ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 800 สร้างเทวตำนาน
“ข้าไม่ได้โอหังนะขอรับ ข้าต้องการใช้มหาเมตตากล่อมเกลาเขา!”
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยด้วยสีหน้าหนักแน่น ต้องกล่าวเลยว่า หลังจากบุกเบิกโลกพุทธะ ตัวเขาก็ยิ่งมีความเป็นบรรพชนพุทธมากขึ้นเรื่อยๆ ยามที่พูดจาชอบทำเช่นนี้ ตัวเขาจะส่องแสงเรืองรอง ทำให้คนอยากเชื่อถือเขาอย่างน่าประหลาด
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ทำเป็นเล่นไป”
ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยว่า “วางใจเถิดขอรับ อาจารย์ปู่ รอจนสำนักซ่อนเร้นรวมฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่งแล้ว โลกพุทธะของข้าจะนำพาสันติสุขมาสู่สำนักซ่อนเร้นเอง!”
“พูดอะไรมั่วซั่ว สำนักซ่อนเร้นต้องการร่วมฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร”
“กล่าวผิดไปเสียแล้ว มรรคาสวรรค์รวมฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่งต่างหาก...”
“มรรคาสวรรค์ก็ไม่ได้คิดจะรวมฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่งเช่นกัน เพียงคิดจะป้องกันตัวเท่านั้น เข้าใจหรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจัง เขารู้สึกว่าความคิดของฉู่ซื่อเหรินออกนอกลู่นอกทางแล้ว
ฉู่ซื่อเหรินรีบขออภัย เอ่ยไปว่า “ถูกต้อง! ถูกต้องขอรับ! ป้องกันตัว!”
เขาทอดถอนใจอยู่ภายใน
อาจารย์ปู่ยังคงหน้าหนายิ่งนัก
มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้ไปไกลเกินกว่าจุดที่เรียกว่าป้องกันตัวแล้ว มีใจฝักใฝ่ทะเยอทะยานชัดๆ
อย่างไรก็ตามเช่นนี้สิถึงจะเป็นผู้ทำการใหญ่ให้สำเร็จได้
พูดโกหกได้โดยไม่กะพริบตา
หานเจวี๋ยพูดคุยกับฉู่ซื่อเหรินสักพักหนึ่ง จากนั้นสลายแดนความฝันลง
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยมองความเจริญรุ่งเรืองภายในเขตเซียนร้อยคีรี จู่ๆ ก็รู้สึกห่างเหินยิ่งนัก
ดูเหมือนจะคึกคัก ทว่าเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาอีกครั้ง
ลูกศิษย์ลูกหาล้วนเติบใหญ่กันหมด ล้วนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเขาแล้ว
ในอดีตหานเจวี๋ยเกรงว่าศิษย์จะชักนำปัญหามาให้เขา ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ทว่าเหล่าศิษย์กลับเกรงว่าจะสร้างปัญหาให้เขา ต่อให้สังขารดับสลาย ก็ล้วนกัดฟันทนไว้ทั้งสิ้น
“ไม่เข้าใจเลย ไม่ง่ายเลยกว่าอาจารย์ของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ มีตบะอยู่กับตัวทั้งที ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเจ้าจะไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้แสดงฝีมือ”
หานเจวี๋ยรำพัน จากนั้นก็ปรับอารมณ์ ฝึกบำเพ็ญต่อ
เขาแข็งแกร่งจริงๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ไร้พ่าย
ตอนนี้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์หมื่นรายคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
อาณาเขตเต๋าอาจสามารถต้านทานขุนพลศักดิ์สิทธิ์หมื่นคนได้ เช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลจะต้องให้ความสนใจอาณาเขตเต๋าของเขาเป็นแน่ บรรดาศิษย์ที่ท่องอยู่ด้านนอกของเขาก็จะพลอยไม่ปลอดภัยไปด้วย
….
ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ตำหนักเอกภพ อริยชนมารวมตัวกัน
ผานซินเรียกรวมตัวเหล่าอริยะรอบข้าง เขากำลังคุยโม้ยกยอหานเจวี๋ยอยู่
“ลงมือจากมรรคาสวรรค์ โจมตีศัตรูที่เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ข้ามห้วงอวกาศไป เป็นไปได้จริงๆ น่ะหรือ”
หยางเช่ออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เขาก็เคยไปเยือนเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เช่นกัน ตอนนั้นเขายังเป็นครึ่งอริยะ เดินทางไปกลับใช้เวลากว่าสองหมื่นปี
เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่ามรรคาสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ห่างกันมากแค่ไหน
มรรคาสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก ผสานรวมนับพันล้านจักรวาลไว้ มีห้วงมิติมากมายนับไม่ถ้วน โลกมนุษย์ธรรมดาทุกแห่งล้วนสามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นมหาจักรวาล มีทางช้างเผือกถือกำเนิดขึ้นนับไม่ถ้วน เพียงหนึ่ง ความคิดของอริยะก็ครอบคลุมทั่วทั้งมรรคาสวรรค์ได้ ในมุมมองของสรรพสิ่งเรื่องเช่นนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
แต่ในฟ้าบุพกาล กว้างไกลไร้ขอบเขต ต่อให้เป็นอริยะก็สอดส่องได้เพียงพื้นที่เล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น
การกระทำของหานเจวี๋ยทำให้อริยะหน้าใหม่ยากจะเชื่อได้
ผานซินเหลือบมองหยางเช่อแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ย่อมเป็นไปได้ สหายเต๋าหานคืออริยะมหามรรค พวกเจ้าเป็นเพียงเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้า เหนือหัวยังมีอริยะเสรีกั้นอยู่ จะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของอริยะมหามรรคออกได้อย่างไร อีกอย่างสหายเต๋าหานก็เป็นตัวตนแข็งแกร่งไร้พ่ายที่สุดในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์ด้วย!”
