ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 130 เสือติดปีก
บทที่ 130
เสือติดปีก
ฉีเชินผู้นี้มีพรสวรรค์ นอกจากเขาจะปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้และก้าวสู่การเป็นจ้าววรยุทธ์ตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ไม่นานนักเขาก็กลายเป็นจ้าววรยุทธ์ขั้นสูง และบรรลุขั้นเทพยุทธ์ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะสูงส่ง แต่สภาพร่างกายของเขากลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
การฝึกฝนเพื่อก้าวสู่ขั้นเทพอสูรนั้นมอบภาระหนักหนาสาหัสให้แก่ร่างกายที่บอบบางของฉีเชินเป็นอย่างมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาล้มเลิกความตั้งใจในเวลาต่อมา หลังจากที่เย่เย่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเถ้าแก่ผอมโซผู้นี้ เขาก็คิดหาทางช่วยเหลือฉีเชินเพื่อหวังว่าเถ้าแก่ผู้มากความสามารถและร้านค้าสารพัดนึกของเขาจะมาเป็นกำลังสำคัญให้แก่หอการค้าหยูเย่
“ข้าว่าท่านคงจะทราบดีว่าข้ามาเพื่อเหตุใด” หลังจากที่เย่เย่ได้รับสมบัติธาตุลมอย่างที่เขาหมายปอง เขาก็ไม่ลืมเป้าหมายที่แท้จริงที่เขามาในวันนี้
“ข้าทราบจากท่านหูแล้ว แต่น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของข้าต่ำเกินไป ข้าเกรงว่าจะทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว” เมื่อชายผิวคล้ำได้ยินดังนั้นเขาก็รู้ความหมายทันที เขาจึงตอบปฏิเสธกลับไป
แม้ว่าเขาจะไม่เหมือนหูจือเป่า ไม่ได้มีพันธะผูกพันกับตระกูลมู่หรง แต่อย่างน้อยเขาก็อยากเปิดร้านขายสมบัติเก่าแก่นี้ต่อไปและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ฉีชูเด็กหนุ่มแม้ว่าเขาจะปากคอเราะร้ายไปบ้าง ลึกๆเขาก็อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ดังนั้นเขาจึงอยากเข้าร่วมกับหอการค้าหยูเย่ใจจะขาด แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้ปริปากและปล่อยให้ฉีเชินเป็นคนตัดสินใจด้วยตนเอง
“แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าช่วยเจ้าสำเร็จวิชาได้ล่ะ เจ้าจะยังปฏิเสธข้อเสนอของข้าอีกไหม?” เย่เย่พูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน
“ข้าซาบซึ้งน้ำใจของท่านเย่ยิ่งนัก แต่ทว่าตัวข้าเองก็ได้ลองหลายต่อหลายวิธีแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นท่านอย่าได้เสียเวลากับข้าเลย”
“พ่อข้าเหนื่อยมากพอแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” แม้ว่าฉูชีจะยอมรับในตัวเย่เย่แล้ว แต่เขาที่เสียหน้ากลับกลัวเสียฟอร์มไม่ยอมเรียกเย่เย่ว่าท่านอยู่ดี
ฉีเชินนอกจากจะเป็นนายจ้างของฉูชีแล้วเขายังเปรียบเสมือนพ่อบุญธรรมผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อเขาทั้งสองไล่เย่เย่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับ เมื่อเวลาผ่านไป 2 ชั่วยาม ฉีเชินจึงเริ่มใจอ่อนในความมุมานะของเย่เย่
“ก็ได้ๆ เซ้าซี้จริง! ในเมื่อท่านว่างนักก็เชิญตามสบาย ตามข้ามา”
เย่เย่ประสานมือพยักหน้าให้กับฉีเชิน และเดินตามเขาไปที่ลานฝึกหลังร้าน ปล่อยให้เด็กหนุ่มส่วนสูงไม่ถึงเคาน์เตอร์เฝ้าหน้าร้านเพียงลำพัง
เมื่อทั้งสองเดินมาถึง เย่เย่ก็ได้อธิบายวิธีที่จะช่วยเหลือ ฉีเชินให้เขาฟัง “ข้าจะวางค่ายกลลมปราณไหลเวียนให้กับท่าน ท่านต้องเข้าไปทำการบรรลุขั้นภายในค่ายกลด้วยพลังแห่งโลกและสวรรค์ที่อัดแน่นอยู่ภายในมันจะช่วยส่งเสริมท่านให้สำเร็จวิชาได้ง่ายขึ้น”
“ค่ายกลงั้นรึ?” แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินว่าเย่เย่เป็นปรมาจารย์ด้านการวางค่ายกล แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินจากไหนเลยว่ามีค่ายกลที่สนับสนุนการเลื่อนขั้นวรยุทธ์ได้ ถึงแม้เขาจะสงสัยสักเพียงใด เขาในตอนนี้ก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ฉีเชินจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิลงตามคำบอกของเย่เย่
ทันทีที่ฉีเชินเริ่มการเลื่อนขั้นวรยุทธ์ เย่เย่ก็ได้กางค่ายกลลมปราณไหลเวียนขนาดพกพาของเขาขึ้นมาในทันที โล่พลังงานทรงครึ่งวงกลมคว่ำ สีเหลืองใสมองทะลุเข้าไปจากภายนอกได้ก็ปรากฏขึ้นปกคลุมบริเวณลานฝึกหลังร้าน แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กกว่าค่ายกลที่เย่เย่กางในหอการค้าหยูเย่ แต่ประสิทธิภาพของมันแทบจะไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
ฉีเชินที่กำลังทำสมาธิก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ค่อยๆเอ่อล้นขึ้นมาในตัวเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน พลังชีวิตของโลกและสวรรค์ค่อยๆเติมเต็มส่วนที่เขาขาดหายอย่างช้าๆ ชายผอมเริ่มซึมซับพลังเหล่านั้นและใช้มันโจมตีหินผาขนาดยักษ์ในหัวของเขาที่ปิดกั้นระหว่างขั้นเทพยุทธ์และเทพอสูรอย่างรุนแรง
ครืนนนนนนนนนนนนนน
เสียงมวลอากาศบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนออกไปเป็นวงกว้าง แม้ว่าเขาจะทำไม่สำเร็จในทีแรกแต่หินผาก็เริ่มมีการสั่นสะเทือน ฉีเชินหายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ดึงพลังปราณที่รายล้อมเขาออกมาใช้และพุ่งเข้าโจมตีอิฐยักษ์อย่างต่อเนื่อง
ตู้มมมมมม ตู้มมมมมม ตู้มมมมมมมม
ด้วยพลังใจที่นำพลังกายของเขาไปหลายก้าว แม้ว่าจะผ่านไป 2 ชั่วยามจนฟ้าด้านนอกเริ่มมืดแล้ว ในที่สุดเขาก็ทลายปราการยักษ์ที่ติดค้างในใจของเขามาตลอดหลายปีลงได้สำเร็จ
ฟู่ววววววววววว
เขาผ่อนลมหายใจยาวเหยียดอย่างช้าๆ ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยวรยุทธ์ขั้นเทพอสูร หากเขาไม่ได้ค่ายกลของเย่เย่ ไม่แน่ว่าร่างกายของเขาต้องรับภาระอย่างหนักจนทำให้สังขารแตกสลายเลยก็เป็นได้
ในอีกด้านหนึ่งเย่เย่ที่จับตาเขาด้วยความกังวล เขาก็เตรียมการเข้าช่วยเหลือฉีเชินในทันทีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน แต่ด้วยพรสวรรค์บวกกับพลังใจของชายผอมสูงก็ทำให้เขาก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้สำเร็จ
เมื่อเย่เย่เห็นฉีเชินให้สัญญาณว่าเขาทำสำเร็จ เย่เย่ก็ปลดค่ายกลออก
“น้ำใจของท่านเย่ในครั้งนี้ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก จากนี้ข้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แก่หอการค้าหยูเย่เพื่อเป็นการตอบแทน” ร่างกายที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของฉีเชิน คุกเข่าลงด้วยความซาบซึ้งใจ
“อย่าได้เกรงใจ นับว่าเป็นบุญของข้าที่ได้ท่านมาร่วมด้วย ในตอนนี้หอการค้าหยูเย่ไม่ต่างอะไรกับเสือติดปีก ข้าสัญญาว่าอีกไม่นานจิ้นเฉิงจะต้องรวมเป็นหนึ่ง”
เย่เย่ประสานมือโค้งคำนับแก่เขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะช่วยพยุงร่างของชายผิวคล้ำที่เริ่มโงนเงนด้วยความอ่อนแรง ทั้งสองเดินออกจากลานฝึกกลับมายังหน้าร้าน ทันทีที่ฉีชูเห็นพวกเขาทั้งสองเขาก็รีบโผเข้ากอดฉีเชินด้วยความเป็นห่วง ก่อนที่ฉีเชินจะบอกถึงการตัดสินใจเข้าร่วมหอการค้าหยูเย่
“ยินดีด้วยขอรับ ท่านพ่อ! ยินดีด้วยขอรับ ท่านเย่! ข้าฉีชูจะไม่ลืมบุญคุณของท่านในครั้งนี้เลย” ฉีชูประสานมือโค้งคำนับแก่เขาทั้งสอง เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความเคารพต่อเย่เย่ออกมาอย่างจริงใจ
“เงยหน้าขึ้นเถอะ! เรื่องระหว่างพวกเราพวกเจ้าต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ อย่าให้ใครล่วงรู้เด็ดขาด แม้ว่าใครผู้นั้นจะอ้างว่าเป็นคนของหอการค้าก็ตาม พวกเจ้าจะเป็นไพ่ตายของข้า”
สองพ่อลูกพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากพวกเขาทั้งสามพูดคุยกันเสร็จสิ้นแล้ว เย่เย่ก็เดินทางกลับหอการค้าของตน และรอคอยวันที่จะได้ใช้ไพ่ตายนี้อย่างใจจดใจจ่อ…