ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 107 ค่ายกลลมปราณไหลเวียน
บทที่ 107
ค่ายกลลมปราณไหลเวียน
หลังจากการประชุมวางแผนรับมือตระกูลมู่หรง มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าทุกขั้วอำนาจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต้องมีการฝึกอบรม ขัดเกลาวิชายุทธ์ให้กับสมาชิกของพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เพียงเท่านั้นเย่เย่ยังส่งสายสืบเข้าไปสอดแนมความเคลื่อนไหวของตระกูลมู่หรงที่จิ้นเฉิงอีกด้วย
นอกจากนี้เย่เย่ที่ครุ่นคิดพิจารณามาสักพัก ก็ได้เสนอขึ้นมาว่า “ถ้าพวกท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอไปติดตั้งค่ายกลเพื่อเสริมพลังป้องกันให้กองกำลังของพวกท่าน เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าจะไม่ถูก
ตระกูลมู่หรงส่งคนเข้ามาสอดแนม หรือแม้กระทั่งโจมตีแบบกองโจร”
เมื่อผู้คนในห้องโถงได้ยินข้อเสนอของเย่เย่ ความคิดของพวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หอการค้าตันเซียง สำนักเพลิงสวรรค์ และผู้นำตระกูลบางส่วนยินดีรับข้อเสนอของเย่เย่ ในขณะที่สำนักรุ่งอรุณและตระกูลอีกบางส่วนนั้นยังคงเคลือบแคลงใจกับข้อเสนอนี้อยู่
เฉินอี้ตันกล่าวขอบคุณเย่เย่ขึ้นก่อนใครเพื่อน “ข้าขอขอบคุณท่านเย่ หอการค้าตันเซียงของพวกเรายอมรับข้อเสนอของท่าน!”
“พวกเราสำนักเพลิงสวรรค์ก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถควบคุมค่ายกลได้เช่นท่านเย่ แต่ค่ายกลนั้นก็ช่วยป้องกันได้ดีระดับหนึ่ง หากโดนโจมตีอย่างน้อยเราก็สามารถซื้อเวลาให้พวกท่านได้” จางเสี่ยวยู่ก็ยอมรับข้อเสนอนี้เช่นเดียวกัน ทั้งสองหวังว่าเย่เย่จะช่วยติดตั้งค่ายกลที่สำนักของพวกเขาและสอนวิธีการใช้งานให้พวกเขาโดยเร็ววัน
มีเพียงเหอเฉินที่ยังคงระแวงและสงสัยในการกระทำของเย่เย่ เขาจึงกล่าวปฏิเสธข้อเสนอด้วยความนอบน้อม “ข้าขอขอบคุณท่านเย่ แต่ข้าเกรงว่าข้าจะรับน้ำใจของท่านเอาไว้ไม่ได้ ตราบใดที่สำนักรุ่งอรุณของข้ารวมพลังเป็นหนึ่ง ข้ามั่นใจว่าพวกเราสามารถต้านทานการโจมตีของพวกมันได้แน่!”
เหอเฉินนั้นคิดว่าข้อเสนอนี้คือหลุมพรางที่เย่เย่ขุดเอาไว้เพื่อหมายครอบครองหลิงเฉิงในอนาคต เพราะมีเพียงเย่เย่เท่านั้นที่สามารถควบคุมค่ายกลได้ดั่งใจนึก เหอเฉินและผู้นำตระกูลบางส่วนจึงไม่เสี่ยงที่จะรับข้อเสนอนี้
เย่เย่รู้ดีว่าพวกเขาไม่เชื่อใจ และมักคิดว่าเย่เย่มีเจตนาแฝงอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามแม้พวกเขาจะปฏิเสธแต่เย่เย่ก็ยังคงช่วยเหลือพวกเขาในด้านอื่นๆเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเมืองหลิงเฉิง เย่เย่จึงพยักหน้าตอบและไม่คาดคั้นอะไรพวกเขา
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง เย่เย่ก็ได้ตามเฉินอี้ตัน และคนอื่นๆที่รับข้อเสนอไปติดตั้งค่ายกลที่สำนักของพวกเขา สอนพวกเขาเกี่ยวกับการควบคุมเบื้องต้น และเดินทางกลับหอการค้าหยูเย่ เมื่อเย่เย่กลับมาถึงเขาไม่ได้เริ่มฝึกฝนวิชายุทธ์ต่อแต่อย่างใด เขาแลกเปลี่ยนค่ายกลลมปราณไหลเวียนออกมาจากระบบและติดตั้งมันที่ชั้น 6 ของหอการค้า
