ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 848 เหยียบย่ำทำลายเส้นทางสวรรค์ เจตนาสังหารของหานเจวี๋ย
- Home
- ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
- บทที่ 848 เหยียบย่ำทำลายเส้นทางสวรรค์ เจตนาสังหารของหานเจวี๋ย
บทที่ 848 เหยียบย่ำทำลายเส้นทางสวรรค์ เจตนาสังหารของหานเจวี๋ย
เมื่อได้ยินคำสั่งของหานเจวี๋ย จอมอริยะเสวียนตูปฏิบัติตามทันที
ไม่นานนัก เหล่าอริยะทยอยมาถึง อริยะทั้งหมดมากันพร้อมหน้า ไม่ตกหล่นไปเลยสักคน
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เหล่าอริยะก็ไม่กล้าออกจากมรรคาสวรรค์เช่นกัน กลัวจะบังเอิญพบขุนพลศักดิ์สิทธิ์เข้า ยิ่งไม่อาจสงบใจฝึกบำเพ็ญได้ จิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข
เหล่าอริยะพากันนั่งลง สายตามองไปที่ร่างหานเจวี๋ย ความไม่สบายใจในใจของพวกเขาพลันเลือนสลายไป
หานเจวี๋ยยังอยู่ ยังคงมีความหวัง!
พวกเขาเชื่อว่าหานเจวี๋ยทราบถึงจุดจบของเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลแล้ว แต่หานเจวี๋ยยังคงกล้านั่งแท่นประจำการอยู่ในมรรคาสวรรค์ นั่นก็แปลว่าหานเจวี๋ยมีความมั่นใจ
หานเจวี๋ยหลับตาผ่อนคลายจิตใจ ไม่ได้เอ่ยอันใด
บรรยากาศกดดัน ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดปากพูด
จอมอริยะเสวียนตูเองก็เป็นเช่นนี้
มหาอริยะสวีหุนกวาดตามองอริยะทั้งหมดในตำหนัก ลอบดูแคลนอยู่ในใจ
พวกเจ้าจะประหม่ากันไปไย คนที่ต้องสู้ไม่ใช่พวกเจ้า!
อริยะเบิกฟ้าและอริยะเสรีกลุ่มหนึ่ง ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยซ้ำ!
แค่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ถลึงตาใส่คราหนึ่ง พวกเจ้าไม่สลายเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไปเลยหรือ
“อย่าได้ประหม่าไป พวกเจ้าอยากคุยอะไรก็คุยไปเถิด พวกเรามาอยู่ที่นี่เพื่อรอการมาถึงของขุนพลศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น”
เสียงของหานเจวี๋ยดังขึ้น เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าอริยะพลันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
พวกหลงเฮ่า เต้าจื้อจุนบรรดาศิษย์จากสำนักซ่อนเร้นผ่อนคลายที่สุด เริ่มพูดคุยขึ้นมาก่อน บรรยากาศมีชีวิตชีวาขึ้นมา
“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์อันใดกัน มาเท่าไรก็สังหารให้หมดเท่านั้น!”
“ถูกต้อง เทพมารฟ้าบุพกาลเหล่านั้นไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ แพ้เร็วเกินไปแล้ว”
“ต้องดูอย่างท่านอาจารย์ของพวกเราสิ!”
“หาได้ตื่นตระหนกไม่ ก่อนหน้านี้ข้ายังเทศนาธรรมอยู่เลย”
“เขตปฐมภพอยู่ห่างไกลจากมรรคาสวรรค์ยิ่งนัก ขุนพลศักดิ์สิทธิ์น่าจะมาไม่ถึงภายในระยะเวลาสั้นๆ กระมัง”
“ไม่เลย ใกล้จะถึงแล้ว เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เล่นตามกติกา ได้รับคำสั่งมาชัดๆ มุ่งตรงมายังมรรคาสวรรค์ ดูคล้ายจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว ลาดตระเวนฟ้าบุพกาลเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ประเด็นหลักยังคงเป็นต้องการกำจัดเทพมารฟ้าบุพกาลและมรรคาสวรรค์”
เหล่าอริยะพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกัน บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมา
หานเจวี๋ยเฝ้ารออย่างอดทน
[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
ทันใดนั้นแจ้งเตือนนี้ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของหานเจวี๋ย ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
ถ่ายทอดเสียงมาตรงๆ ไม่ได้หรือไร
อยู่แค่ด้านข้างมรรคาสวรรค์ชัดๆ ไม่ได้ไกลเลย!
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยนยังอยู่ในวังเยือนอริยะ
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงเลือกยอมรับคำขอเข้าฝัน
แดนความฝันคือวังเยือนอริยะ
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนมีสีหน้าแปลกพิกล เอ่ยขึ้นว่า “สหายเต๋าหาน ขุนพลศักดิ์สิทธิ์กำลังจะมาแล้ว”
หานเจวี๋ยตอบสั้นๆ “ข้าทราบแล้ว”
“เจ้า…”
“เจ้ากลัวหรือ”
“ข้าไม่ได้กลัว! ไม่มีทางเด็ดขาด!”
“ขนาดสหายเต๋าหงหยวนยังไม่มาเข้าฝันข้าเลย”
“ข้าเพียงมาเตือนเจ้าเท่านั้น ข้าจะกลัวได้อย่างไร”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนแค่นเสียง พูดจบก็สลายแดนความฝัน
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น รู้สึกสนุกอยู่บ้างดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ไม่คิดเลยว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยนจะมีมุมนี้ด้วย
แต่พอลองคิดๆ ดู ก็เป็นเรื่องปกติ ขนาดผานกู่ยังสิ้นชีพแล้ว อริยะเทพอวี๋เจี้ยนจะไม่กลัวได้หรือ
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ
ต่อให้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์เร่งความเร็วแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงภายในระยะเวลาไม่กี่ปี ไม่นานนักตำหนักเอกภพก็ตกอยู่ในความเงียบ เหล่าอริยะต่างฝึกบำเพ็ญกันไป
….
แดนต้องห้ามอันธการ แสงเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากส่วนลึกของความมืดมิด ลำแสงลากยาวไปด้วยความเร็วสูง ดูราวกับดาวหางเส้นหนึ่งที่พุ่งเข้ามา
จนกระทั่งเข้ามาใกล้ถึงเห็นว่า ภายในลำแสงมีเงาร่างน่าหวาดหวั่นสูงใหญ่นับพันนับหมื่นจั้งมากมายหลายร่าง แต่ละร่างทรงพลังอหังการ เรียงแถวเคลื่อนไปด้านหน้า ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้!
ขุนพลศักดิ์สิทธิ์!
ทิศทางที่หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์มุ่งหน้าไปคือเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลพอดี
เส้นทางสวรรค์ตัดผ่านห้วงอากาศ มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เวลานี้ในเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลมีผู้บำเพ็ญหลายคนกำลังใช้เส้นทางอยู่
เมื่อพวกเขามองเห็นแสงเจิดจ้าพุ่งมาจากที่ไกลๆ ก็หรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ
“นั่นคือสิ่งใด”
สตรีนางหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยถาม
นักพรตเต๋าชุดเขียวคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนขึ้นมา “แย่แล้ว! เป็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์! มีคนอยู่ในลำแสง! หนีเร็ว! กลับไปที่มรรคาสวรรค์!”
พอสิ้นเสียง เขาพุ่งตัวหลบหนีไปเป็นคนแรก ทะยานไปตามเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล
ผู้บำเพ็ญที่เหลือตอบสนองทันที รีบไล่ตามไป
พวกเขาไม่กล้าออกจากเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ถึงอย่างไรก็เคยได้ยินข่าวลือที่ว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์ต้องการกวาดล้างสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ต่อให้พวกเขาเร่งความเร็วแค่ไหนก็ไม่เร็วไปกว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์
หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์เดินไม่ถึงสิบก้าวก็มาถึงเบื้องหน้าเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลแล้ว เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลที่กว้างนับหมื่นจั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้วเปรียบเสมือนด้ายเส้นหนึ่ง
หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ย่างเท้าลงบนเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลอย่างพร้อมเพรียง เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลพังทลายลงในทันใด ส่งผลให้เส้นทางสวรรค์ทั้งสายที่เชื่อมต่อกันพังทลายตาม สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนเส้นทางสวรรค์มอดม้วยลง ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลจากขุนพลศักดิ์สิทธิ์มากแค่ไหนก็ตาม
ถึงขณะที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ยังไม่ทันเห็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ ก็สิ้นชีพลงอย่างกะทันหันด้วยความสับสนงงงวย
ณ ชายขอบมรรคาสวรรค์ เนื่องจากการพังถล่มของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเมืองฟ้าบุพกาลที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนตื่นตระหนก แม้แต่เหล่าอริยะก็ตกตะลึงเช่นกัน
“ไอ้ชาติสุนัข!”
ผานซินกัดฟันกรอด ทำนายพบแล้วว่าเป็นผู้ใดที่ทำลายเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล
ถึงแม้จะสบถด่า แต่เขาก็ไม่ได้ลุกออกไป
เขารู้ตัวดี เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์
การพังทลายลงของเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ทำให้ตบะของเขาสั่นคลอนไม่มั่นคงไปด้วย
หานเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น
แววตาของเขาเย็นชา ปรากฏเจตนาสังหาร
จะมาแล้ว!
ต้องบอกเลยว่า การกระทำนี้ของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่ง
ไม่ทราบว่าเป็นความบังเอิญ หรือเกิดจากความตั้งใจ!
เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลที่มรรคาสวรรค์สร้างขึ้นมากว่าสองล้านปีล่มสลายไปเช่นนี้ ซ้ำยังพังทลายลงเพราะถูกเหยียบย่ำด้วย!
อริยะที่เหลือพากันนับนิ้วทำนาย หลังจากทราบกระจ่างแล้ว ต่างก็โมโหขึ้นมา
“โอหังเกินไปแล้ว!”
โจวฝานสบถด้วยความโมโห เช่นนี้ใช่การเหยียบย่ำเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลเสียที่ไหน เป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมรรคาสวรรค์ต่างหาก
อริยะที่เหลือก็พากันเปิดปากด่าทอ
หานเจวี๋ยทอดสายตามองไปยังฟ้าบุพกาล
ความเร็วของขุนพลศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วนัก!
ราวกับได้รับแรงกระตุ้นบางอย่าง ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนตัวไปด้านหน้า ทุกย่างก้าวสั่นสะเทือนแดนต้องห้ามอันธการ ห้วงมิติมืดมิดบิดเบี้ยว ราวกับพร้อมจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว
[ผานกู่ต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ตอนนี้หรือ
เขาเลือกยอมรับทันที อยากเห็นว่าผานกู่จะบอกอะไร
แดนความฝันคือบนเขาเทพปู้โจว
ผานกู่จ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยขึ้นว่า “ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว มรรคาสวรรค์ขึ้นอยู่กับเจ้า ข้าจะให้การสนับสนุนเจ้า จะช่วยเจ้าในช่วงสำคัญ ต้องยืนหยัดอย่างสุดกำลังปกป้องมรรคาสวรรค์ให้ได้”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “หากตัวตนที่อยู่เบื้องหลังขุนพลศักดิ์สิทธิ์บุกเข้ามาเล่า”
“เจ้าเพียงต้องจัดการขุนพลศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ ผ่านพ้นเคราะห์นี้ไปให้ได้ก่อน!”
“ตกลง!”
หานเจวี๋ยสลายแดนความฝัน ไม่พูดไร้สาระอีก เลี่ยงไม่ให้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ฉวยโอกาสที่เขาใจลอยย่างเท้าเข้ามาทำลายมรรคาสวรรค์
เขาลืมตาขึ้น พบว่าอริยะทั้งหมดล้วนจ้องมองเขาอยู่
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนและหงหยวนปรากฏตัวขึ้นนอกมรรคาสวรรค์แล้ว ยืนเคียงข้างกันมองเข้าไปในส่วนลึกของความมืดมิด
“สหายเต๋าหงหยวนกลัวหรือไม่” อริยะเทพอวี๋เจี้ยนถามด้วยรอยยิ้ม แสร้งทำเป็นผ่อนคลาย
หงหยวนตอบว่า “กลัวอันใดเล่า อย่างมากก็แค่ตาย”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพยักหน้ารับ ในใจรู้สึกแปลกยิ่ง
ยายเฒ่าผู้นี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความกลัวตายไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงตัดสินใจเช่นนี้เล่า
เขาลอบรู้สึกแปลกใจ ตกลงหานเจวี๋ยใช้เล่ห์กลใดกับหงหยวนกันแน่
ในเวลานี้เอง เสียงของหานเจวี๋ยแว่วขึ้นในหูของทั้งสอง
“อีกเดี๋ยวพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือก่อน คอยสังเกตการณ์ก็พอ”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนตะลึงงัน
คอยสังเกตการณ์อย่างนั้นหรือ
หมายความว่าอย่างไร
เพื่อรับมือกับศึกนี้ เขาเตรียมตัวมาหลายแสนปีแล้ว!
ผลคือไม่ต้องการให้เขาออกโรงเช่นนั้นหรือ
ถึงแม้จะรู้สึกสับสน แต่ในใจของอริยะเทพอวี๋เจี้ยนกลับรู้สึกโล่งอก
เขาไม่มีความมั่นใจจริงๆ
ผานกู่ที่เขาหวั่นเกรงก็ยังถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์สังหารได้ แล้วเขาจะไม่กลัวได้อย่างไร
………………………………………………………………