ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 863 เทพมหาทัณฑ์ แดนลึกล้ำไร้วิถี
บทที่ 863 เทพมหาทัณฑ์ แดนลึกล้ำไร้วิถี
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านใช้เจตจำนงฟื้นฟูกายเนื้อ]
หานเจวี๋ยมองจดหมายตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะตกใจกับความถึกทนของบรรพชนเทพปฐมกาล
คนผู้นี้ค่อนข้างมีฝีมือ!
ต้านทานพลังคำสาปแช่งของเขาพร้อมกับต่อสู้กับผู้อื่นไปด้วย
เพียงแต่ครั้งนี้ บรรพชนเทพปฐมกาลไม่ได้ฟื้นฟูตบะ
สาปแช่งต่อไป!
ฉวยโอกาสที่เขาลำบาก เอาชีวิตเขา!
โยนหินซ้ำเติมศัตรูเป็นวิธีล้างแค้นที่ดีที่สุด!
หนึ่งหมื่นหกพันล้านล้านปี!
หนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้านล้านปี!
หนึ่งหมื่นแปดพันล้านล้านปี!
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านวิญญาณได้รับบาดเจ็บสาหัส มรรคจิตแตกสลาย เนื่องจากคำสาบแช่งของท่าน]
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ร่างสิ้นวิญญาณแตกดับ]
หานเจวี๋ยผงะไป
เช่นนี้คือตายแล้วหรือ
แต่พลังสาปแช่งของเขายังใช้งานได้
เขาเรียกจอหน้าต่างค่าสถานะออกมาทันที ค้นหารูปประจำตัวของบรรพชนเทพปฐมกาล
รูปประจำตัวยังอยู่ เช่นนั้นก็แปลว่ายังไม่ดับสูญ!
ในเวลานี้เอง หานเจวี๋ยพลันสัมผัสได้ถึงกระแสความโศกศัลย์ประการหนึ่ง
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์รวมถึงสรรพสิ่งฟ้าบุพกาลต่างก็เป็นเช่นนี้
หานเจวี๋ยเงยหน้ามองขึ้นไป มหามรรคสามพันวิถีสั่นคลอน พิรุณทองโปรยปรายลงมายังดินแดนต่างๆ เกิดปรากฏการณ์บนท้องนภา
“บรรพชนเทพปฐมกาลผู้นำดวงจิตมหามรรคถูกตัวข้าเทพมหาทัณฑ์สังหารแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป ตัวข้าเทพมหาทัณฑ์จะขึ้นเป็นผู้นำดวงจิตมหามรรค ควบคุมกฎระเบียบในฟ้าบุพกาล! ดวงจิตมหามรรคทั้งหมดจงเร่งมาเข้าพบ!”
น้ำเสียงเผด็จการสายหนึ่งดังก้องไปทั่วฟ้าบุพกาล มีเพียงผู้ที่บรรลุระดับมหามรรคถึงจะได้ยิน กล่าวอีกนัยคือ อริยะเสรีก็ไม่ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน
เทพมหาทัณฑ์อย่างนั้นหรือ
นั่นคือผู้ใด
หานเจวี๋ยฉงนอยู่ในใจ ไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อนเลย
เขาไม่ได้ผ่อนคลาย ยังคงสาปแช่งต่อ!
ในเมื่อบรรพชนเทพปฐมกาลอยากแกล้งตาย เช่นนั้นเขาจะช่วยสงเคราะห์บรรพชนเทพปฐมกาล สาปให้เขาตายอย่างสมบูรณ์!
หนึ่งหมื่นเก้าพันล้านล้านปี!
สองหมื่นล้านล้านปี!
