ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 129 ร้านขายของสารพัดนึก
บทที่ 129
ร้านขายของสารพัดนึก
สาเหตุหนึ่งที่เย่เย่ทาบทามเสวี่ยหยูมาเป็นผู้จัดการหอการค้า นอกจากที่นางจะมีความรู้ความสามารถด้านการบริหารแล้วนั้น แม่นางเสวี่ยยังเป็นอีกหนึ่งคนที่รู้ใจเย่เย่ไม่น้อยไปกว่าเสี่ยวหยูอีกด้วย นางรู้ดีว่าต่อให้เป็นเย่เย่ก็คงไม่ตอบรับข้อเสนอที่เสียเปรียบเป็นแน่ หลังจากที่นางปรึกษาเสี่ยวหยูแล้วนางจึงปฏิเสธข้อเสนอของตำหนักประกายแสง และเชิญทูตที่คุยโตโอ้อวดกลับไปอย่างไร้เยื่อใย
หลิวซิวเหยียน ผู้หยิ่งยโสเมื่อได้รับรายงานว่าข้อเสนอของเขาถูกผู้หญิงตัวเล็กๆปฏิเสธกลับมาจึงพาลโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากถ้วยรามชามไหในโถงจัดแสดงของเขาพังจนไม่เหลือชิ้นดี เขาก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ร่องรอยความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าก็จางหายไป เขาถอนหายใจออกอย่างช้าๆ นัยน์ตาที่เดือดดาลก็เริ่มสงบนิ่งลง
“ในเมื่อหอการค้าหยูเย่ปฏิเสธไมตรีจิตของพวกเรา พวกเขาก็ไม่สมควรมีตัวตนอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป” แม้ว่าน้ำเสียงของหลิวซิวเหยียนจะฟังดูใจเย็น แต่เสี่ยวหยุนหลงกลับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมา เขารู้ดีว่าพูดอะไรตอนนี้ไปก็ป่วยการ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ทำตัวไหลไปตามกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
“ท่านประมุขช่างหลักแหลมยิ่งนัก ข้าน้อยขอคารวะ” แม้ว่าเสี่ยวหยุนหลงจะติดตามหลินซิว
เหยียนมานานหลายปี แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจอารมณ์ที่แปรปรวนของผู้เป็นนายได้เลย
“ถ้าข้าจำไม่ผิดงานแต่งงานของเจ้าเย่จะจัดขึ้นเร็วๆนี้แล้วสินะ ข้ามั่นใจว่าเจ้ามูหลงก็รอโอกาสนี้อยู่เหมือนกัน” จากคำพูดของหลิวซิวเหยียนดูเหมือนว่าเขากำลังคิดวางแผนอะไรบางอย่างอย่างแยบยล แผนการอันเยือกเย็นในหัวของเขาช่างดูขัดแย้งกับอารมณ์ที่ร้อนรุ่มของเขาโดยสิ้นเชิง
เสี่ยวหยุนหลงที่คาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรดีๆ เขาก็คิดวางแผนที่จะช่วยสนับสนุนแผนการของผู้เป็นนาย แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีเพียงรอรับคำสั่งจากหลิวซิวเหยียนเท่านั้น
ในขณะเดียวกันที่เมืองจิ้นเฉิง หลังจากซูฉีเจี่ย จางเสี่ยวยู่ และจอมยุทธ์โนเนมทั้งสองสำเร็จขั้นเทพอสูรภายใต้การสนับสนุนจากเย่เย่เป็นที่เรียบร้อย เย่เย่ก็รำลึกขึ้นเกี่ยวกับร้านค้าสารพัดนึกที่หูจือเป่าได้บอกเขาเอาไว้
จากข้อมูลของชายผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ร้านขายสมบัติ หายากนี้ตั้งอยู่ในเขตตงเฉิงที่อยู่ห่างไกล ด้วยความคาดหวังว่าที่ร้านแห่งนี้จะมีของที่เขาตามหาอยู่ เย่เย่จึงรีบควบม้ามุ่งหน้าไปทันที
กริ๊ง กริ๊ง
เมื่อเย่เย่มาถึงร้าน เขาก็ผลักประตูเข้าไป เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่กับประตูบานไม้สักดังขึ้น ภายในร้านกลับว่างเปล่าไร้วี่แววของเจ้าของร้านหรือแม้แต่พนักงาน แต่เมื่อเย่เย่ชะโงกหน้าไปหลัง เคาน์เตอร์ เขากลับพบเด็กหนุ่มยืนอยู่บนเก้าอี้ แม้จะเอาเก้าอี้มาเป็นตัวต่อแต่ด้วยส่วนสูงอันน้อยนิดก็ไม่ทำให้ศีรษะของเขาโผล่พ้นเคาน์เตอร์อยู่ดี
เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่า ฉีชู เป็นพนักงานคนเดียวในร้านนี้ และเป็นลูกจ้างที่ติดสอยห้อยตามเถ้าแก่ร้านขายของสารพัดนึกนี้มานานหลายปี (แต่ส่วนสูงเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย)
ฉีชูจำหน้าคร่าตาของลูกค้าประจำได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้เขาแทบไม่ได้สนใจ หรือกระตือรือร้นที่จะต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างเย่เย่เลยสักนิด
เนื่องจากสินค้าทั้งหมดในร้านแห่งนี้เป็นของหายากที่มีมูลค่าสูงแทบทั้งสิ้น เมื่อฉีชูพิจารณาจากการแต่งกายแสนจะเรียบง่ายของเย่เย่แล้ว เขาไม่คิดว่าคนคนนี้จะมีสตุ้งสตางค์พอที่จะซื้อมวลอากาศที่อัดแน่นอยู่ภายในร้านกลับไปได้ด้วยซ้ำ
“เจ้ามีสมบัติธาตุลมหรือไม่ เอาออกมาให้ข้าดูสักหน่อย หากมีจะเรียกราคาเท่าไหร่ข้าก็ยอม” เดิมทีเย่เย่ตั้งใจมาหาเถ้าแก่ของร้าน แต่เมื่อเขาย่างเท้าเข้ามาในร้านก็ต้องมนต์สะกดของสมบัติหายากที่หลากหลายเรียงรายอยู่บนชั้นวาง
แม้ว่ามูลค่าทั้งหมดของมันจะเทียบไม่ได้กับสินค้าในหอการค้าหยูเย่ของเขา แต่ของหายากเหล่านี้ก็ไม่สามารถแลกเปลี่ยนจากระบบด้วยเหรียญจักรวาลของเขาได้เลย ดังนั้นความคาดหวังที่จะได้ครอบครองสมบัติธาตุลมที่จะช่วยให้เขาสำเร็จวิชาสลาตันฟ้าคำรามที่ค้างคายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“ร้านข้ามีทุกอย่างนั่นแหละ แต่มันไม่คู่ควรกับคนอย่างเจ้าหรอก” ฉีชูเด็กเปรตชำเลืองตามองเย่เย่ตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับเป็นพนักงานแผนกเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้าก็ไม่ปาน
“รีบเอาออกมาเถอะน่า เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า” แม้ว่าเย่เย่จะเป็นยักษาตนที่สามแห่งภูมิภาค แต่หากพูดถึงความร่ำรวยแล้ว พูดได้ว่าเย่เย่แทบจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคก็ไม่ผิดไปนัก
“นี่เจ้ากำลังจะหาว่าร้านข้าขายของเก๊งั้นรึ? พวกเราไม่เคยขายของไม่มีคุณภาพมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ในจิ้นเฉิงคงมีแต่เจ้าเนี่ยแหละที่ไม่รู้” ฉีชูที่ถือคติเงินมาของไป เมื่อได้ยินเย่เย่เซ้าซี้ให้นำของออกมาก็คิ้วกระตุกราวกับโดนเหยียดหยาม เด็กหนุ่มเตี้ยม่อต้อจึงเดินไปหยิบกล่องสมบัติสีเขียวมรกตออกมาจากเก๊ะใส่ของ
ทันทีที่เขาเปิดออกต่อหน้าเย่เย่ สายลมโชยอ่อนก็โพยพุ่งออกมาพร้อมกับแสงสีเขียวดูงดงาม ภายในกล่องบรรจุสมุนไพรรูปร่างเรียวเล็กส่องแสงประกายราวกับดวงดาราที่สุกสกาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนในฤดูวสันต์
ทันทีที่เย่เย่เห็นมัน เขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่เขาตามหา เป็นสิ่งที่เขาขาดหายที่จะมาเติมเต็มการฝึกฝนของเขา
ฟุ่บบ
“ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย ที่บ้านเคยสอนเจ้าบ้างไหมเนี่ย”
ฉีชูเด็กกะโป(ก)โล เมื่อเห็นเย่เย่ยื่นมือเน่าๆของเขาสอดเข้ามา เขาก็รีบปิดกล่องสมบัติ และเก็บมันกลับเข้าไปในเก๊ะทันที
“เอาล่ะ ถ้าเจ้าอยากได้ก็ไปเก็บเล็กผสมน้อยมาให้ข้าสัก 500,000 ตั๋วทองก็พอ อย่างเจ้าน่าจะต้องใช้เวลาสักโกฏิปีล่ะมั้ง?”