หลี่ไท่กู่พยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น กล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าถึงขั้นที่รู้สึกว่าผู้อาวุโสหานเป็นตัวตนสุดแข็งแกร่งเช่นเดียวกับบรรพชนเต๋าในอดีตแล้ว ด้วยเหตุนี้มรรคาสวรรค์จึงไม่เผชิญการคุกคามจากศัตรูอีก ถึงขั้นที่มีโลกในฟ้าบุพกาลมากมายอยากมาเอาใจมรรคาสวรรค์ นี่มิใช่เพราะพลังอันกล้าแกร่งของผู้อาวุโสหานหรอกหรือ”
จั้งกูซิงลูบเคราทอดถอนใจ แต่ก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายในใจเท่านั้น
เด็กหนุ่มใจเสาะในปีนั้นไม่น่าเชื่อว่าอีกล้านปีให้หลังจะกลายเป็นตัวตนระดับสุดยอดที่ทำให้ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลยำเกรงได้ คิดๆ ไปแล้วเขาก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อนัก เกินจริงยิ่งกว่าเทวตำนานเรื่องใดๆ!
ยิ่งพูดคุยอริยชนก็ยิ่งตื่นตัวมากขึ้น
ในเวลานี้เอง จอมอริยะเสวียนตูปรากฏกายขึ้น เหล่าอริยะจึงแยกย้ายกันกลับไปนั่งประจำที่
จอมอริยะเสวียนตูกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเพิ่งทราบข่าวว่าวังสวรรค์และเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่เผชิญการโจมตีจากกลุ่มอิทธิพลมิ่งที่นำโดยปรมาจารย์ลัญจกรสรวง สือตู๋เต้าและหลี่เต้าคง โชคดีที่อริยะสวรรค์เกรียงไกรแห่งมรรคาสวรรค์ออกโรงช่วยเหลือ โจมตีจัดการปรมาจารย์ลัญจกรสรวงได้ในกระบวนท่าเดียว กองกำลังมิ่งจึงถอยร่นไป ศึกครั้งนี้ทำให้มรรคาสวรรค์สะท้านเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาล กลุ่มอิทธิพลมิ่งในละแวกมรรคาสวรรค์ทยอยถอยร่นออกไปแล้ว ไม่ได้มาสืบข่าวที่มรรคาสวรรค์อีก”
เมื่อเอ่ยมาเช่นนี้ เหล่าอริยชนต่างแตกตื่นฮือฮา
ผานซินภาคภูมิใจนัก ท่าทางสื่อว่าพวกเจ้ายังกล้าไม่เชื่อคำข้าอยู่หรือไม่
จอมอริยะเสวียนตูยิ้มออกมา เอ่ยต่อว่า “ศึกครานี้เป็นการสร้างชื่อเสียงให้มรรคาสวรรค์อีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหายเต๋าหานสร้างความเสียหายใหญ่โตให้แก่กลุ่มอิทธิพลมิ่ง ในอนาคตอีกหลายปีต่อไปนี้ชื่อเสียงของอริยะสวรรค์เกรียงไกรจะต้องแผ่ขยายเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาลแน่นอน มรรคาสวรรค์ก็พลอยได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย ข้าเรียกทุกท่านมารวมตัวในครั้งนี้ ด้วยคิดจะเผยแพร่เทวตำนานบางอย่างออกไปอีกครั้ง เผยแพร่ตำนานของอริยะสวรรค์เกรียงไกร เป้าหมายในครั้งนี้ไม่ใช่ภายในมรรคาสวรรค์ แต่เป็นฟ้าบุพกาล ถึงอย่างไรมรรคาสวรรค์และกลุ่มอิทธิพลมิ่งก็นับว่าก่อความแค้นอย่างไม่ตายไม่เลิกราขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงอีก พวกเราจะทำให้ตัวตนของอริยะสวรรค์เกรียงไกร กลายเป็นผู้พิทักษ์กฎแห่งฟ้าบุพกาล กลุ่มอิทธิพลมิ่งจะปราชัยอยู่ใต้เท้าของอริยะสวรรค์เกรียงไกร”
อริยะอาวุโสต่างพยักหน้ารับ อริยะหน้าใหม่กลับรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง
ที่แท้ตำนานเหล่านั้นเป็นเรื่องที่อริยะจงใจปล่อยออกไปอย่างนั้นหรือ
หยางเช่อรู้สึกว่าการปั้นหน้าของเหล่าอริยะช่างน่ารังเกียจนัก แต่ว่าเมื่อเขาได้เข้าร่วมกลุ่มแล้ว เขากลับชื่นมื่นยิ่ง
ความรู้สึกที่ได้ครอบงำความคิดของสรรพสิ่งช่างน่ารื่นรมย์เหลือเกิน!
