ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 803 กลืนกินเทพมารฟ้าบุพกาล
“รีบร้อนอันใด ตัวเขาก็เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่แล้ว คิดจะผสานรวมกับพลังมารของข้า ย่อมต้องใช้เวลา ข้ารับรู้ได้ว่ากลิ่นอายของเขากำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ด้อยไปกว่าอริยะเสรีเลย”
บรรพชนมารลู่หยวนเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ในดวงตาเขากลับเจือเสี้ยวของความคาดหวังไว้
อี๋เทียนเกาหัว เอ่ยถาม “เมื่อไรจะถึงตาของข้า”
บรรพชนมารลู่หยวนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แค่นเสียงกล่าว “เจ้ายังแข็งแกร่งทนทานไม่เท่าเขา ยากจะทนรับความเจ็บปวดในขั้นตอนได้”
“ประโยคนี้ของท่านข้าไม่อยากฟังแล้ว ดีร้ายอย่างไร้ข้าก็เป็นพี่ใหญ่ของเขา ล้วนต้องนำหน้าเขาในทุกๆ ด้าน!”
“ฮ่าๆ”
เมื่อเห็นว่าบรรพชนมารลู่หยวนไม่ยอมเชื่อ เขาได้แต่เบะปากอย่างไม่สบอารมณ์
ไม่ทราบว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน สถานะของเขาและหานทั่วพลิกสลับกัน เขากลับดูเหมือนน้องชายแทน
ผิวทะเลสาบยังคงมีระลอกคลื่น มองไม่เห็นสถานการณ์ก้นทะเลสาบ
ผ่านไปเป็นเวลานาน
บรรพชนมารจากไปแล้ว เลือนหายไปท่ามกลางหมอกหนา อี๋เทียนกลับนั่งสมาธิอยู่ริมทะเลสาบ เฝ้ารออย่างอดทน
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานมากเพียงใด
ตูม!
ผิวทะเลสาบระเบิดกระจายในทันใด อี๋เทียนลืมตาขึ้น เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา ปิดกั้นครรลองสายตาทั้งหมดของเขา
หานทั่ว!
มองเห็นเพียงว่าร่างเขาเปลือยเปล่า ร่างกายบึกบึนกำยำยิ่งกว่าบรรพชนจอมเวท เรือนผมขาวปลิวสะบัดอย่างบ้าคลั่ง มัดกล้ามบนร่างราวกับมังกรขดตัว ทุกความเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความรู้สึกงดงามเสมือนพลังพร้อมปะทุ
อี๋เทียนตกตะลึงกับร่างกายของเขา นิ่งทื่อเงียบงัน
ใบหน้าหล่อเหลาของหานทั่วก็ดูทรงอำนาจเผด็จการยิ่งขึ้น ม่านตาทั้งสองข้างเป็นสีเขียว
เขาพิจารณาร่างกายของตน ก่อนยิ้มออกมา
เขายกมือขึ้นและกำมือเข้าหากัน ห้วงมิติรอบข้างบิดเบี้ยวตาม ราวกับว่าแม้แต่ห้วงมิติก็ถูกเขาดึงเข้าสู่ฝ่ามือด้วย
อี๋เทียนลุกขึ้นพลางเอ่ยถาม “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยมมาก! รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน! พลังมารแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ ข้ารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”
อี๋เทียนเอ่ยถาม “ขั้นตอนนั้นเจ็บปวดหรือไม่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไร ทนรับไหวหรือไม่”
“ไร้สาระ พวกเราสองพี่น้องร่วมรุกร่วมถอย ต่อให้เจ้าหวาดกลัว ข้าก็จะบังคับเจ้าลงไป!”
หานทั่วแค่นเสียงเอ่ย คำพูดของเขาทำให้อี๋เทียนสบายใจยิ่งนัก
สิ่งที่อี๋เทียนกลัวที่สุดก็คือหานทั่วจะเริ่มเห็นใจเขา นั่นแปลว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองบรรลุถึงจุดที่ไม่สามารถไล่ตามกันทันแล้ว
“เช่นนั้นข้าลงไปตอนนี้เลยได้หรือไม่”
“เร็วเข้าเถิด ข้ายังรอที่จะได้ประลองกับเจ้าอยู่!”
“ตกลง!”
ตูม!
อี๋เทียนกระโจนลงไปในทะเลสาบโดยตรง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานทั่วขดสองขาเข้ามาเป็นท่าขัดสมาธิ นั่งสมาธิอยู่กลางอากาศ เริ่มฝึกบำเพ็ญ
….
วันเวลาผ่านไป ภายในแดนเซียนเกิดคลื่นลมถาโถม
ฉินหลิงและซย่าจื้อจุนปรากฏตัวต่อสายตาของสรรพสิ่งอีกครั้ง สำหรับผู้บำเพ็ญที่ตบะสูงกว่าระดับเทพขึ้นไป ระยะเวลาหลายแสนปีสั้นยิ่งนัก แต่สำหรับสรรพสิ่งแล้วหลายแสนปีคือยุคสมัยอันยาวนาน
ตำนานเหล่านั้นในชาติก่อนของคนทั้งสองมีฝุ่นจับอยู่ในสำนักนิกายดวงชะตาต่างๆ แล้ว ชื่อเสียงของทั้งสองในปัจจุบันนี้หลักๆ มาจากวีรกรรมที่พวกเขาทำไว้ ป่วนเมืองนรก บุกวังมังกร ตะลุยสามนิกายสำนักเต๋า อายุไม่ถึงล้านปีก็ไร้ผู้ต่อกรแล้ว
ประเด็นสำคัญที่สุดคือฉินหลิงประกาศต่อสาธารณชนว่าจะทวงถามความยุติธรรมจากสำนักพุทธ!
สำนักพุทธมีสิทธิ์อันใดมาพลั้งมือทำร้ายสิ่งมีชีวิตสามัญแล้วไม่จำเป็นต้องชดใช้!
เพียงกำจัดมารปีศาจก็สามารถลบล้างความผิดทุกอย่างได้หรือ
คำพูดของเขาก่อให้เกิดเสียงสะท้อนจากสรรพสิ่ง มรรคาสวรรค์ดูเหมือนจะสงบสุข แต่ความสงบสุขกลายเป็น ค้อนยักษ์ที่คอยกดทับสรรพสิ่งไว้ ทับจนสรรพสิ่งหายใจแทบไม่ออก
ผู้บำเพ็ญมากมายใช้ประโยชน์จากความสงบสุข ทำพฤติกรรมไร้ยางอาย ดูเหมือนว่าความตายของมนุษย์เพียงคนเดียวไม่สามารถสั่นคลอนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือชีวิตคนนับหมื่นได้
สำนักดวงชะตาสร้างแรงกดดันมหาศาลให้สรรพสิ่ง ความสงบสุขเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า ก็เพราะสำนักดวงชะตาร่วมมือกันจนก่อเป็นอำนาจอันแข็งแกร่ง ใช้วิธีการเด็ดขาดทรงพลังคู่ขวัญสรรพสิ่งให้ไม่กล้าก่อเรื่องทำลายความสงบสุข
เรื่องที่ฉินหลิงประสบมาไม่ใช่กรณีพิเศษเพียงหนึ่งเดียว เขาปลุกเร้าความเคียดแค้นในใจสรรพสิ่งให้ตื่นขึ้น
ต่อมาฉินหลิงพิสูจน์เซียนทองต้าหลัว นำกำลังสหายกลุ่มหนึ่งบุกไปยังสำนักพุทธ ท้าสู้กับเทพสวรรค์และพุทธองค์ น่าเสียดายที่ยังคงพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ หากมิใช่เพราะจั้งกูซิงประมุขวังเทพช่วยออกหน้า สำนักพุทธมีสิทธิ์อย่างชอบธรรมที่จะสังหารฉินหลิงทิ้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักพุทธจึงจัดการผนึกฉินหลิงไว้ใต้วัดเสียงอัสนี เป็นระยะเวลาหนึ่งแสนปี เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ
วังเทพเป็นฝ่ายผิด ทำได้เพียงยอมรับ
สรรพสิ่งสะเทือนใจ รู้สึกว่าความสงบสุขที่เกิดขึ้นจากกฎสวรรค์คงไม่อาจล้มล้างได้
ทว่าตลอดระยะเวลาที่ฉินหลิงถูกสะกดไว้ มีผู้บำเพ็ญแวะเวียนมาหาเขาอยู่ไม่ขาด เนื่องจากสำนักพุทธไม่ได้ส่งศิษย์มาคอยเฝ้าไว้ หลังจากเหล่าผู้ที่มาเยี่ยมเยือนได้พูดคุยกับฉินหลิง พบว่าเขายังคงไม่ยอมแพ้ ทั้งยังบอกว่าอีกหนึ่งแสนปีให้หลัง เขาจะท้าสู้กับสำนักพุทธอีก
ปณิธานของเขาเริ่มเผยแพร่ออกไป เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็ได้ถ่ายทอดแพร่กระจาย ชนรุ่นหลังนับไม่ถ้วนต่างได้รับความลำบากยากเข็ญ ก่อให้เกิดผู้คนมากมายที่มีปณิธานต้องการล้มล้างสำนักพุทธ
มหันตภัยร้ายแรงที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
….
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยิ้มออกมา รู้สึกสดชื่นแจ่มใส
เขาปิดด่านรวดเดียวยาวนานถึงแปดหมื่นปี!
สดชื่นเหลือเกิน!
ทันใดนั้นเขาพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมา
ช่วงเวลาที่ตัวตนระดับสูงสุดเหล่านั้นปิดด่านต้องยาวนานยิ่งกว่าแน่นอน หานเจวี๋ยฉวยโอกาสในช่วงที่พวกเขายังปิดด่านค่อยๆ ผงาดขึ้นมา นั่นก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างคือ ในช่วงที่หานเจวี๋ยกำลังปิดด่านอยู่ อาจจะมีบุตรแห่งสวรรค์ที่คุณสมบัติสะท้านฟ้าผงาดขึ้นมาในมรรคาสวรรค์เช่นกัน
ครั้งต่อไปที่ลืมตาขึ้นมา ฟ้าของมรรคาสวรรค์จะเปลี่ยนไปหรือไม่
แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้ร่างแยกที่คอยเปิดประตูให้หลี่เสวียนเอ้าจับตามองมรรคาสวรรค์ไว้ เช่นนี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว
หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะเริ่มสอดส่องมรรคาสวรรค์
ระยะนี้มรรคาสวรรค์มีอริยะมรรคาสวรรค์เพิ่มขึ้นมาอีกสองราย
แบ่งออกเป็นไท่ซู่เทียนและเทียนจ้าน
นับตั้งแต่เจ้าแม่หนี่ว์วาจากไป ไท่ซู่เทียนก็อยู่ในมรรคาสวรรค์อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ในที่สุดนางก็เลือกที่จะรับใช้มรรคาสวรรค์ เมื่อเวลาผ่านไปนับล้านปี ก็ได้รับการยอมรับจากเหล่าอริยะแล้ว
ส่วนเทียนจ้าน เป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าสวรรค์ ถือกำเนิดขึ้นยังไม่ถึงล้านปี ก็พิสูจน์ครึ่งอริยะได้ เป็นลูกศิษย์ที่จี้เซียนเสินให้ความสำคัญที่สุด
จี้เซียนเสินสนับสนุนศิษย์ของตนขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ ทำให้หานเจวี๋ยค่อนข้างประหลาดใจจริงๆ
ท่ามกลางเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้ มีเครือข่ายเส้นสายของหานเจวี๋ยอยู่มากมายเหลือเกิน เป็นไปไม่ได้ที่เหล่าอริยชนจะยอมมอบโอกาสให้จี้เซียนเสินเพียงเพราะเขาเป็นศิษย์ของหานเจวี๋ย คาดว่าในเรื่องนี้จี้เซียนเสินก็คงทุ่มกำลังเต็มที่เช่นกัน
จากการถือกำเนิดขึ้นของสองอริยะหน้าใหม่ทำให้เห็นว่า มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว
มองจากภาพรวม มรรคาสวรรค์ไม่ปรากฏปัญหาขึ้น ยังคงพัฒนาไปอย่างมั่นคง ภายในองค์กรก็ไม่ปรากฏปัจจัยที่สั่นคลอนความมั่นคง
หานเจวี๋ยถอนสายตากลับมา เริ่มตรวจดูจดหมาย
เมื่อไล่อ่านลงไปเรื่อยๆ มีจดหมายเพียงสองฉบับที่ดึงดูดความสนใจเขาได้
[หานทั่วบุตรชายของท่านกลืนกินเทพมารฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
[อี๋เทียนสหายของท่านกลืนกินเทพมารฟ้าบุพกาล พลังมรรคเพิ่มมหาศาลฉับพลัน]
กลืนกินเทพมารฟ้าบุพกาลอย่างนั้นหรือ
เล่นอะไรอยู่กันแน่
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว จดหมายสองฉบับนี้เพิ่งผ่านเวลามาได้ไม่นาน
ตอนนี้เทพมารฟ้าบุพกาลรวมกลุ่มกันแล้ว คาดว่าเทพมารปฐมภพต้องมาหาเรื่องหานเจวี๋ยแน่
หานเจวี๋ยว่าตบะของเจ้าเด็กแสบสองคนนี้ ล้วนเพิ่มพรวดขึ้นมาจนถึงระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าระยะสมบูรณ์แล้ว
เช่นนี้ก็เร็วเกินไปแล้ว!
จำเป็นต้องสอบถามดูหรือไม่
หานเจวี๋ยลังเล
ถามไปก็ดูไม่ดี แต่ก็คงไม่อาจปล่อยให้บุตรชายเลยเถิดจนเสี่ยงกับความเป็นความตายได้กระมัง ข้าควรไปห้ามเขาใช่หรือไม่
[เทพมารปฐมภพต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
เมื่อเห็นข้อความที่จู่ๆ ก็เด้งขึ้นมาเบื้องหน้า หานเจวี๋ยลอบถอนหายใจกับตัวเอง
มาจริงๆ ด้วย!
เขาคิดไปคิดมา ตัดสินใจแกล้งตายไปก่อน
เทพมารปฐมภพเป็นตัวตนระดับยอดมหามรรคระยะปลาย ตอนนี้หานเจวี๋ยยังสู้ไม่ได้
หากว่าคนผู้นี้ลงมือกับพวกหานทั่ว เช่นนั้นหานเจวี๋ยก็ทำได้เพียงนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา แล้วถ่ายเทความสนใจไปให้เทพมารปฐมภพ
………………………………………………………………