ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 817 มหารังสรรค์อนธการ
บทที่ 817 มหารังสรรค์อนธการ
วงล้อสีม่วงร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว พันรัดเทียนจ้านไว้แน่น เทียนจ้านพยายามดิ้นรน พบว่าไม่อาจดิ้นหลุดได้
เขาก็นับว่าเป็นคนใจเด็ดคนหนึ่ง ทำลายกายเนื้อทิ้งโดยตรง วิญญาณอริยะลอยมาโผล่ด้านหลังเจียงเจวี๋ยซื่อ
“ฮึ่ม!”
เทียนจ้านแค่นเสียง ซัดฝ่ามือออกไป จักรวาลแห่งหนึ่งผสานอยู่กลางฝ่ามือ แต้มด้วยดวงดาวมากมาย ส่องสกาวชวนเคลิบเคลิ้ม
ฝ่ามือฟาดใส่ร่างเจียงเจวี๋ยซื่อ สะเทือนอาภรณ์ของเขาจนไหวสะท้าน
วินาทีต่อมา เทียนจ้านพลันหน้าเปลี่ยนสี เขาตื่นตระหนกเมื่อพบว่าพลังเวทของตนถูกดูดไป
เกิดอะไรขึ้น
เจียงเจวี๋ยซื่อหันกลับมา ซัดฝ่ามือออกไป
ในมุมมองของเทียนจ้าน ฝ่ามือนี้เชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับช้ายิ่งกว่า เสมือนร่างกายไม่ใช่ของเขา เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
เขาได้แต่เบิกตามองฝ่ามือของเจียงเจวี๋ยซื่อฟาดใส่ร่างตน ในความเลื่อนลอยนั้น เขามองเห็นจักรวาลแห่งหนึ่งผสานอยู่ในฝ่ามือของเจียงเจวี๋ยซื่อ
ตูม!
เทียนจ้านถูกพลังเวทสีม่วงน่าหวาดผวาเข้าท่วมทับ มอดไหม้ไปในชั่วพริบตา หลังจากพลังเวทสลายไปเหลือเพียงเศษวิญญาณเสี้ยวหนึ่งล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า
เจียงเจวี๋ยซื่อไม่ได้ลงมือสังหาร เขาหันหลังมองกลับไปทางมรรคาสวรรค์
เหล่าอริยะล้วนตกตะลึง จบลงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ
“ฮึ่ม! ตาข้าแล้ว!”
หยางเช่อเหาะออกมาจากมรรคาสวรรค์ ไหนเลยจะยอมปล่อยให้คนอื่นมาทำลายขวัญกำลังใจได้
ทว่าไม่ถึงสามลมหายใจ หยางเช่อก็พ่ายแพ้
อริยะรุ่นใหม่อย่างสวีตู้เต้า หลี่ไท่กู่ หานอวี้ ไท่ซู่เทียนและบรรพชนพุทธเบิกนภาต่างเวียนกันออกไป ล้วนพ่ายแพ้กลับมา หลี่ไท่กู่ยืนหยัดอยู่ได้นานที่สุด แต่ไม่ถึงสิบลมหายใจก็พ่ายแพ้แล้ว
ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด
เจียงเจวี๋ยซื่อสามารถสะท้อนพลังวิเศษและพลังเวททุกชนิดกลับไปได้ อีกทั้งไม่ใช่แค่สะท้อนกลับไปแบบธรรมดาทั่วไปด้วย ในระหว่างที่เขาลงมือ พลังแห่งมหามรรคของห้วงเวลาและห้วงมิติรอบข้างจะขยับผันผวน
มีฝีมืออยู่บ้าง
ไม่แปลกเลยที่จะดุร้ายเช่นนี้!
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงหาจอมอริยะเสวียนตู
จอมอริยะเสวียนตูมีสีหน้าแปลกพิกล เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเถอะ ปล่อยเขาไป”
อริยะคนอื่นๆ ตื่นตะลึง เทพสูงสุดอู๋ฝ่ากำลังจะลงมือ พอได้ยินวาจานี้ ก็อดถลึงตาไม่ได้ “จะให้ปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือ แล้วความน่าเกรงขามของมรรคาสวรรค์จะเอาไปไว้ไหน”
จอมอริยะเสวียนตูถ่ายทอดเสียงหาเทพสูงสุดอู๋ฝ่า เทพสูงสุดอู๋ฝ่าพลันเผยรอยยิ้มกล่าวขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็ช่างเถิด จะถือสาหาความกับชนรุ่นหลังไปไย”
อริยะที่เหลือมองหน้ากันเหลอหลา สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเทพสูงสุดอู๋ฝ่าถึงเปลี่ยนสีหน้าเร็วเช่นนี้
เจียงเจวี๋ยซื่อประสานมือคำนับไปทางมรรคาสวรรค์ จากนั้นหันหลังจากไป เลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
มีครึ่งอริยะและเซียนทองต้าหลัวมากมายในมรรคาสวรรค์ที่เห็นฉากนี้ นามของเจียงเจวี๋ยซื่อสลักลึกลงในใจของพวกเขา
เหตุผลที่หานเจวี๋ยให้จอมอริยะเสวียนตูหยุดมือ เพราะอยากให้เจียงเจวี๋ยซื่อออกไปประสบความทุกข์ยากด้านนอกบ้าง หากว่าเทพสูงสุดอู๋ฝ่าและจอมอริยะเสวียนตูลงมือ เช่นนั้นคงไม่งาม ทั้งจะทำให้เจียงเจวี๋ยซื่อแตกหักกับมรรคาสวรรค์ได้ง่ายๆ
“เด็กน้อยที่ยอดเยี่ยม ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะสร้างชื่อเสียงอย่างไรขึ้นมา”
หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ในช่วงเวลาฝึกบำเพ็ญอันน่าเบื่อหน่ายมีเรื่องสนุกและน่าคาดหวังเพิ่มเข้ามาอีกอย่างแล้ว
เขาหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ
เรื่องของเจียงเจวี๋ยซื่อถูกอริยะปกปิดไว้ หลายพันปีต่อมา สรรพสิ่งก็ลืมเลือนเรื่องนี้ไป
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
สามพันปีต่อมา
[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสองล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที สร้างชื่อเทพมารอนธการให้เลื่องลือ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน องครักษ์ระดับมหามรรคหนึ่งราย]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น]
ชิ้นส่วนอนธการ!
ในที่สุดก็มีของใหม่ออกมาแล้ว!
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สอง
[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น]
[ชิ้นส่วนอนธการ: เมื่อรวบรวมชิ้นส่วนอนธการได้ครบเก้าชิ้น จะได้รับมหารังสรรค์อนธการหนึ่งครั้ง]
หานเจวี๋ยแอบสงสัยในใจ สิ่งใดคือมหารังสรรค์อนธการ
[มหารังสรรค์อนธการ: สรรค์สร้างวิชายุทธ์ได้ บุกเบิกฟ้าดินได้ สร้างเผ่าพันธุ์ได้ สรรค์สร้างได้ทุกสิ่ง]
สร้างได้ทุกสิ่ง!
ฟังดูดียิ่ง
‘ข้าสามารถใช้มหารังสรรค์อนธการสร้างองครักษ์ระดับเทพผู้สร้างได้หรือไม่’
[ไม่ได้ มหารังสรรค์อนธการสร้างได้เพียงตัวตนที่ดำรงอยู่ ตัวตนทุกอย่างที่ถือกำเนิดขึ้นล้วนจะพัฒนาไปช้าๆ ไม่สูงไปกว่าระดับของท่าน]
หานเจวี๋ยเบะปาก แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไรเล่า
‘เช่นนั้นเผ่าพันธุ์ที่ข้าสร้างขึ้นจะเป็นเพียงปัจเจกบุคคล หรือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีจำนวนมหาศาล’
[ปัจเจกบุคคล แต่เป็นปัจเจกบุคคลที่สืบทายาทขยายเผ่าพันธุ์ได้]
หานเจวี๋ยล้มเลิกความคิดที่จะใช้สิ่งนี้สร้างเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนขึ้น
ช้าก่อน!
สร้างได้ทุกอย่างเช่นนั้นหรือ!
‘ข้าสามารถใช้มหารังสรรค์อนธการยกระดับสายเลือดของข้าได้หรือไม่’
ขอเพียงเขาพัฒนาไปเหนือกว่าเทพมารอนธการ บุตรชายของเขาก็ถือกำเนิดออกมาได้!
[ได้]
เมื่อเห็นคำนี้ ดวงตาหานเจวี๋ยพลันเปล่งประกายทันที
มหารังสรรค์อนธการอันยอดเยี่ยม!
เลิศล้ำโดยแท้!
แต่พอลองคำนวณดูอย่างละเอียด ต่อให้ได้ชิ้นส่วนอนธการทุกหนึ่งล้านปี ก็ต้องคอยไปจนอายุถึงสิบล้านปี
หานเจวี๋ยสงบใจลง จากนั้นก็นำศิลาก่อวิญญาณออกมาผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง
หลังจากผสานรวมเสร็จ เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ
เมื่อเทียบกับมหารังสรรค์อนธการแล้ว ฝ่าทะลวงให้ถึงระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า!
ต้องเร่งความเร็วแล้ว!
….
ณ โลกพุทธะ แสงสายัณห์ดั่งหมอกสีทอง ปกคลุมทั่วนภา วัดวาอารามหลายหลังลอยอยู่เหนือยอดเมฆ
ภายในโถงตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เหล่าพุทธองค์มาชุมนุมกัน
ฉู่ซื่อเหรินนั่งสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว ร่างกายสูงใหญ่นับล้านจั้งดูยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเหล่าพุทธองค์ล้วนดูเล็กจ้อย
ข้างกายฉู่ซื่อเหรินมีพุทธองค์รูปหนึ่งนั่งอยู่ ความสูงพอๆ กับเขา
พุทธองค์รูปนี้มีนามว่าพุทธสัจจะยุทธ เป็นอริยะเสรี หลังจากเข้าร่วมกับโลกพุทธะจึงได้รับฉายาพุทธ
ฉู่ซื่อเหรินเปิดปากถาม “ข่งเซวี่ยผู้นั้นยังไม่จากไปจริงๆ น่ะหรือ”
อรหันต์รูปหนึ่งที่อยู่ในห้องโถงกล่าวว่า “เขาบอกว่าจะท้าสู้กับพุทธสัจจะยุทธให้ได้ มิเช่นนั้นจะไม่ยอมไปขอรับ”
เหล่าพุทธองค์กระซิบกระซาบพูดคุย
พุทธสัจจะยุทธลืมตาขึ้น สีหน้าเรียบเฉย เอ่ยขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องสนใจเขา เขาไม่ได้บุกเข้ามา ต้องมีข้อพะวงอยู่แน่นอน”
ฉู่ซื่อเหรินเหลือบมองเขา เอ่ยถามไป “ข้อพะวงใด”
“ข้า”
“เขากลัวเจ้าหรือ เช่นนั้นเหตุใดถึงมาท้าสู้กับเจ้า”
“เพราะไม่ยอมแพ้”
พุทธสัจจะยุทธเอ่ยอย่างสงบนิ่งยิ่ง ราวกับข่งเซวี่ยที่อยู่ด้านนอกไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย
ในเวลานี้ เสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา
“อริยะเจินอู่ เจ้าช่างคุยโวเสียจริง ตอนนั้นที่มรรคาสวรรค์ เจ้าพ่ายแพ้ข้าไม่ใช่หรือ”
เป็นจอมเทพข่งเซวี่ย!
“ตอนนั้นเจ้าบอกว่าจะเข้าร่วมวังสวรรค์ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงเปลี่ยนใจเล่า เจ้าช่างหาที่พึ่งพิงไปทั่วเสียจริง!”
วาจาของจอมเทพข่งเซวี่ยเต็มไปด้วยเจตนาถากถาง
เหล่าพุทธองค์เงียบงัน ไม่กล้าสอดปาก
ฉู่ซื่อเหรินสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้ถูกจอมเทพข่งเซวี่ยยั่วโทสะ
พุทธสัจจะยุทธเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้แพ้ แต่ในเมื่อข้าทำลายแสงเทพเบญจธาตุของเจ้าได้ หากต้องการเอาชนะเจ้า นั่นยังจะเป็นเรื่องยากอีกหรือ”
ตูม!
ประตูใหญ่ของห้องโถงถูกแสงเทพห้าสีสายหนึ่งโจมตีทำลาย จอมเทพข่งเซวี่ยเดินเข้ามาท่ามกลางแสงสายัณห์
เขาจ้องมองพุทธสัจจะยุทธพลางเอ่ยเยาะเย้ย “นี่ข้าก็เข้ามาแล้วมิใช่หรือ เจ้าบอกว่าข้าพะวงเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ”
พุทธสัจจะยุทธกล่าวว่า “จอมเทพ เจ้าจะเป็นศัตรูให้ได้เลยหรือ”
จอมเทพข่งเซวี่ยเอ่ยด้วยความผยอง “ข้ามีเจ้าแดนต้องห้ามอันธการหนุนหลังอยู่ เจ้าไม่ยอมอย่างนั้นหรือ นับจากวันนี้ โลกพุทธะจะถูกครอบครองโดยเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หากผู้ใดไม่ยินยอม ต้องตาย!”
“อริยะเจินอู่ ไสหัวออกมาซะ มาสู้กับข้าด้านนอก เลี่ยงไม่ให้เป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในโลกพุทธะของเจ้า!
“หากมิใช่เพราะโลกพุทธะของเจ้าสร้างคุณงามความดีไปทั่ว ข้าคงฝ่าเข้ามานานแล้ว คิดว่าข้ากริ่งเกรงเจ้าจริงๆ น่ะหรือ น่าขัน!”
“แม้แต่อริยะมหามรรคยังไม่อยู่ในสายตาข้าเลย!”
………………………………………………………………