ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 789 ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะปลาย!
“เสี้ยวความหวัง อาจจะเป็นเพียงเสี้ยวความเวทนาของผู้ที่อยู่ในความมืดกระมัง” หานอวี้กล่าวด้วยความสะท้อนใจ
สตรีชุดเขียวฟังไม่เข้าใจ
ผู้ที่อยู่ในความมืดหมายถึงใครกัน
หานอวี้หันหลัง เดินไปทางพฤกษาเก่าแก่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝึกบำเพ็ญต่อเถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ตัวเจ้าในตอนนี้โชคดีแล้ว ไร้ห่วงไร้กังวล ใช้เวลาให้ดีเถอะ แสวงหาเสี้ยวความหวังนั้นของตัวเจ้าเอง”
สตรีชุดเขียวรีบตามมา ยิ้มแป้นแล้วเอ่ยว่า “สำหรับข้าแล้วตบะจะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่การที่ได้ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายท่านทุกวัน เป็นความพึงพอใจสูงสุดของข้าเจ้าค่ะ!”
“ข้าต้องการให้เจ้ามารับใช้เสียที่ไหน หลายปีมานี้ เจ้าเคยรับใช้อะไรข้าบ้างล่ะ”
“นั่นเป็นเพราะท่านไม่ต้องการน่ะสิเจ้าคะ แต่ข้าเต็มใจทำจริงๆ”
“เฮอะ”
หานอวี้นั่งลงใต้พฤกษาเก่าแก่ จากนั้นก็หลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ
ส่วนสตรีชุดเขียว เขาคร้านจะสนใจแล้ว
สิ่งที่ฉินหลิงได้เผชิญนั้นส่งผลกระทบต่อหานอวี้
มีเรื่องหนึ่งที่เขาทราบดียิ่ง หากมิใช่เพราะท่านปฐมบรรพชน เกรงว่าเขาก็คงกลายเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในโลกโลกีย์เช่นกัน ไหนเลยจะได้อยู่อย่างสงบบนเขาเทพปู้โจวเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้ามารบกวน
เขาไม่อาจผิดต่อความคาดหวังของท่านปฐมบรรพชนได้
เขาก็ต้องพยายามเช่นกัน เพื่อหนีรอดจากกระดานมาก กลายเป็นผู้เดินหมาก!
….
ห้าพันปีต่อมา ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงขั้นสำเร็จ
เบิกฟ้ามหามรรคระยะปลาย!
พลังเวทของเขาเริ่มเพิ่มขึ้นฉับพลัน ความปลอดโปร่งที่ห่างหายไปนานทำให้เขาอารมณ์ดี
เขาปรับตบะให้มั่นคงพลางเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจดู
[ชื่อ: หานเจวี๋ย]
[อายุขัย: 1345281/90,329,999,999,999,999,999,999,999,999,999]
[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]
[ตบะ: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะปลาย (อริยะสมบูรณ์แบบ)]
[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค), วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]
[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด, มหามรรคแห่งกรรม, มหามรรคต้นกำเนิด]
….
ทะลวงขั้นครั้งนี้ ได้อายุขัยกลับคืนมามากกว่าที่ใช้ไปกับหนังสือยอดชะตาถึงสามเท่า!
ไม่เลวเลย!
หานเจวี๋ยพอใจอย่างยิ่ง
รอจนบรรลุถึงระดับยอดมหามรรค อายุขัยน่าจะพุ่งทะลุไปอย่างก้าวกระโดด!
หานเจวี๋ยตั้งตารอวันนั้นยิ่งนัก
จากระยะกลางถึงระยะปลายใช้เวลาเกือบเจ็ดแสนปี จากระยะปลายไปสู่ระยะสมบูรณ์เกรงว่าคงใช้เวลานับล้านปี!
เส้นทางยาวไกลนัก
หานเจวี๋ยใช้เวลาห้าร้อยปี ถึงทำให้ตบะมั่นคงได้
เขาเริ่มทำความเข้าใจพลังวิเศษ เริ่มจากยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ให้ถึงขีดจำกัดสูงสุดก่อน จากนั้นก็ฝึกฝนร่างจำลองเสรีสุญญตา
ใช้เวลาอีกสามร้อยปี
เขาเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารเพิ่มสามร้อยร่าง มีร่างจำลองเทพมารในการครอบครองทั้งหมดหนึ่งพันหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าร่าง
อานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน!