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านคุณสมบัติเทพดับสลาย ดวงชะตาอมตะถูกทำลาย เนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน]
[บรรพชนเทพปฐมกาลศัตรูคู่อาฆาตของท่านได้รับการปกป้องจากระเบียบสูงสุด วิญญาณต้นกำเนิดถูกผนึกไว้]
พลังคำสาปแช่งของหานเจวี๋ยพลันเลื่อนลอยว่างเปล่า
เขามีความรู้สึกเหมือนเดินถนนอยู่ แต่จู่ๆ ก็เหยียบย่างบนความว่างเปล่า ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
เขาเก็บหนังสือแห่งความโชคร้าย พรูลมหายใจออกมา
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยบรรพชนเทพปฐมกาลก็ไม่สามารถออกมาเพ่นพ่านได้ชั่วระยะหนึ่ง คาดว่าเขาคงเคียดแค้นชิงชังในตัวเทพมหาทัณฑ์มากกว่า
หานเจวี๋ยยิ้มด้วยความพอใจ
เขาถามในใจ ‘ข้าต้องการทราบข้อมูลของเทพมหาทัณฑ์’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เทพมหาทัณฑ์: ยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น สิ่งมีชีวิตแรกฟ้าบุพกาล ผู้ครอบครองมหามรรค ในยุคแรกเริ่มบุกเบิกฟ้าบุพกาล นอกจากเทพมารฟ้าบุพกาลที่เป็นตัวแทนของมหามรรคสามพันวิถีแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตแรกฟ้าบุพกาลกลุ่มหนึ่งถือกำเนิดขึ้น ผสานไว้ด้วยมหาโชคแห่งฟ้าบุพกาล เทพมหาทัณฑ์ก็คือหนึ่งในบรรดานั้น]
ยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์ ไม่แปลกเลยที่จะกล้าโจมตีบรรพชนเทพปฐมกาล
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ข้าสามารถสังหารเทพมหาทัณฑ์ในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ขณะนี้ยังไม่ได้]
หานเจวี๋ยค่อนข้างผิดหวัง เขาได้แต่หวังว่าหลังจากเทพมหาทัณฑ์เข้ารับตำแหน่งแล้วจะไม่มาสร้างความวุ่นวายให้เขา
การปรากฏตัวขึ้นของเทพมหาทัณฑ์เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายังมีผู้ทรงพลังยุคบรรพกาลส่วนหนึ่งซุกซ่อนตัวอยู่ในฟ้าบุพกาล พวกเขาต่างซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตยอดมหามรรคของตน ออกมาเคลื่อนไหวน้อยยิ่ง
เพียงแต่เช่นนี้ก็นับว่าปกติ ฟ้าบุพกาลถือกำเนิดขึ้นหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วน วัดจากจำนวนปีที่มรรคาสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นก็มากโขแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฟ้าบุพกาลเลย แม้แต่สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์อย่างเหล่าจื่อยังปีนป่ายขึ้นสู่ระดับยอดมหามรรคได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลเหล่านั้นที่ถือกำเนิดขึ้นก่อนมรรคาสวรรค์เลย
หานเจวี๋ยอดหดหู่แทนเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ได้
ในอดีตเทพมารฟ้าบุพกาลเป็นตัวตนสูงส่งอยู่เบื้องบน เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา สิ่งมีชีวิตแรกฟ้าบุพกาลล้วนเปรียบเหมือนสิ่งมีชีวิตธรรมดาสามัญ ได้แต่ตัวสั่นงันงก
เมื่อเวลาผ่านไป มหามรรคเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันนี้เทพมารฟ้าบุพกาลส่วนใหญ่ดับสูญ ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ล้วนแต่ประคองตัวรอดไปวันๆ ไม่มีอำนาจมากพอจะครอบครองมหามรรค
น่าเวทนาโดยแท้
หานเจวี๋ยเพียงปลอมเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลเท่านั้น จึงไม่ได้รู้สึกสะท้อนใจมากนัก
ผลงานครั้งนี้ชวนให้สดชื่นนัก ทำให้หานเจวี๋ยอารมณ์ดี
เขาเดินออกไปนอกอารามเต๋า ไปหาหลิวเป้ย
หลิวเป้ยฝึกบำเพ็ญอยู่ ไม่รับรู้ว่าหานเจวี๋ยเข้ามาใกล้ จนกระทั่งหานเจวี๋ยแสร้งกระแอมคราหนึ่ง เขาถึงได้สะดุ้งรู้สึกตัว รีบลุกขึ้นทำความเคารพ
หานเจวี๋ยถาม “เจ้าคิดจะชุบเลี้ยงสิ่งมีชีวิตหรือ”
หลิวเป้ยตอบว่า “ข้าทราบดีว่าคุณสมบัติตนไล่ตามท่านไม่ทัน มิสู้ช่วยท่านดูแลปกครองห้วงจักรวาลแห่งนี้ดีกว่า ข้าเล็งเห็นว่าห้วงจักรวาลนี้มีศักยภาพสูง อีกทั้งรอบข้างยังไม่มีกลุ่มอิทธิพล…”
เขาเริ่มพูดเจื้อยแจ้วออกมาไม่หยุด ราวกับกำลังรายงานสถานการณ์อยู่
หานเจวี๋ยเอ่ยตัดบท “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเจ้าก็พยายามเข้าเถอะ แต่อย่าได้หลงลืมการฝึกบำเพ็ญเล่า”
พูดจบ หานเจวี๋ยก็หันหลังจากไป
เขาเดินไปพลางสะบัดแขนเสื้อไปพลาง ราวกับกำลังกระพือลม แต่ความจริงกำลังสาดโปรยมหามรรคต้นกำเนิดอยู่
เขาต้องการกระจายมหามรรคต้นกำเนิดไปให้ทั่วห้วงจักรวาลดารา
มหามรรคไร้รูปลักษณ์แผ่ขยายไปท่ามกลางจักรวาล สักวันหนึ่ง คงมีผู้บำเพ็ญที่ตระหนักถึง
เพียงแต่ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนานยิ่งนักกว่าห้วงจักรวาลดาราจะให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตได้
หานเจวี๋ยมีวิธีการอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือเร่งความเร็วช่วงเวลาในห้วงจักรวาลแห่งนี้ เพียงแต่พลังแห่งการสรรค์สร้างยังไม่เพียงพอ
ขอเพียงมีพลังแห่งการสรรค์สร้างมากพอ ก็เร่งเวลาได้ทุกเมื่อ อยู่ภายในอาณาเขตเต๋าหนึ่งวัน แต่จักรวาลดาราผ่านไปแล้วแสนล้านปีก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น!
