ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 787 เจ้าแดนต้องห้ามปรากฏ แดนมายาบุพกาล
หานเจวี๋ยพูดคุยกับหงหยวนตามมารยาทสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าหานเจวี๋ยยืนกรานไม่ยอมไป หงหยวนจึงได้แต่ยอมแพ้
หงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นวันหน้าหากมีโอกาสข้าค่อยมาเยี่ยมสหายเต๋าหานใหม่ หากว่าสหายเต๋าหานอยากไปเยี่ยมข้า ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
กล่าวจบ นางก็ประสานมืออำลาไป
หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
รับมือกับสตรีนั้นเหน็ดเหนื่อยเป็นที่สุดจริงๆ
ร่างแยกของหานเจวี๋ยกลับเข้าสู่มรรคาสวรรค์ รวมเข้ากับร่างจริงอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เลือนหายไป
หานเจวี๋ยคร้านจะทำนายถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของหงหยวนแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะออกไป
หานเจวี๋ยหลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ
ต่อจากนี้ต้องเริ่มมุ่งสู่ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะปลายแล้ว!
นับจากการทะลวงขั้นครั้งก่อน ผ่านมาเกือบหกแสนปีแล้ว
ในช่วงหกแสนปีนี้ หานเจวี๋ยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วยิ่ง เร็วกว่าหกแสนปีก่อนมากนัก
ชีวิตคนก็อาจจะเป็นเช่นนี้กระมัง
ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากขึ้นเท่านั้น
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ
จอมอริยะเสวียนตู เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ผานซิน ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยและฟางเหลียงล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
ผานซินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในฟ้าบุพกาลช่วงนี้ อริยะคนอื่นๆ ฟังแล้วต่างขมวดคิ้ว
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการปรากฏตัวแล้ว!
สำหรับพวกเขานามนี้เสมือนสายฟ้าที่ผ่าลงข้างหู
ได้ยินสาเหตุในอดีตที่ทำให้มรรคาสวรรค์เริ่มต้นวงจรใหม่ ก็เป็นเพราะเจ้าแดนต้องห้ามอันธการบีบคั้นจนอริยะมิ่งจีร้อนรน
เรียกได้ว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการคอยบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลังมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งก่อน
พวกเขาสงสัยกันว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการต้องการสนับสนุนวังสวรรค์ ผลคือจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถูกขับไล่ออกจากมรรคาสวรรค์ จุดจบที่ปรากฏให้เห็น ไม่มีผู้ใดชนะทั้งสิ้น มรรคาสวรรค์นับว่าได้รับความเสียหายจากเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ จากนั้นก็ก่อให้แดนเทพหวนปัจฉิมเข้ารุกรานมรรคาสวรรค์ต่อในภายหลัง หากไม่มีหานเจวี๋ยอยู่ เกรงว่ามรรคาสวรรค์คงจบสิ้นไปนานแล้ว
พวกเขาก็สงสัยเช่นกันว่าหานเจวี๋ยและเจ้าแดนต้องห้ามอันธการมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่พอคิดดูให้ละเอียด ไม่หลักการเชื่อมโยงเลย หานเจวี๋ยก็กล่าวอ้างว่าเคยถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งเช่นกัน
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการร้ายกาจจริงๆ แม้แต่จอมเทพข่งเซวี่ยก็สามารถสยบได้ คนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความบ้าบิ่น ไม่เห็นอริยะมหามรรคคนใดอยู่ในสายตาทั้งสิ้น”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าแดนต้องห้ามอันธการซ่องสุมกองกำลังไว้มากน้อยเพียงใด พวกเราไม่ทราบกันเลย แต่ในแดนเซียนรวมถึงปวงสวรรค์หมื่นโลกาล้วนมีเส้นสายของลัทธิอันธการหลงเหลืออยู่เสมอมา จิ่งเทียนกงก็พาผู้ศรัทธาจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าสู่ฟ้าบุพกาล นี่แค่ในมรรคาสวรรค์เท่านั้น เมื่อทอดสายตามองไปทั่วฟ้าบุพกาล เกรงว่าอิทธิพลของเขาจะน่ากลัวกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้มากนัก”