หานเจวี๋ยบรรลุถึงระดับนี้ พลังเวทมากมายไร้สิ้นสุด ดังนั้นยิ่งมีร่างจำลองเทพมารมากเท่าไร ก็ยิ่งยกระดับพลังของหานเจวี๋ยมากขึ้นเท่านั้น
ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเพียงการทะลวงระดับขั้นเล็กๆ ขั้นหนึ่ง ทว่าเป็นพลังระดับที่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้เลยทีเดียว
ต้องกล่าวเลยว่า กายดาราอนธการร้ายกาจจริงๆ สามารถรองรับพลังร่างจำลองมากมายเช่นนี้ได้
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ทุกครั้งที่เรียนรู้ร่างจำลองเทพมารหนึ่งร่าง ปราณเทพมารก็ก่อตัวขึ้นด้วยตัวเอง ไม่แน่ว่าเมื่อถึงเวลาที่หานเจวี๋ยบรรลุถึงระดับสูงสุดบางอย่างแล้ว โลกอนธการในส่วนลึกของวิญญาณเขาอาจจะกลายเป็นฟ้าบุพกาลอีกแห่งก็ได้
ภายในโลกอนธการมีปฐมศิลาฟ้าบุพกาลอยู่หนึ่งก้อน เป็นแหล่งกำเนิดเพิ่มพูนปราณฟ้าบุพกาลอย่างต่อเนื่อง แต่ตัวของโลกอนธการเองก็ให้กำเนิดปราณอนธการเช่นกัน แรกเริ่มทั้งสองฝ่ายต่างมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อกันและกัน ตอนนี้ปราณอนธการครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกอนธการ อีกทั้งค่อยๆ กัดกร่อนปราณฟ้าบุพกาลด้วย
นอกจากปฐมศิลาฟ้าบุพกาลจะเป็นแหล่งกำเนิดปราณฟ้าบุพกาลแล้ว ยังแปรผันสร้างสรรพสิ่งได้อีกด้วย มีความสามารถในการสรรค์สร้างสิ่งมีชีวิต หากคิดจะทำให้โลกอนธการกลายเป็นฟ้าดินแห่งหนึ่ง จำเป็นจะต้องใช้ประโยชน์จากปฐมศิลาฟ้าบุพกาลในไม่ช้าก็เร็ว
ตอนนี้หานเจวี๋ยรู้สึกว่าปฐมศิลาฟ้าบุพกาลอาจจะส่งผลกระทบต่อปราณอนธการ ดังนั้นเขาคิดว่าหลังจากพบสถานที่ตั้งอาเขตเต๋าแห่งที่สามแล้ว จะย้ายปฐมศิลาฟ้าบุพกาลออกมา
บุกเบิกฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นภายในร่างตน ฟังดูน่ามหัศจรรย์และเหลือเชื่ออย่างยิ่ง ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นการสร้างจุดอ่อนให้ตัวเอง เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าศัตรูจะโจมตีเขาผ่านทางโลกแห่งนี้หรือไม่
หานเจวี๋ยไม่อยากมีจุดอ่อน
จากนั้น หานเจวี๋ยจึงเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
เป้าหมายยังคงเป็นอริยะเทพอวี๋เจี้ยน
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งพันคน!
เป้าหมายของเขาคือไร้พ่ายในระดับเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าศัตรูจะมีมากน้อยเพียงใด ล้วนสามารถสังหารได้อย่างง่ายดายในเสี้ยววินาที
เขาหวังว่าตนจะสามารถท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคนได้ก่อนบรรลุถึงระดับยอดมหามรรค ถึงขั้นที่อาจจะมากกว่านั้นด้วย!
ครึ่งชั่วยามต่อมา หานเจวี๋ยเริ่มใช้งานแบบจำลองการทดสอบรอบที่สอง
วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฝึกปรือกำลังรบของตนในระหว่างการต่อสู้
….
ในโลกแนวระนาบอันลึกลับ ใต้ผืนฟ้าล้วนเป็นมหาสมุทร ยามนี้เงาร่างสูงใหญ่ไพศาลร่างหนึ่งลอยตัวอยู่ปลายของมหาสมุทร แสงเทพด้านหลังส่องสว่างไปไกลหลายพันล้านจั้ง เจิดจ้าพร่างตา
เป็นเทวีตราวินัย!