เขามองเย่เย่ด้วยสายตาเหยียดหยามและโบกมือไล่ตะเพิดเขาอย่างไร้เยื่อใน ทันทีที่เย่เย่กำลังจะควักเงินออกมา ชายผิวคล้ำผอมสูงก็ปรากฏตัวขึ้นจากประตูหลังร้าน
“เอะอะโวยวายอะไรกันน่ะ ฉีชู?”
“อะไรกันท่านเย่ ประธานหอการค้าหยูเย่เองหรือขอรับ ขออภัยที่ลูกจ้างไม่ได้ความของข้าเสียมารยาทกับท่าน เอ้าฉีชูยังไม่รีบขอโทษท่านเย่อีก!?”
“อะไรนะ!? เจ้านี่น่ะหรือประธานหอการค้าหยูเย่? โอ๊ย ข้าเจ็บนะ!” ชายรูปร่างผอมสูงผิดกับฉีชูที่เตี้ยอ้วน กดหัวเด็กน้อยให้ก้มต่ำลงเพื่อเป็นการขอขมา
“ในเมื่อท่านเย่มาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็ยินดีจะมอบสมุนไพรธาตุลมนี้เป็นของสมนาคุณให้กับท่าน เพื่อเป็นการแสดงความยินดีล่วงหน้าในการรวมจิ้นเฉิงให้เป็นหนึ่ง”
ชายผิวคล้ำผอมกะหร่องนี้มีนามว่า ฉีเชิน นอกจากจะเป็นเถ้าแก่ของร้านขายของสารพัดนึกแห่งนี้ เขายังเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของหูจือเป่า แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักกับเย่เย่เป็นการส่วนตัวแต่ก็เคยเห็นหน้าคร่าตาจากภาพวาดพู่กันในฐานะผู้สยบอดีตจ้าวเมืองมาบ้าง
“รับไปสิ นี่เป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากข้า” ฉีเชินหยิบกล่องสมบัติอันเดิมนั้นยื่นให้กับเย่เย่
หลังจากรับไมตรีจิตของชายผอมสูงแล้ว เขาก็เก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อข้างซ้าย และมองฉีเชินด้วยความสงสัยก่อนจะถามขึ้น “ท่านคงจะเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้สินะ เมื่อสักครู่ท่านว่าขอแสดงความยินดีในการรวมจิ้นเฉิงเป็นหนึ่งสินะ? เหตุใดท่านจึงคิดว่าข้าจะทำเช่นนั้น?”
เย่เย่ไม่แปลกใจที่ฉีเชินจะรู้จักรูปร่างหน้าตาของเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาคลางแคลงใจคือทำไมเถ้าแก่ผู้นี้ถึงดูมั่นใจในหอการค้าของเขานัก
“เรียนตามตรง ข้ารู้ว่าท่านเข้าเมืองจิ้นเฉิงมาได้หลายวันแล้ว แต่กลุ่มภาคีปลดแอกไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับการมาของท่านเลย หากหอการค้าหยูเย่ของท่านยังจะพ่ายแพ้ต่อพวกเขาละก็ ท่านคงเอาชนะตระกูลมู่หรงไม่ได้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว” ฉีเชินไม่เบี่ยงประเด็น เขาตอบคำถามของเย่เย่อย่างตรงไปตรงมา
บางทีเย่เย่นั้นก็มีส่วนที่โง่เขลา เขาลืมตัวไปชั่วขณะว่าตัวเขานั่นแหละคือกุญแจสำคัญในการ พลิกสถานการณ์ เมื่อเขาได้ยินชายผอมสูงกล่าวดังนั้น เขาก็เริ่มตระหนักขึ้นถึงความสำคัญของตน…