ฉิวซีไหลก็เป็นกังวลมากเช่นกัน “นั่นสิ เมื่อก่อนเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเคยพุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์ วันหน้าอาจจะย้อนกลับมาอีกก็ได้ ขอบอกกันตามตรง ข้ามักจะถูกสาปแช่งเป็นครั้งคราวเสมอ ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายใหญ่หลวง แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด”
เจ้าแดนต้องห้ามอันธการคือดาบที่ลอยพาดอยู่เหนือหัวมรรคาสวรรค์
ในมหาเคราะห์ครั้งก่อน มหาเคราะห์ที่เดิมทีสมควรดำเนินเป็นระยะเวลาหลายล้านปีกลับถูกเจ้าแดนต้องห้ามอันธการบังคับเร่งระยะเวลาให้เร็วขึ้น สุดท้ายถึงขั้นที่ปรากฏพลังวิเศษทำลายมรรคาขึ้น กลายเป็นมหาเคราะห์ที่ร้ายแรงที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “นอกจากต้องระวังเจ้าแดนต้องห้ามอันธการแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หวงจุนเทียนประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับหลี่เต้าคงและสือตู๋เต้า ถูกมิ่งจับตัวไป ตัดขาดดวงชะตามรรคาสวรรค์ นิกายเจี๋ยคัดเลือกอริยะคนใหม่มาแทนเถิด”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมีสีหน้าไม่น่ามองแล้ว พยักหน้ารับนิดๆ
เขายังคงให้ความสำคัญกับหวงจุนเทียนยิ่งนัก แต่ก็จนปัญญาเช่นกัน มรรคาสวรรค์ในตอนนี้ไม่เหมาะจะเปิดศึกกับมิ่งอย่างสิ้นเชิง
ผานซินด่าทอ “มิ่งที่สมควรตาย เหิมเกริมเกินไปแล้ว หากมิใช่เพราะพวกเราต้องคำนึงถึงมรรคาสวรรค์ ข้าอยากจะถล่มพวกเขาตรงๆ โดยแท้!”
มรรคาสวรรค์กำลังพัฒนาสู่ฟ้าบุพกาล หากเปิดศึกขึ้นมา สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์มากมายที่ท่องอยู่ด้านนอกจะได้รับผลกระทบไปด้วย ต่อให้มรรคาสวรรค์ไม่พ่ายแพ้ แต่การพัฒนาในอนาคตของมรรคาสวรรค์จะหยุดชะงักไปเป็นระยะเวลานาน ถึงขั้นที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องด้วย
“ต้องแจ้งเรื่องนี้ต่ออาจารย์ปู่หรือไม่” ฟางเหลียงถาม
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ไม่จำเป็น อีกทั้งหวงจุนเทียนก็มิใช่ศิษย์สำนักซ่อนเร้น ส่วนเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ พวกเราหาไม่พบว่าเขาอยู่ที่ใด หากแจ้งต่อสหายเต๋าหาน มีแต่จะเพิ่มความกลัดกลุ้มให้เขา ส่งผลกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญของเขา
“มรรคาสวรรค์มาถึงจุดนี้ได้มิใช่เพราะความสามัคคี แต่เป็นเพราะพลังของสหายเต๋าหาน ในจุดนี้ ทุกท่านน่าจะทราบแก่ใจดี”
เหล่าอริยะพยักหน้ารับ
ถ้าไม่มีหานเจวี๋ย พวกเขาจะสามัคคีกันได้อย่างไร
ถ้าไม่มีหานเจวี๋ย ต่อให้พวกเขาสามัคคีกัน แต่จะผ่านพ้นเคราะห์ภัยหลายครั้งก่อนหน้านี้มาได้หรือ
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ในเมื่อมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตเริ่มต้นขึ้นแล้ว หากทุกท่านมีเวลาก็จับตามองแดนเซียนเถอะ เผื่อจะมีอริยะหน้าใหม่บางคนไม่เข้าใจกฎระเบียบ”
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากมีคนที่ไม่เข้าใจกฎระเบียบจริงๆ ก็ดี จะได้ถือโอกาสเชือดไก่ให้ลิงดู”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ผานซิน ฟางเหลียงและฉิวซีไหลต่างยิ้มออกมา
อริยะมรรคาสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่อริยะจึงเริ่มปรากฏการแบ่งแยกชนชั้นแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ตำแหน่งของอริยะอาวุโสก็เหนือกว่าอริยะหน้าใหม่
เหล่าอริยะหารือถึงสถานการณ์ของฟ้าบุพกาลต่อไป
….