ค่ายกลลมปราณไหลเวียนนี้เป็นค่ายกลชนิดพิเศษ คุณสมบัติของมันคือรวบรวม และกักเก็บพลังแห่งโลกและสวรรค์อยู่ภายใน ผู้ใดก็ตามที่ฝึกฝนในค่ายกลนี้จะซึมซับพลังเหล่านั้นมาใช้และ
สามารถพัฒนาวรยุทธ์ของตนได้อย่างก้าวกระโดด
หลังจากที่เขาติดตั้งมันเขาก็ได้ให้เสี่ยวหยู และซูฉีเจี่ยฝึกฝนวรยุทธ์ภายในค่ายกลนี้เป็นสองคนแรก แม้ว่าทั้งสองจะคุ้นชินกับความน่าพิศวงของเย่เย่แล้ว แต่เมื่อพวกเขาได้เรียนรู้คุณสมบัติของค่ายกลลมปราณไหลเวียนนี้ทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
“ข้าจะเปิดให้ลูกจ้างทุกคนของหอการค้าได้ใช้ค่ายกลนี้เป็นกรณีพิเศษ แต่มีข้อแม้คือห้ามให้ใครปริปากพูดเกี่ยวกับค่ายกลนี้ภายนอกหอการค้า หากผู้ใดฝ่าฝืนข้าจะลงโทษสถานหนักอย่างไม่มีข้อยกเว้น!” เย่เย่ให้เสี่ยวหยูและซูฉีเจี่ยถ่ายทอดคำสั่งของเขาออกไป
เงินจำนวน 10000 เหรียญจักรวาลนับว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่เขาจะได้จากการฝึกฝนวิชายุทธ์ให้แก่เหล่าแรงงาน นอกจากเพื่อสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งแล้วยังถือว่าเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานได้อีกด้วย
“เจ้าค่ะ / ขอรับ!” ทั้งสองตอบเย่เย่ด้วยเสียงดังฟังชัด ไม่มีวันไหนที่พวกเขาคิดเสียใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของหอการค้า หยูเย่
เมื่อคำสั่งได้รับการถ่ายทอดไปยังลูกจ้างในหอการค้า พวกเขาก็มารวมตัวกันที่ชั้น 6 อย่างรวดเร็วและเริ่มการฝึกฝนประจำวันในทันที บรรดาลูกจ้างทั้งชายหญิงต่างพากันเนื้อเต้นที่จะได้พัฒนา วรยุทธ์ของตน มีเพียงกลุ่มชายฉกรรจ์ผู้พิทักษ์หอการค้าของซูฉีเจี่ยเท่านั้นที่ท้าทายกันไปท้าทายกันมาเพื่อแข่งขันกันว่าใครจะพัฒนาได้เร็วกว่ากัน บรรยากาศการฝึกฝนของพวกเขานั้นดูอบอุ่นราวกับเป็นครอบครัวเดียวกันก็มิปาน เย่เย่ที่เฝ้าดูการฝึกของพวกเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะเดินออกจากหอการค้าหยูเย่เพื่อเข้าพบตู๋กู่ เหยียน
หลังจากที่เขารวบรวมข้อมูลที่อยู่ของตู๋กู่ เหยียนที่ได้จากพนักงานระดับสูงแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่สำนักกระบี่พันเล่มเพื่อหวังจะช่วยเหลือตู๋กู่จากอาการไข้พิษของเขา
เมื่อเขาเดินทางมาถึง เขาก็พบว่าที่อยู่อาศัยของ ตู๋กู่เหยียนนั้นทรุดโทรมต่างจากผู้มีวรยุทธ์ระดับเทพอสูรอยู่มาก จากแหล่งข่าวเขาทราบมาว่าตู๋กู่ผู้นี้เป็นคนถือคุณธรรม ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย ขั้วอำนาจต่างๆที่หยิบยื่นข้อเสนอให้เขาก็โดนปฏิเสธกันอย่างถ้วนหน้า ทำให้ไม่มีใครมาติดต่อเจรจาใดๆกับเขาอีกเลย อย่างไรก็ตามเขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวเมืองชนชั้นรากหญ้า
เพื่อรวบรวมหลิงเฉิงให้เป็นปึกแผ่นอย่างสมบูรณ์เย่เย่จึงต้องการการสนับสนุนจากตู๋กู่เหยียน เขาจึงไม่ลังเลที่จะเคาะประตูบ้านในทันที
ก๊อก ก๊อก
หญิงสาวคนหนึ่งในกระโปรงสีเหลืองสว่างสดใสก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าของเธอดูแล้วน่าจะอายุราวๆ 18-19 ปี ดวงตาสวยสดงดงาม แก้มแดงระเรื่อดูมีชีวิตชีวา เมื่อนางเห็นคนแปลกหน้าจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านมีธุระอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”