หากเร่งความเร็วตอนนี้ ทว่าพลังแห่งการสรรค์สร้างไม่เพียงพอ จักรวาลนี้จะพังทลายลงในไม่ช้าก็เร็ว สูญสลายว่างเปล่า ไม่นับเป็นดอกไม้ไฟที่เบ่งบานเพียงชั่วข้ามคืนในฟ้าบุพกาลด้วยซ้ำ
เมื่อกลับเข้ามาในอาณาเขตเต๋า หานเจวี๋ยขยายโลกอนธการในส่วนลึกของวิญญาณพร้อมกับทำความเข้าใจพลังแห่งการสรรค์สร้างไปด้วย
….
ท่ามกลางความมืดมิด กระแสอากาศสายหนึ่งไหลล่อง ลอยไปตามสายลมโหมกระหน่ำที่อยู่ในทิศทางหนึ่ง
ท่ามกลางสายลมมีคนเดินอยู่สี่คน เป็นเต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตาน
เต้าจื้อจุนหันไปมองเหล่าตานที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยเร่งว่า “ตาเฒ่า เหตุใดถึงไปอยู่ด้านหลัง รีบไปนำทางด้านหน้าเถอะ”
เหล่าตานเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ถนนก็มีอยู่แค่เส้นเดียว ต้องนำทางอันใดอีก”
จ้าวเซวียนหยวนพูดประชดประชัน “ตาเฒ่าคนนี้ยังโกรธอยู่น่ะสิ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาหมายปองสมบัติของผู้อื่น ถูกผู้อื่นจดบัญชีแค้น ยังจะมาโทษอีกว่าเป็นเพราะพวกเราไร้มารยาทไปล่วงเกินอีกฝ่ายเข้า”
พอเขาเอ่ยเช่นนี้ เหล่าตานก็ระเบิดอารมณ์ทันที
“ผู้อื่นเป็นอริยะมหามรรค ผู้เฒ่าจะหมายปองสมบัติของผู้อื่นได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าเกี่ยวข้องกับเหล่าจื่อ พวกเจ้าตายกันหมดแล้ว”艾琳小說
เหล่าตานกล่าวอย่างขุ่นเคืองต่อความอยุติธรรม โกรธจนตาโปนหายใจฟึดฟัด
เจียงอี้เอ่ยว่า “ชื่อเสียงของเหล่าจื่อยิ่งใหญ่เท่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรหรือ เชื่อหรือไม่ว่าหากพวกเราบอกว่าพวกเราคือศิษย์ของอริยะสวรรค์เกรียงไกร เขาจะเข้ามาต้อนรับขับสู้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทันที”
“ฮ่าๆ พวกเจ้าจะพิสูจน์อย่างไรเล่า”
“อริยะเสรีแห่งมรรคาสวรรค์ ยังไม่เพียงพอจะใช้พิสูจน์อีกหรือ”
เหล่าตานเงียบไป
ถึงแม้มรรคาสวรรค์จะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แต่อริยะเสรียังมีอยู่น้อยจริงๆ อีกทั้งดวงชะตามรรคาสวรรค์ของพวกเต้าจื้อจุนทั้งสามก็แยกแยะได้ง่ายยิ่ง
จ้าวเซวียนหยวนหันกลับไปยกแขนคล้องคอเหล่าตาน ลากเขาไปอยู่ด้านหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตาเฒ่า จะโมโหไปไย พวกเราก็นับว่าลงเรือลำเดียวกัน จะรุ่งก็รุ่งไปด้วยกัน รอจนไปถึงแดนลึกล้ำไร้วิถีแล้ว เจ้าต้องนำทางให้ดีเล่า”
เต้าจื้อจุนตามเข้ามาถามว่า “แดนลึกล้ำไร้วิถีมีโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่อยู่จริงหรือ”
เหล่าตานสะบัดแขนจ้าวเซวียนหยวนออก ลูบเคราพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนอยู่แล้ว จุดที่ผานกู่ฟื้นคืนชีพก็คือแดนลึกล้ำไร้วิถี ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์มหามรรค ไร้ซึ่งบ่วงกรรม ไร้ซึ่งกาลเวลา ที่นี่เคยมีศึกใหญ่อุบัติขึ้นฉากหนึ่ง นั่นคือก่อนที่ผานกู่จะบุกเบิกฟ้าดิน เทพมารฟ้าบุพกาลที่สิ้นชีพในแดนลึกล้ำไร้วิถีอย่างน้อยๆ ก็ร้อยตน สมบัติที่พวกเขาหลงเหลือไว้ไหนเลยจะไม่ใช่โอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่”
………………………………………………………………