นักพรตเต๋าเสินเผาร่อนลงมาจากฟ้า ร่อนลงเบื้องหน้าเทวีตราวินัย ประสานมือคำนับ
“เทวีเรียกข้ามา ไม่ทราบว่ามีธุระใดหรือ”
นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยถาม ใบหน้าเจือรอยยิ้ม ดูราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากคุกสวรรค์อนธการเลย ยังคงเย่อหยิ่งเช่นในอดีต
เทวีตราวินัยเอ่ยขึ้นว่า “ด้วยเรื่องของเทพมารอนธการ ไม่นานมานี้มีสิ่งมีชีวิตกินโอสถอนธการเข้าไป ได้รับพลังของเทพมารอนธการ กระตุ้นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคแห่งฟ้าบุพกาลเข้า อำนาจศักดิ์สิทธิ์เปิดกลไกป้องกันขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงก่อกำเนิดขุนพลศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นคนขึ้น
“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่มีความคิดเป็นเอกเทศ พวกเขาจะเดินทางไปทั่วฟ้าบุพกาล ค้นหาเทพมารอนธการ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าอย่าได้ขัดแย้งกับพวกเขา”
ขุนพลศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ
นักพรตเต๋าเสินเผาขมวดคิ้วพลางถาม “ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มีตบะระดับใด”
เทวีตราวินัยตอบว่า “เทียบเท่าอริยะมหามรรค อริยะมหามรรคหนึ่งหมื่นราย กองกำลังระดับนี้บุกตะลุยไปทั่วฟ้าบุพกาลได้แน่นอน นี่คือพลังของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค เพื่อรักษาระเบียบวินัยในฟ้าบุพกาล หากเจ้าขัดขวางจะถูกตัดสินว่าเป็นภัยต่อฟ้าบุพกาล เข้าใจหรือไม่”
เปลือกตานักพรตเต๋าเสินเผากระตุกยิกๆ
อริยะมหามรรคหนึ่งหมื่นราย!
เกินเรื่องไปมากนัก!
ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลยังไม่แน่ว่าจะมีอริยะมหามรรคถึงหนึ่งพันรายเลย จำนวนขนาดนี้ต้องสั่งสมกันมากี่ยุคกี่สมัยกัน
จุดนี้เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่า พลังแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคน่ากลัวมากเพียงใด เพียงพอที่จะกวาดล้างฟ้าบุพกาลได้
นักพรตเต๋าเสินเผากล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณเทวีที่ช่วยเตือน ข้าจดจำไว้แล้ว”
เทวีตราวินัยเอ่ยถาม “เจ้าละวางความแค้นที่มีต่อมรรคาสวรรค์แล้วหรือ”
นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไหนเลยจะมีความแค้นอันใด เพียงทำไปเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น ในเมื่อสู้ผู้อื่นไม่ได้ ข้าย่อมสมควรล้มเลิก มิใช่เพียงเท่านี้ ข้ายังผูกมิตรกับเขาแล้วด้วย วันหน้าจะเป็นที่พึ่งพิงคอยพึ่งพาอาศัยกัน นับว่าพลิกเคราะห์เป็นโชค กลับร้ายกลายเป็นดี”
เทวีตราวินัยกล่าวว่า “ถูกแล้ว จัดการเช่นนี้ดียิ่งนัก ในฟ้าบุพกาล โดยเฉพาะอริยะมหามรรค ไหนเลยจะผูก บุญคุณความแค้นอย่างเอาเป็นเอาตายถึงเพียงนั้น ละวางบุญคุณความแค้น ตระหนักรู้ในมรรค ถึงจะเป็นเรื่องที่อริยะมหามรรคพึงกระทำ
“ฟ้าบุพกาลดูคล้ายจะมั่นคง แต่ก็อาจจะล่มสลายลงได้ทุกเมื่อ อันสิ่งที่เรียกว่าฟ้าบุพกาล เป็นเพียงการแสดงพลังของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคที่เข้ายึดครองห้วงมิติเวิ้งว้างดั้งเดิมเท่านั้น บางทีวันหน้าอาจจะปรากฏอำนาจศักดิ์สิทธิ์อื่นใดเข้าแทนที่ฟ้าบุพกาล บุกเบิกสร้างนามใหม่ขึ้น เช่นเดียวกับอนธการที่กลุ่มมิ่งใฝ่หา”
นักพรตเต๋าเสินเผาเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “พวกมิ่งล้วนเป็นตัวโง่งม คิดจะล้มล้างฟ้าบุพกาล ไหนเลยจะมีพลังอันใดให้พึ่งพา พวกเขาถึงขั้นที่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคเป็นอย่างไร”
“อืม มีเพียงเท่านี้แล้ว”
เทวีตราวินัยบอกประโยคหนึ่ง นักพรตเต๋าเสินเผาทำความเคารพ ก่อนหันหลังจากไป เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก ห้วงมิติเหนือมหาสมุทรพลันไหวกระเพื่อมรุนแรง จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
เป็นเหล่าจื่อ
เหล่าจื่อสีหน้าเย็นชา มองดูเทวีตราวินัยก่อนเอ่ยถาม “เทวี ท่านทำนายได้หรือไม่ว่าโอสถอนธการเสื่อมฤทธิ์ด้วยเหตุใด”
เทวีตราวินัยเอ่ยว่า “เจ้าศรัทธาในการปล่อยวางปลงอนิจจังมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาถามเรื่องนี้เล่า”
………………………………………………………………