรรค์ยิ่งนัก เนื่องจากบุตรแห่งสวรรค์เป็นตัวแทนแห่งความหวัง เป็นสัญลักษณ์แห่งกำลังหลักในยามที่มรรคาสวรรค์มีอันตราย สำนักดวงชะตาแต่ละแห่งล้วนคอยดูแลเอาใจใส่ยิ่งนัก
หานอวี้ตอบว่า “อืม มีคุณสมบัติจะสำเร็จเป็นต้าหลัว”
สตรีชุดเขียวแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา
เซียนทองต้าหลัว…
นั่นเป็นตัวตนที่อยู่ในเส้นทางบำเพ็ญระดับเดียวกับท่านมหาบรรพชน!
สตรีชุดเขียวไม่ยอมถอดใจ จ้องมองหานอวี้อย่างมีความหวัง เอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ข้าไม่มีความหวังจะได้ล้างแค้นจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หานอวี้กล่าวว่า “บนโลกนี้ไม่มีความบังเอิญมากมายขนาดนั้น เจ้าได้รับความช่วยเหลือจากข้า นับเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเจ้า เดิมทีเจ้าเป็นคนที่สมควรตายไปแล้ว บางครั้งแม้การปล่อยวางจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็นำไปสู่โลกที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม”
สตรีชุดเขียวก้มหน้าลง
หานอวี้เอ่ยอย่างสบายๆ “ข้าก็เคยเปี่ยมเพลิงโทสะมุ่งหวังจะล้างแค้น ตระกูลของข้า บิดามารดาของข้า พี่น้องชายหญิงของข้า ถึงขั้นที่แม้แต่คนในดวงใจของข้าล้วนสิ้นชีพลงต่อหน้าข้า ในเวลานั้น ข้าเคียดแค้นชิงชังทั้งโลก แค้นเคืองเทพเซียน ชิงชังสวรรค์ เกลียดชังที่ตนไร้ความสามารถ”
สตรีชุดเขียวเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยความตะลึง
หานอวี้เอ่ยว่า “ต่อมา มีคนช่วยล้างแค้นให้ข้าแล้ว”
ดวงตาสตรีชุดเขียวเปล่งประกายขึ้นมา ผู้อาวุโสกำลังบอกตนเป็นนัยๆ หรือ
หานอวี้หันเหหัวข้อสนทนาไป เอ่ยว่า “เพียงแต่ล้างแค้นแล้วอย่างไรเล่า เจ้าดูข้าในตอนนี้ โดดเดี่ยวตัวคนเดียว เฝ้าพิทักษ์เขาแห่งนี้ ไร้ห่วงไร้ที่พึ่ง ถึงข้าไม่ล้างแค้น ตระกูลศัตรูก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่แสนปีเช่นกัน แล้วข้าจะผูกจิตคิดล้างแค้นไปไยเล่า”
สตรีชุดเขียวเอ่ยอย่างหัวรั้น “อย่างน้อยท่านก็ได้ชำระแค้น ไร้ห่วงกังวล ข้าไม่ยินดีปล่อยให้ศัตรูของข้าได้ลอยชายต่อไปอีกหลายแสนปีเจ้าค่ะ”
หานอวี้เอ่ยด้วยความจนปัญญา “ขอบอกความจริงกับเจ้าเลยแล้วกัน ผู้หนุนหลังบุตรแห่งสวรรค์คนนั้นคือนิกายเจี๋ย รากฐานของนิกายเจี๋ยไม่จำเป็นต้องให้เล่าแล้วกระมัง”
นิกายเจี๋ย…
สตรีชุดเขียวนั่งทื่ออยู่ตรงนั้นทันที
นางเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการฝึกบำเพ็ญในช่วงหลายปีมานี้ของตนไม่มีความหมายเลย
หานอวี้ไม่ได้เอ่ยปลอบนาง อันที่จริงในสายตาของเขา บุตรแห่งสวรรค์คนนั้นไม่นับเป็นอันใดเลย ถึงขั้นที่ขอเพียงเขาบอกกล่าวเรื่องนี้ต่อใครบางคนสักหน่อยก็สามารถกำหนดความเป็นความตายของบุตรแห่งสวรรค์คนนั้นได้เลย
แต่เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
เขาหาได้ติดค้างอันใดต่อสตรีชุดเขียวนางนี้ไม่
หานอวี้ลืมตาขึ้น เอ่ยว่า “หากเจ้าต้องการล้างแค้น เช่นนั้นก็ลงเขาไปเถิด ไปขอร้องให้ผู้ทรงพลังที่ร้ายกาจยิ่งกว่าช่วยเหลือ หากว่าเจ้าดวงดี อาจจะทำสำเร็จ”
สตรีชุดเขียวลุกขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ค้อมกายคำนับหานอวี้ จากนั้นก็เดินลงเขาไปโดยไม่ลังเลเลย
หานอวี้หลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อไป
เดิมทีก็เป็นเพียงละครคั่นฉากระหว่างเส้นทางฝึกบำเพ็ญอยู่แล้ว เขาไม่ได้แยแสเลย
หลายเดือนต่อมา
สตรีชุดเขียวนางนั้นกลับขึ้นมาบนยอดเขาอีกครั้ง นางจ้องมองหานอวี้ กล่าวว่า “ตลอดย่างก้าวที่ข้าเดินลงจากเขาเทพปู้โจว ครุ่นคิดมากมายยิ่ง หากข้าไปล้างแค้นจะต้องตายอย่างแน่นอน การสู้ตายเพื่ออาจารย์นั้น ข้าไม่คิดขุ่นเคืองหรือนึกเสียใจเลย แต่ข้าเคยรับปากท่านไว้ว่าจะอยู่รับใช้ท่าน ท่านอบรมสั่งสอนข้ามาหลายหมื่นปี ถ้าข้าตายไปเช่นนี้ นับว่าข้าติดค้างบุญคุณท่าน
“ข้ายินดีอยู่รับใช้ท่าน รอจนถึงยามที่ข้าบรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว ข้าค่อยไปล้างแค้น ต่อให้สิ้นชีพก็นับว่าข้าได้ตายเพื่ออาจารย์แล้ว”
หานอวี้ไม่ได้ตอบรับ
สตรีชุดเขียวเดินไปด้านข้าง นั่งสมาธิลงในจุดเดิมที่เคยฝึกบำเพ็ญ
เขาเทพปู้โจวยังคงเงียบสงบเช่นวันวาน มีเพียงสายลมแผ่วพลิ้วที่โบกพัดผ่านสรรพสิ่งในใต้หล้า
………………………………………………………………