ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 867 มหาเทวาพ้นนิวรณ์
บทที่ 867 มหาเทวาพ้นนิวรณ์
“เรื่องใดหรือ”
หานเจวี๋ยถามด้วยความอดทน ในใจขุ่นเคืองจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอยู่บ้าง พวกเรามีสัมพันธ์กันเช่นใดเล่า จำเป็นต้องอ้อมค้อมอีกหรือ
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “เราเตรียมจะไปสำรวจอาณาเขตฟ้าบุพกาล ตอนนี้มีเป้าหมายแล้ว เพียงแต่อาณาเขตฟ้าบุพกาลแห่งนี้มีผนึกหวงห้ามแข็งแกร่ง จำเป็นต้องให้อริยะมหามรรคลงมือ อริยะมหามรรคสองรายที่เรารู้จัก คนหนึ่งถูกสะกดจองจำ อีกคนหายสาบสูญ จึงได้แต่บากหน้ามาหาเจ้า”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายรู้สึกทอดถอนใจยิ่ง
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ท่านอัญเชิญข้าเถอะ”
“ตกลง”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ไม่พูดไร้สาระอีก จากนั้นแดนความฝันก็สิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘หากข้าไปช่วยจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย จะตายหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ไม่ตาย]
ปลอดภัยยิ่ง
หานเจวี๋ยวางใจแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ทิ้งเสี้ยวเจตจำนงไว้ในอารามเต๋า ต่อให้สิ้นชีพด้านนอกก็ฟื้นคืนชีพได้ ที่เมื่อครู่ถามเช่นนั้นจุดประสงค์หลักคือจะพิจารณาดูว่าจะไปยุแหย่ตัวตนระดับยอดมหามรรคเข้าหรือไม่ มองจากราคาของคำถามแล้ว น่าจะไม่มี
หานเจวี๋ยทำความเข้าใจพลังแห่งการสรรค์สร้างต่อไป พร้อมกับรอคอยการอัญเชิญจากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย
หลายวันต่อมา จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถึงได้ใช้วิชาอัญเชิญเทพเรียกตัวหานเจวี๋ย
คลื่นวนสีดำปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย เขากระโดดเข้าไป
เพียงพริบตาเดียว หานเจวี๋ยมาโผล่ที่ฟ้าบุพกาล
เขาก้าวออกมาจากคลื่นวนสีดำ มองเห็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย
ข้างกายจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย มีชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงินคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นแม่ทัพเทพบุคลิกองอาจข่มขวัญคน
พอเห็นหานเจวี๋ย จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยิ้มออกมา ประสานหมัดเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ได้รับความช่วยเหลือจากอริยะสวรรค์เกรียงไกร เป็นวาสนาที่เราสั่งสมมาสามชาติโดยแท้”
ด้านหลังของคนทั้งสอง มีแม่ทัพทหารสวรรค์ตั้งแถวเรียงราย อย่างน้อยๆ ก็มีหลักสิบล้านขึ้นไป
เทพเซียนทั้งหมดของวังสวรรค์ล้วนมองไปที่หานเจวี๋ยอย่างเคารพเลื่อมใส
อริยะสวรรค์เกรียงไกรมีชื่อก้องไปทั่วฟ้าบุพกาลมานานแล้ว พิฆาตสองหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้ในกระบี่เดียว เทียบเท่ากับว่าอริยะมหามรรคสองหมื่นคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย ในมุมมองของสรรพสิ่งพลังระดับนี้นับว่าแข็งแกร่งเลิศล้ำเป็นหนึ่งแล้ว ถึงขั้นที่ถูกผู้บำเพ็ญมากมายยกย่องให้เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนแม้แต่กฎเกณฑ์ก็ไม่อาจควบคุมได้
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ระหว่างพวกเรายังต้องพูดจาตามมารยาทเช่นนี้ด้วยหรือ หรือว่าฝ่าบาทคิดจะยกยอเพื่อสังหารข้า”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่วยไม่ได้จริงๆ ชื่อเสียงของอริยะสวรรค์เกรียงไกรเลื่องลือระบือนามเกินไป เราไม่กล้าทำตัวเสียมารยาท ขอแนะนำให้เจ้ารู้จักสักหน่อย ผู้ที่อยู่ข้างๆ เรามีนามว่าจ้านฝัว เป็นดวงจิตพุทธะจากโลกพุทธะ ศิษย์ของฉู่ซื่อเหริน และนับเป็นศิษย์เหลนของเจ้า”
เมื่อได้ยินวาจานี้ ชายหนุ่มในชุดเกราะเงินที่อยู่ด้านข้างก็รีบทำความเคารพ พนมมือคารวะอย่างนอบน้อม
หานเจวี๋ยเหลือบมองจ้านฝัวแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “คุณสมบัติไม่เลวเลย หลังเสร็จเรื่องนี้แล้ว จะถ่ายทอดพลังวิเศษอย่างหนึ่งให้เจ้า”
“ขอบพระคุณอริยะสวรรค์ยิ่งนักขอรับ!”