จอมอริยะเสวียนตูเริ่มบรรยายถึงกิตติศัพท์ในการต่อสู้ต่างๆ ของอริยะสวรรค์เกรียงไกร เล่าอย่างมีสีสันยิ่ง ราวกับเป็นเรื่องจริงก็มิปาน
ฟางเหลียงและซูฉีมีสีหน้าแปลกพิกล หากไม่ใช่เพราะรู้จักนิสัยของหานเจวี๋ยดี พวกเขาก็คงนึกว่าเป็นความจริงเช่นกัน
ผ่านไปนานพักใหญ่
จอมอริยะเสวียนตูเล่าจบแล้ว เหล่าอริยชนล้วนจดจำไว้
“ที่เรียกทุกคนมาในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นักพรตเต๋าเสินเผาแจ้งต่อข้า บอกว่ามีโอกาสวาสนาอย่างหนึ่งที่อยากกำนัลให้แก่มรรคาสวรรค์ เป็นทะเลเพลิงฟ้าบุพกาลผืนหนึ่ง ทะเลเพลิงนี้มีความพิเศษ ผสานปราณแห่งโชคไว้ ใช้หลอมสร้างยอดสมบัติได้ หากได้ครอบครองเพลิงนี้ มรรคาสวรรค์จะดึงดูดผู้บำเพ็ญฟ้าบุพกาลมากมายให้เข้ามาเพื่อหลอมสร้างสมบัติวิเศษได้” จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยขึ้นช้าๆ
สวีตู้เต้าปรบมือพลางกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นเรื่องดี! แต่จะไว้ใจนักพรตเต๋าเสินเผาได้หรือ ไยเขาไม่เก็บโอกาสวาสนานี้ไว้เองเล่า”
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “นักพรตเต๋าเสินเผาไม่สามารถควบคุมโชคนี้โดยตรงได้ หาไม่จะถือเป็นการข้ามขั้น แต่หากให้มรรคาสวรรค์ครอบครอง ก็ต้องอำนวยประโยชน์ให้เขาด้วย นับว่าเป็นของเขาทางอ้อมเช่นกัน”
เหล่าอริยชนตกอยู่ในห้วงความคิด
เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยว่า “ตอบรับไปเถอะ ถึงแม้มรรคาสวรรค์จะยินดีรับสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลเข้ามา แต่สิ่งที่ได้รับมามีเพียงคนไร้สังกัดสำนัก หากอยากดึงดูดผู้ทรงพลังหรือบุตรแห่งสวรรค์เข้ามา จะต้องมีสิ่งที่ล่อใจพวกเขาได้ไม่ใช่แค่คุณสมบัติในการอยู่ในมรรคาสวรรค์”
อริยะรายอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังคงไม่ไว้ใจนักพรตเต๋าเสินเผาอยู่ดี ถึงอย่างไรนักพรตเต๋าเสินเผาก็เคยเป็นศัตรูมาก่อน
“เรื่องนี้ยกให้ข้าไปจัดการเถอะ ต่อให้นักพรตเต๋าเสินเผามีแผนการร้าย ข้าก็มีโอกาสเอาตัวรอดได้มากกว่าทุกท่าน!” ผานซินเอ่ยขึ้นมา
ช่างประจบเอาหน้าเก่งเสียจริง!
เหล่าอริยชนแอบบ่นในใจ แต่ก็ไม่กล้าแย่งชิงโอกาสนี้ เพราะอันตรายเกินไปจริงๆ
อริยะมรรคาสวรรค์เป็นอมตะแค่ในมรรคาสวรรค์เท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ควรออกจากมรรคาสวรรค์
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้”
เมื่อเห็นว่าเทพสูงสุดอู๋ฝ่าไม่ได้พูดอะไร จอมอริยะเสวียนตูก็สบายใจแล้ว
ในเมื่อล้วนมาจากสังกัดเดียวกัน ไหนเลยจะต้องมานั่งระแวงกันเองเล่า
แน่นอนว่าในส่วนนี้เขาไม่กล้าพูดออกไป
เนื่องจากเขาไม่ทราบแน่ชัดว่าที่แท้แล้วหานเจวี๋ยใช้วิธีการใดกันแน่ถึงทำให้ศัตรูยอมสยบเป็นทาส วิธีการนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หากเปิดเผยออกไป จะเป็นการล่วงเกินหานเจวี๋ยเข้า
จอมอริยะเสวียนตูปฏิบัติต่อหานเจวี๋ยอย่างระมัดระวังเสมอมา ดูเหมือนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่จอมอริยะเสวียนตูก็ไม่กล้าเผอเรอเลยสักนิด
………………………………………………………………