ภายใต้นภาคราม ณ ทะเลสาบผืนใหญ่ที่โอบล้อมด้วยขุนเขา บนผิวทะเลสาบมีไอหมอกปกคลุม ราวกับภพเซียน
ริมทะเลสาบ
เหล่าตานในชุดฟางนั่งเอนหลังพิงควายตัวใหญ่ที่หมอบอยู่บนพื้นหญ้าพลางตกปลาไปด้วย คันเบ็ดนั้นยาวยิ่ง จมหายลงไปในสายน้ำอวลไอหมอก
พวกเต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้นั่งเรียงกันอยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นจ้าวเซวียนหยวนลืมตาขึ้นมาแล้วถามว่า “ตาเฒ่า พวกเราต้องอยู่ที่นี่อีกนานเพียงใด พวกเราฝ่าแดนมายาบุพกาลก่อนหน้านี้ออกมาได้ นับว่าผ่านการทดสอบอย่างสมบูรณ์ ยังไปไม่ได้อีกหรือ”
เหล่าตานแค่นเสียง “รีบร้อนอะไร ตบะของพวกเจ้าอ่อนแอเกินไป หากไปตอนนี้ พวกเจ้าไม่มีทางคุ้มครองเจ้าอีกาทองตัวน้อยได้เป็นแน่”
เจียงอี้ไม่พอใจ เอ่ยไปว่า “อีกาทองก็อีกาทองสิ เหตุใดต้องเติมเจ้าตัวน้อยด้วย ข้าโตกว่าเจ้าด้วยซ้ำ!”
เหล่าตานหัวเราะฮ่าๆ
เต้าจื้อจุนถามว่า “ผู้อาวุโส โลกแห่งนี้คือสถานที่ใด พลังวิญญาณไม่เลวเลย”
แทบจะเทียบเป็นครึ่งหนึ่งของเขตเซียนร้อยคีรีได้แล้ว!
แต่เขาไม่ได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา
เหล่าตานเอ่ยอย่างยโส “ที่นี่คือมหานิรกรรม ก่อตัวเป็นโลกใบหนึ่ง ทว่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต เป็นอาณาเขตเต๋าของผู้เฒ่า เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ ปราณฟ้าประทานตลอดจนปราณฟ้าบุพกาลแน่นหนา เจ้าตัวแสบอย่างพวกเจ้าสามคนนับว่ามีโชคมหาศาลแล้ว”
จ้าวเซวียนหยวนกลอกตา
เต้าจื้อจุนมองไปที่เจียงอี้ เอ่ยถาม “ช่วงนี้การบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง มีจุดไหนที่ติดขัดหรือไม่”
เจียงอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มี ร่างเทพสุริยันมิวางวายร้ายกาจมากจริงๆ ใช้เวลาอีกไม่นาน ข้าก็คงฟื้นฟูมรรคผลเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าได้แล้ว”
เต้าจื้อจุนพยักหน้ารับ แววตาเปี่ยมความโล่งใจ
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจียงอี้อายุมากกว่าพวกเขา แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มสามคนราวกับเป็นน้องเล็กไม่มีผิด เต้าจื้อจุนและจ้าวเซวียนหยวนล้วนยอมให้เขา
“จริงสิ อีกห้าพันปีให้หลัง พวกเจ้ายังต้องเข้าไปในแดนมายาบุพกาลอีกครั้ง สั่งสมประสบการณ์จากมหาศึกทวยเทพ คู่ต่อสู้อาจจะเป็นอริยะ หรือถึงขั้นที่อาจจะเป็นบรรพชนเต๋าก็ได้ พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้ดี”
เสียงของเหล่าตานแว่วลอยมา พวกเต้าจื้อจุนได้ยินก็มีสีหน้าตื่นตะลึง
บรรพชนเต๋าอย่างนั้นหรือ!
พวกเขาไม่ได้หวั่นวิตก กลับตื่นเต้นยิ่งนัก
เหล่าตานคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของพวกเขา แอบสะท้อนใจกับตัวเอง
ต้องกล่าวเลยว่า เจ้าตัวแสบสามคนนี้มีความกล้าหาญไม่เลวเลยจริงๆ หากชุบเลี้ยงให้ดี วันหน้าต้องกลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่สั่นสะเทือนฟ้าบุพกาลได้แน่นอน
เหล่าตานอดนึกถึงหานเจวี๋ยแห่งมรรคาสวรรค์ไม่ได้
เขาไม่เคยพบหานเจวี๋ย แต่ได้ยินชื่อเสียงของอริยะสวรรค์เกรียงไกรที่เลื่องลือกันในฟ้าบุพกาล ประกอบกับอยู่ร่วมกับพวกเต้าจื้อจุนทั้งสาม แล้วเขาจะไม่รู้จักหานเจวี๋ยได้อย่างไร
เด็กคนนี้มีพรสวรรค์เลิศล้ำแต่กำเนิด ในสังกัดยังมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอีกทั้งจงรักภักดีมากมายขนาดนี้อีก
เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่
เหล่าตานพลันเกิดความสนใจตัวหานเจวี๋ยขึ้นมาอย่างลึกล้ำ
………………………………………………………………