จ้านฝัวกล่าวด้วยความตื่นเต้น รีบค้อมคำนับ
“หืม” หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์
จ้านฝัวผงะไป รีบเอ่ยแก้ “ขอบพระคุณอาจารย์เทียดขอรับ!”
หานเจวี๋ยถึงได้ยิ้มออกมา
เหล่าแม่ทัพทหารสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮา
ไม่นึกเลยว่าแม่ทัพเทพจ้านฝัวจะเป็นศิษย์เหลนของอริยะสวรรค์เกรียงไกร!
หานเจวี๋ยหันหลัง มองห้วงอวกาศเวิ้งว้างด้านหน้า
เขารับรู้ถึงผนึกหวงห้ามที่แกร่งกล้าอย่างหนึ่ง คาดว่าอริยะมหามรรคทั่วไปก็ยังยากจะทำลายได้
เขาใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับดู ไม่พบศัตรูผู้แข็งแกร่ง
“เป็นอย่างไร สามารถทำลายได้หรือไม่” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายถาม สีหน้าตึงเครียดขึ้นมา
หานเจวี๋ยไม่เอ่ยตอบ นำกระบี่พิพากษาอนธการออกมา ฟันออกไปในแนวขวาง艾琳小說
ไร้ซึ่งปราณกระบี่ ทว่าห้วงอวกาศเวิ้งว้างเบื้องหน้าถูกฟันขาดเป็นสองส่วน แสงสีขาวสายหนึ่งผ่าแยกความมืดมิดเป็นสองฝั่ง จากนั้นแสงสีขาวที่อยู่กึ่งกลางก็เริ่มทำลายทั้งสองฝั่งให้พังทลาย
ครืน!
ห้วงมิติพังทลาย พายุโหมกระหน่ำ ตามมาด้วยสายฟ้าระดับมหามรรค ทรงพลังเผด็จการ
หานเจวี๋ยยกมือขึ้น ปัดป้องพายุสายฟ้าทั้งหมดที่ถาโถมใส่วังสวรรค์ด้วยท่าทีสบายๆ
ห้วงมิติเบื้องหน้าเริ่มพังถล่ม แสงรุ้งเลื่อมพรายสาดส่องออกมา
หานเจวี๋ยหรี่ตามองออกไป หลังจากผนึกหวงห้ามพังทลาย ไม่น่าเชื่อจะว่าปรากฏโลกแห่งหนึ่ง
โลกแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง ใหญ่กว่ามรรคาสวรรค์หลายร้อยเท่า พลังชีวิตมหาศาลแผ่ซ่านออกมา ทำให้คนมัวเมา
หานเจวี๋ยแผ่จิตศักดิ์สิทธิ์ออกไป พบว่าโลกแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีตัวตนระดับอริยะเลย ระดับที่เก่งกาจที่สุดก็เป็นเพียงเซียนทองต้าหลัวเท่านั้น
มีเซียนทองต้าหลัวจำนวนไม่น้อยเลย แต่ล้วนไม่กลายร่างทั้งสิ้น ดูคล้ายสัตว์ร้ายยุคโบราณ เดินเหินอยู่บนพื้นดิน
“มิผิดเลย เป็นโลกแห่งแรกในฟ้าบุพกาล!”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยความตื่นเต้น หานเจวี๋ยได้ยินก็เหลือบมองเขาด้วยความแปลกใจ
เขารีบอธิบายว่า “อันที่จริงก่อนที่ผานกู่จะบุกเบิกฟ้าดินขึ้น ฟ้าบุพกาลก็มีโลกที่อุบัติวิวัฒนาการขึ้นตามธรรมชาติ เพียงแต่ต่อมาหายสาบสูญไป การปรากฏขึ้นของโลกแห่งนี้จุดประกายความคิดให้ผานกู่ ถึงได้บุกเบิกมรรคาสวรรค์ขึ้นในภายหลัง”
“ถึงแม้แดนเซียนจะไม่ใช่โลกแห่งแรก แต่มรรคาสวรรค์มีกฎเกณฑ์คงอยู่ ทำให้ก้าวข้ามโลกแห่งแรกในฟ้าบุพกาลไปแล้ว”
หานเจวี๋ยถาม “ท่านพบสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร”
ในฟ้าบุพกาล มีผนึกหวงห้ามประเภทนี้อยู่นับไม่ถ้วน ในสถานการณ์ทั่วไป อริยะมหามรรคล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลาม เกรงว่าจะเป็นอาณาเขตเต๋าของอริยะมหามรรครายอื่น แล้วจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายแน่ใจได้อย่างไรว่าด้านหลังผนึกหวงห้ามมิใช่อาณาเขตเต๋า
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมเป็นเพราะมีตัวตนบรรพกาลแจ้งให้ทราบ เพียงแต่ตัวตนบรรพกาลท่านนี้ เราไม่อาจบอกต่อเจ้าได้ ท่านเป็นผู้ที่ไม่อาจกล่าวนามได้”
สีหน้าหานเจวี๋ยไม่แปรเปลี่ยน แต่ในใจตื่นตระหนก
คงมิใช่ว่าเป็นเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกระมัง
“ขอบพระคุณอริยะสวรรค์ จากนี้ไปไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้าแล้ว วันหน้าก็เชื่อมเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลของมรรคาสวรรค์มาที่นี่เถิด สั่งสอนบ่มเพาะสิ่งมีชีวิตที่นี่ไปพร้อมกัน” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยยิ้มๆ
หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ จากนั้นหันหลังกระโดดเข้าสู่คลื่นวนสีดำ ก่อนที่เขาจะหายไป ได้ยิงลำแสงสายหนึ่งออกมา ก่อนที่มันจะซึมหายเข้าไปกลางหน้าผากของจ้านฝัว
คลื่นวนสีดำเลือนหายไป หานเจวี๋ยกลับสู่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เขานั่งบนเบาะกลม ใช้แบบจำลองการสอบตรวจจับรอบข้างก่อน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีตัวตนลึกลับแอบตามตนมายังอาณาเขตเต๋า ถึงได้วางใจ
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ตัวตนของผู้ที่แจ้งเรื่องโลกแห่งนั้นต่อจักรพรรดิสวรรค์คือผู้ใด’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ค่าตัวระดับผู้สร้างมรรคา!
ดำเนินการต่อ!
[มหาเทวาพ้นนิวรณ์: ไม่ทราบตบะ ทวยเทพฟ้าบุพกาล อยู่เหนือกฎเกณฑ์ หลุดพ้นจากทุกสิ่ง ไม่อาจกล่าวนามได้]
ไม่ใช่เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล…
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เขาถามต่อ ‘ผู้สร้างมรรคามีอยู่กี่คน’
คงไม่ได้เป็นเช่นเดียวกับระเบียบสูงสุด มีอยู่เจ็ดคนกระมัง
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ห้าคน]
หานเจวี๋ยเริ่มใคร่ครวญ
เจ้านวฟ้าบุพกาล เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล มหาเทวาพ้นนิวรณ์ ยังเหลืออีกสองรายที่ไม่ทราบตัวตน
ไม่นับว่ามาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยเช่นกัน
อีกอย่างห้าคนนี้ก็ออกจากฟ้าบุพกาลไปแล้ว สรรพสิ่งไม่รู้จัก
หานเจวี๋ยถามอีกครั้ง ‘ไม่ว่าจะในฟ้าบุพกาลหรือนอกฟ้าบุพกาล เจ้านวฟ้าบุพกาลใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ขณะนี้นับว่าใช่]
ขณะนี้น่าจะหมายถึงปัจจุบันนี้
หานเจวี๋ยตั้งเป้าหมาย ต้องเหนือกว่าเจ้านวฟ้าบุพกาล
ขีดจำกัดสูงสุดอยู่เบื้องหน้าแล้ว!
เพียงแต่เจ้านวฟ้าบุพกาลมิใช่เป้าหมายสูงสุดของเขา หลังจากเหนือกว่าเจ้านวฟ้าบุพกาลได้ เขาจะมุ่งสู่ระดับเทพผู้สร้างต่อ
เขาต้องการขึ้นสู่จุดสูงสุดต่อไปเรื่อยๆ!
แค่คิดหัวใจหานเจวี๋ยก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาแล้ว
ช้าก่อน
มหาเทวาพ้นนิวรณ์บอกให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายทราบถึงโลกแรกแห่งฟ้าบุพกาล เช่นนี้คือต้องการสอดมือเข้ามายุ่งในฟ้าบุพกาลหรือไม่
ต้องเป็นเช่นนี้แน่!
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘เหตุใดมหาเทวาพ้นนิวรณ์ถึงต้องการช่วยเหลือจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
………………………………………………………………