แม่นางผู้นี้มีชื่อว่าตู๋กู่ เฉียน เป็นหลานสาวแท้ๆของ ตู๋กู่เหยียน นางอาศัยอยู่กับปู่ของนางในหลิงเฉิงได้หลายปีแล้ว เมื่อนางได้ยินเสียงเคาะประตู นางก็คิดว่ามีชาวบ้านมาขอความช่วยเหลือจากปู่ของนางที่ล้มป่วยอยู่ นางจึงแสดงสีหน้าหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่พอนางเห็นการแต่งตัวของเย่เย่ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่สามัญชนแน่ๆ ในหัวของนางจึงเต็มไปด้วยความสับสน
“ข้าคือเย่เย่ ข้ามาขอเข้าพบท่านตู๋กู่เหยียน ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่ไหม?” เมื่อเย่เย่พบหญิงสาว เขาก็โค้งคำนับนางอย่างนอบน้อมและพูดความประสงค์ของตนออกมา
สาวน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย ก่อนที่จะถามเย่เย่ขึ้นอีกครั้ง “เย่เย่? ท่านคือเย่เย่ประธานหอการค้าหยูเย่ผู้ทำลายปราการหลิงหยวนน่ะหรือ?” เรื่องความขัดแย้งระหว่างหอการค้าหยูเย่ของเขาและปราการหลิงหยวนนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วหลิงเฉิง ไม่ว่าใครๆในเมืองนี้ต่างรับรู้วีรกรรมของเขาทั้งนั้น แต่เมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงของแม่นางเฉียนเขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับวายร้ายในสายตาของนางเลย
เย่เย่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก และแสดงความตั้งใจที่มาในวันนี้ “ข้าได้ยินว่าปู่ของท่านนอนซมไข้พิษอยู่ ข้าจึงมาเพื่อช่วยเหลือเขา”
“ช่วย? ช่างมีน้ำใจเหลือเกินนะ! ปู่ของข้าไม่ประสงค์จะให้เข้าร่วมใดๆกับพวกท่านหรอกนะ” เห็นได้ชัดว่านิสัยดื้อรั้นของนางนั้นตกทอดมาจากปู่ของนางโดยตรง เพียงแต่นางยังไม่รู้จักการ ปฏิเสธแบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน นางจึงมักพูดประชดประชันอยู่เป็นประจำ แม่นางเฉียนนั้นมีอคติกับขั้วอำนาจใหญ่ๆ แม้ว่า เย่เย่จะเป็นถึงประธานหอการค้าที่ทรงอิทธิพลที่สุด ณ เวลานี้ แต่นางก็ไม่ได้มีท่าทีเคารพ หรือยำเกรงใดๆเลยแม้แต่น้อย
“แม่นางเข้าใจข้าผิดเสียแล้ว ข้ามาเพื่อช่วยรักษาปู่ของท่าน หากคนของหอการค้าของข้าเคยทำอะไรไม่ดีไว้กับพวกท่านข้าต้องขออภัยแทนพวกเขาด้วย ข้าสัญญาว่าจะลงโทษพวกเขาให้หลาบจำเอง ท่านปู่ของเจ้าเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบท่านเหยียนแต่ข้าก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามานาน และนับถือเขาไม่ต่างอะไรกับชาวเมืองเลย ขอให้แม่นางอนุญาตให้ข้ารักษาท่านเหยียนด้วยเถอะ!”
เย่เย่ยืนกรานกับแม่นางอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าการมาเข้าพบตู๋กู่เหยียนจะยากเย็นถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ตามแม่นางเฉียนไม่ใช่คนใจแคบ นางแค่ไม่ถูกโรคกับขั้วอำนาจใหญ่ๆเท่านั้น เมื่อนางได้เห็นความตั้งใจจริงของประธานหอการค้าที่ยอมลดตัวมาคุยกับนางในที่สุดนางก็ใจอ่อนและยอมให้เย่เย่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ…