ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ - บทที่ 899 มหารังสรรค์อนธการ
บทที่ 899 มหารังสรรค์อนธการ
สำหรับผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่แล้วเวลาหนึ่งแสนปีอาจจะยาวนานยิ่ง แต่สำหรับหานเจวี๋ยนั้นไม่นับว่านานเลย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตัวอักษรสามแถวเด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ตรวจสอบพบว่าท่านอายุเจ็ดล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง ออกจากปิดด่านทันที มุ่งหน้าออกไปบุกเบิกอนธการที่ดินแดนเวิ้งว้างนอกฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกเลี่ยงข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่เลยว่าระบบจะวางกับดักเขาเสียแล้ว จงใจไม่ให้ชิ้นส่วนอนธการ โชคดีที่เขาแค่คิดมากไป
ครั้งนี้ตัวเลือกแรกเปลี่ยนไปแล้ว ให้มุ่งหน้าไปบุกเบิกอนธการที่ดินแดนเวิ้งว้าง
ดินแดนเวิ้งว้างไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ เปรียบเสมือนดินแดนแห่งความตาย
หานเจวี๋ยกังวลว่าผู้สร้างมรรคาเหล่านั้นก็จะซ่อนตัวอยู่ดินแดนเวิ้งว้าง ดังนั้นจึงไม่กล้ามุ่งหน้าไปยังดินแดนเวิ้งว้าง
‘หากว่าข้ามุ่งหน้าไปบุกเบิกอนธการที่ดินแดนเวิ้งว้าง จะถูกผู้สร้างมรรคาสังเกตเห็นหรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[เห็น]
หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สอง
เขานำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง จากนั้นเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารฟ้าบุพกาลที่ถือกำเนิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับตัวไป
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ข้าหลงนึกว่าท่านลืมพวกเราไปแล้ว”
หลังจากมู่หรงฉี่ออกไป อู้เต้าเจี้ยนเบะปากเอ่ยขึ้นมา แสร้งทำเป็นคับข้องใจ
หานเจวี๋ยลูบศีรษะนาง เอ่ยยิ้มๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร เพียงยุ่งกับการบำเพ็ญเท่านั้น เจ้าต่างหาก ไยจึงห่างชั้นกับลี่เหยามากขึ้นไปเรื่อยๆ เล่า”
พออู้เต้าเจี้ยนได้ยินดวงหน้างามพลันงอง้ำ เอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้าจะเทียบกับพี่ลี่เหยาได้อย่างไร นางวิปริตเกินไปแล้ว เช่นเดียวกับท่าน…ไม่สิ นางพากเพียรบำเพ็ญเกินไป”
สายตาของหานเจวี๋ยมองไปที่ลี่เหยา ลี่เหยานั่งสมาธิอยู่บนเบาะกลม กำลังจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ
ไม่ทราบว่าเขารู้สึกหลอนไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าสายตาที่ลี่เหยามองตนเจือความอ่อนหวานสายหนึ่งเอาไว้
หานเจวี๋ยพูดคุยกับพวกนางสักพักก็กลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามโดยเร็ว
เรื่องอื่นใดล้วนไม่สำคัญทั้งนั้น ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือยกระดับสายเลือดของตน!
เขานั่งสมาธิบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร นำชิ้นส่วนอนธการทั้งเก้าชิ้นออกมา
ชิ้นส่วนอนธการทั้งเก้าชิ้นเรียงเป็นวงอยู่กลางอากาศเช่นเดียวกับชิ้นส่วนมหามรรค เริ่มรวมตัวเข้าหากัน แสงสีม่วงส่องวูบไหว ทำให้ภายในอารามเต๋าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
หานเจวี๋ยเฝ้ารอด้วยความประหม่า
ครืน!
เกิดเสียงระเบิดแว่วดังขึ้นเล็กน้อย ชิ้นส่วนอนธการทั้งเก้าผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว พุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของหานเจวี๋ย
วินาทีนั้น เจตจำนงของหานเจวี๋ยมาโผล่ในห้วงมิติสีม่วงแห่งหนึ่ง รอบข้างปกคลุมด้วยปราณอนธการมากมายไร้สิ้นสุด
[โปรดเลือกมหารังสรรค์อนธการที่ท่านปรารถนา]
ข้อความนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย มีเพียงข้อความเดียวเท่านั้น ถึงจะบอกว่าให้เลือก แต่กลับไม่ปรากฏตัวเลือกใด
ไม่มีตัวเลือกให้คือทางเลือกที่ดีที่สุด!
‘ข้าต้องวิวัฒนาการสายเลือดของข้า!’
หานเจวี๋ยคิดในใจ ข้อความอีกแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
[สายเลือดกายดาราอนธการรวมถึงเทพมารอนธการของท่าน กำลังจะวิวัฒนาการเป็นสายเลือดที่ไม่อาจทราบได้ จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ในเมื่อไม่อาจทราบได้ ก็แปลว่าต้องมีอันตรายอยู่กระมัง
หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ข้าจะถูกผลสะท้อนกลับหรือไม่’
[มหารังสรรค์อนธการเป็นการรังสรรค์ขั้นสูงสุด ไม่มีทางเกิดผลกระทบข้างเคียง]
เช่นนั้นก็ดำเนินการต่อเลย!
ในใจของหานเจวี๋ยเปี่ยมด้วยความคาดหวังไร้ที่สิ้นสุด
ทันทีที่เขาตัดสินใจ ห้วงมิติหมอกม่วงรอบข้างพลันหดตัวลง จากนั้นเขารู้สึกได้ว่าเจตจำนงกำลังจะระเบิด เจตจำนงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางฟ้าบุพกาล
ราวกับความฝันฉากหนึ่ง หานเจวี๋ยฝันว่าตนถือกำเนิดขึ้นมา เดินอยู่ในสถานที่เลือนรางแห่งหนึ่ง ไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ในความฝันเขามุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
ในเวลาเดียวกันนี้
พื้นดินของอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามพลันสั่นไหวรุนแรง พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนภายในอาณาเขตเต๋าพุ่งมุดเข้าสู่ร่างของหานเจวี๋ย ไม่ใช่แค่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามเท่านั้น พลังวิญญาณและปราณฟ้าประทานในอาณาเขตเต๋าหลักและอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองก็ล้วนถูกดึงดูดไป หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของหานเจวี๋ย
ภายในจักรวาลดารา ดวงดาวนับไม่ถ้วนสะท้านสั่นไหว ทำให้เจียงเจวี๋ยซื่อและหลิวเป้ยที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ตกใจจนลืมตาขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น มีศัตรูหรือ” เจียงเจวี๋ยซื่อถามเสียงขรึม แต่จิตศักดิ์สิทธิ์ของเขากลับตรวจสอบไม่พบกลิ่นอายอื่นใดเลย
หลิวเป้ยสังเกตเห็นว่าความเคลื่อนไหวมาจากอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม เขาพลันคาดการณ์อยู่ในใจ เอ่ยไปว่า “อาจารย์ของเจ้าอาจจะกำลังทะลวงระดับอยู่กระมัง ไม่จำเป็นต้องกังวล”
เจียงเจวี๋ยซื่อถามด้วยความแปลกใจ “เขานับเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาลแล้ว ยังทะลวงระดับใดอีกหรือ”
“เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรับตัวเจ้าไว้เล่า เป็นเพราะพรสวรรค์ของเจ้าจริงๆ น่ะหรือ ผิดแล้ว เขาเพียงชื่นชมในทัศนคติด้านการบำเพ็ญของเจ้าที่เป็นเช่นเดียวกับเขา ในชีวิตนี้ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาล้วนใช้ไปกับการฝึกบำเพ็ญ แทบจะไม่เคยออกไปท่องโลกด้านนอกเลย พอเขาเห็นเจ้า ก็เหมือนได้เห็นตัวเองอีกคน เข้าใจหรือไม่” หลิวเป้ยกล่าวอย่างจริงจัง
เจียงเจวี๋ยซื่อพลันกระจ่างแจ้ง รู้สึกเคารพนับถือหานเจวี๋ยยิ่งขึ้น
เขาได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ หากตนเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล จะยังพากเพียรบำเพ็ญอยู่หรือไม่
….
มรรคาสวรรค์ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหล่าอริยะรวมตัวกันในตำหนักเอกภพ
บรรพชนพุทธเทวัญถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น พลังวิญญาณทั่วทั้งมรรคาสวรรค์ล้วนถูกดูดดึงไป!”
อริยะคนอื่นๆ ก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน ไม่ใช่แค่พลังวิญญาณเท่านั้น แม้แต่กฎเกณฑ์มรรคาสวรรค์และแม่น้ำดวงชะตาล้วนถูกสั่นคลอน ราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
จอมอริยะเสวียนตูจ้องมองแดนเซียน พลันเอ่ยขึ้นว่า “ความเคลื่อนไหวมาจากเขตเซียนร้อยคีรี น่าจะเกี่ยวข้องกับอริยะสวรรค์เกรียงไกร ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป”
อริยะสวรรค์เกรียงไกร!
เหล่าอริยะสงบลงในทันใด ความกังวลในใจสลายไปดั่งหมอกควัน
หลงเฮ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “ท่านอาจารย์ของข้ากำลังทะลวงระดับอยู่แน่ๆ หรือไม่ก็สร้างพลังวิเศษใหม่ขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยิ่งอาจารย์ข้าแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไร มรรคาสวรรค์ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”
เหล่าอริยะพยักหน้าคล้อยตาม
หากว่าเป็นในอดีต พวกเขาต้องกังวลว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรจะมีความคิดทะเยอทะยานแน่ แต่หลังจากเผชิญเคราะห์มรสุมมามากมายปานนี้ หากอริยะสวรรค์เกรียงไกรคิดจะยึดอำนาจ ก็ง่ายดายยิ่ง แต่เขาไม่เคยใช้อำนาจเผด็จการเลย ถึงแม้ในแวดวงอริยะจะมีบุตรแห่งสวรรค์จากสำนักซ่อนเร้น ซ้ำยังมีมากด้วย แต่บุตรแห่งสวรรค์เหล่านี้ร้ายกาจจริงๆ อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็ไม่เคยบอกด้วยถ้าว่าหากพิสูจน์มรรคแล้วต้องเข้าร่วมสำนักซ่อนเร้น ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เมื่อเทียบกับมรรคาสวรรค์ในยุคที่บรรพชนเต๋าปกครอง สำหรับเหล่าอริยะแล้ว มรรคาสวรรค์ในปัจจุบันนี้มีอิสระกว่า
ไม่มีระเบียบบังคับ การเล่นเล่ห์ชิงดีชิงเด่นก็ไม่ได้ชัดเจนถึงเพียงนั้นอีก เหล่าอริยะล้วนทุ่มเทพัฒนามรรคาสวรรค์
ชิงเทียนเสวียนจีอดใจไม่อยู่เอ่ยถามไป “อริยะสวรรค์เกรียงไกรอยู่ระดับใดแล้ว อริยะมหามรรคหรือ”
พอเขาเอ่ยถามเช่นนี้ เหล่าอริยะรุ่นเก่าต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ชิงเทียนเสวียนจีรู้สึกเสียหน้า เอ่ยด้วยความโกรธเคือง “ข้าเป็นอริยะใหม่ อีกทั้งพวกท่านไม่ปล่อยให้ข้าออกสู่ฟ้าบุพกาล ข้าย่อมไม่เข้าใจ!”
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็เป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าอริยะมหามรรคแล้ว แต่อริยะสวรรค์เกรียงไกรสามารถสังหารข้าได้ง่ายดายยิ่ง เจ้าว่าเป็นระดับใดกันเล่า”
ชิงเทียนเสวียนจีตะลึงงัน
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น อริยะคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าตื่นตะลึงเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเปิดเผยระดับของตน
เหนือกว่าอริยะมหามรรคแล้ว!
ก่อนหน้านี้เหล่าอริยะคิดว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกร อริยะเทพอวี๋เจี้ยน หงหยวนและมหาอริยะสวีหุนล้วนเป็นอริยะมหามรรคเหมือนกัน เพียงแต่มีความแตกต่างด้านพลังเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีระดับที่อยู่เหนือกว่าอริยะมหามรรคขึ้นไปอีก!
อีกด้านหนึ่ง
ณ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ภายในอารามเต๋า
หานเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น จักรวาลดาราและมรรคาสวรรค์ก็กลับสู่ความสงบ
เวลานี้ มีแสงสีม่วงเข้มแผ่ออกมาจากร่างเขา สายตาเขาแลดูเย็นชา ผมดำสลวยลอยชี้ขึ้นมา ดูเลิศล้ำเหนือโลกีย์
………………………………………………………………